บุรุษร่างอ้วนกรีดร้องลั่นจนแสงเทียนในห้องสั่นไหว !
เืสกปรกกระเซ็นไปทั่วใบหน้าของฉีซี ในปากคละคลุ้งด้วยกลิ่นคาวเื นางกัดไม่ปล่อยและยิ่งกัดย้ำให้แรงขึ้นอีก! บุรุษร่างอ้วนกรีดร้องด้วยความเ็ปที่เหลือจะทานทน พลิกตัวตกจากเตียง กระแทกตะเกียงน้ำมันลงไปนอนเกลือกกลิ้งอยู่บนพื้น!
ทันใดนั้นเปลวไฟก็ลุกติดบนร่างของบุรุษร่างอ้วน จนเขาส่งเสียงร้องโหยหวนราวกับสัตว์ป่า
กลิ่นของยาหอมผสมกับกลิ่นฉุนจากการเผาไหม้คละคลุ้งอยู่ในอากาศทำให้ฉีซีสำลัก นางบ้วนใบหูมนุษย์ที่อยู่ในปากออกมา ลุกขึ้นจากเตียงอย่างยากลำบาก เปิดประตูแล้วรีบพุ่งตัวออกไป!
เปลวไฟที่ไหม้บ้านไม้ลามไปตามผ้าปูที่นอนอย่างรวดเร็ว เสียงร้องของบุรุษร่างอ้วนก็ดึงดูดชายฉกรรจ์คนอื่นๆ มา
เมื่อเห็นฉีซีกึ่งเปลือยวิ่งออกไป เดิมทีอยากจะไปดักนางไว้ ทว่าเมื่อเห็นแสงไฟในห้อง สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปและะโด้วยความตื่นตระหนก "ไฟไหม้แล้ว! ไฟไหม้แล้ว! รีบมาดับไฟเร็วเข้า!"
เมื่อบุรุษร่างใหญ่ได้ยินเสียงดังกล่าว เขารีบผลักหลี่ซืออินออกแล้ววิ่งออกจากคุกไปดูข้างนอกโดยไม่สนความสุขสมของร่างกายส่วนล่าง
เห็นเพียงฉีซีกุมแขนที่าเ็ไว้ มุ่งหน้าไปยังประตูหอนางโลม ด้านหลังมีเปลวไฟกำลังลุกโชนอยู่ ในขณะที่กำลังลังเลว่าจะดับไฟหรือไล่ตามไป ในชั่วพริบตาฉีซีก็หนีออกจากประตูใหญ่ของหอนางโลมไปแล้ว!
บุรุษร่างใหญ่จำเป็ต้องไปดูสถานที่เกิดเพลิงไหม้ก่อน หากไม่เห็นก็แล้วไป ทว่าเมื่อเห็นแล้วก็โกรธจัดจนแทบควบคุมตัวเองไม่อยู่!
ไฟลุกลามไปทั่วอย่างรุนแรง โชคดีที่วันนี้เมืองหลานตูมีฝนตกปรอยๆ แต่ในกองเพลิง ร่างไหม้เกรียมของบุรุษร่างอ้วนส่งเสียงร้องโหยหวน พุ่งกระแทกเสาอย่างบ้าคลั่งจนร่างกายหงิกงอแน่นิ่งไป สร้างความหวาดกลัวให้กับผู้พบเห็นเป็อย่างยิ่ง
อย่างไรก็ตามผู้คนในย่านถนนดอกไม้ไม่มีเวลาหวาดกลัว พวกเขาหันไปช่วยกันตักน้ำมาดับไฟ บางคนก็เริ่มใช้ค้อนทุบหลังคาและกำแพงดินพยายามจะสร้างแนวกันไฟเพื่อป้องกันไม่ให้ไฟลุกลาม ทว่าใน่ที่สถานการณ์ชุลมุนวุ่นวาย ทุกคนต่างหนีเอาตัวรอด
เมื่อบุรุษร่างใหญ่ที่ยุ่งอยู่กับการย่ำยีหลี่ซืออินเห็นพี่ชายตายในกองเพลิงจึงโกรธแค้นอย่างมาก
เมื่อหันกลับไปก็เห็นว่าประตูคุกเปิดกว้าง บรรดาสตรีที่ถูกจับมากำลังหลบหนีจึงะโด้วยความโกรธ รีบวิ่งออกจากหอนางโลมไปคว้าตัวสตรีสองสามคนมาแล้วตบกระแทกกำแพงจนตายคามือ!
มือทั้งสองข้างของบุรุษร่างใหญ่เต็มไปด้วยเื ดวงตาแดงก่ำ ไล่ตามทิศทางที่ฉีซีหลบหนีไปอย่างฉุนเฉียว!
……
รถม้าสีเข้มจอดอยู่ด้านนอกตรอกโกวหลาน บุรุษหนุ่มรูปงามแต่งกายด้วยอาภรณ์สีขาวพยักหน้าให้คนขับรถม้า แล้วหันหลังเดินเข้าไปข้างในทันที
ภายในห้องรับรองที่มีการตกแต่งอย่างหรูหราและสะอาดสะอ้าน อบอวลไปกลิ่มหอมของธูปดอกเหมย บรรยากาศก็เงียบสงบ
บุรุษรูปงามสวมเสื้อแขนกว้างสีฟ้าอ่อนแขนยาวทับด้วยเสื้อคลุมสั้นสีน้ำเงินเข้ม สวมกวาน1สูงสง่างาม สายรัดกวานที่ผูกไว้หลวมๆ ใต้คางเนียนปลิวไสวตามแรงลม
จอนผมสีดำขลับถูกปล่อยไว้ข้างขมับทั้งสอง คิ้วกระบี่และจมูกโด่งตั้งตรง ดวงตาสว่างไสวดุจดวงดาวแฝงไว้ด้วยความเกียจคร้าน
ใบหน้าด้านข้างของเขาเป็เส้นคมชัด ริมฝีปากระเรื่อเม้มเล็กน้อย รูปโฉมหล่อเหลา เขาพิงหน้าต่างมองทิวทัศน์หมอกฝนสลัวในเมืองหลานตู
ปลายนิ้วเรียวเคาะกรอบหน้าต่างเบาๆ ประสานกับเสียงเม็ดฝนให้จังหวะฟังสบายแสดงให้เห็นว่าเขากำลังอารมณ์ดีมาก
ทว่าสายตาของเขาเหลือบเห็นประกายไฟเล็กๆ ในตรอกดอกไม้ไม่ไกลจากหอคอยแห่งนี้ คิ้วกระบี่ได้รูปเลิกขึ้นเล็กน้อย
คนรับใช้ที่วิ่งขึ้นมาบนหอคอยสี่ชั้นในคราวเดียว หอบหายใจอย่างหนักอยู่หน้าห้องพัก เมื่อหายใจได้สะดวกแล้วจึงเอ่ยปากพูด
ทุกคำพูดของเขาฟังดูเหมือนกลัวว่าจะรบกวนแขกผู้มีเกียรติในห้องรับรอง น้ำเสียงแ่เบาราวกับใบหลิวที่ร่วงลงบนผิวน้ำและอ่อนโยนอย่างยิ่งพูดเบาๆ ว่า "นายน้อย คุณหนู รถม้ามาถึงแล้วขอรับ"
ปลายนิ้วเรียวที่กำลังเคาะกรอบหน้าต่างหยุดลง บุรุษผู้นั้นถอนสายตากลับมาพูดอย่างใจเย็น "ชวนอวิ๋น ข้าต้องไปแล้ว"
สตรีรูปงามในอ้อมแขนของเขาหลับตาพริ้ม บนใบหน้าเมล็ดแตงโม คิ้วสีเข้มดั่งยอดเขาอันไกลโพ้นที่ปกคลุมไปด้วยสีเขียวขจี แพขนตาที่ปิดสนิทยาวราวกับพัดขนนก จมูกเล็กจิ้มลิ้ม ริมฝีปากระเรื่อโดยไม่ต้องแต่งแต้ม งดงามอ่อนช้อยราวกับเทพธิดาในภาพวาด
หลังจากฟังเสียงฝนได้สักพัก สตรีรูปงามก็ลืมตาขึ้นอย่างเกียจคร้าน ลุกขึ้นยืน มองย้อนกลับไปแล้วกล่าวอย่างเสน่หา "ให้หนูเจีย2ไปส่งท่านเถิด"
บุรุษผู้นั้นไม่ปฏิเสธ เขาสะบัดเสื้อคลุมที่ยับยู่ยี่เพราะถูกนอนทับ ลูบแขนเสื้อกว้าง หรี่ตาลงแล้วเดินทอดน่องลงมาจากหอคอย สตรีรูปงามที่ชื่อชวนอวิ๋นก็เดินตามติดด้านหลังเขาไปทีละก้าว
“เมื่อใดโม่หลางจะมาหาหนูเจียอีกหรือ?” ชวนอวิ๋นมองบุรุษที่เดินตรงออกจากศาลาชวนอวิ๋นอย่างไร้เยื่อใยโดยไม่หันกลับมามอง นางรู้สึกโศกเศร้าจึงอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม
เมื่อบุรุษตรงหน้ากำลังจะก้าวเท้าออกจากประตูได้ยินเสียงนุ่มนวลที่แฝงไว้ด้วยความขุ่นเคือง เขาจึงหยุดชั่วคราว แล้วหันศีรษะมาพูดด้วยรอยยิ้มจางๆ "ถ้าชวนอวิ๋นจะรับลูกค้าต้องรอกำหนดการจากหลิวมามา ไม่ใช่ว่าข้าอยากจะมาก็สามารถมาได้”
เมื่อชวนอวิ๋นได้ยินคำพูดของบุรุษผู้นั้นจึงกล่าวอย่างกระเง้ากระงอดว่า "เพียงหลิวมามาเห็นท่านก็หวาดกลัวจนแทบเสียสติ นางจะขัดขวางท่านได้อย่างไร?"
“ค่าธรรมเนียมการรับแขกของชวนอวิ๋นสูงเกินไป ใครใช้ให้เ้าเป็ฮวาขุย3ในหลานตูกันล่ะ? นี่มันขูดรีดกันชัดๆ ” บุรุษหนุ่มเผยรอยยิ้มหยอกล้อบนใบหน้า เชยคางของชวนอวิ๋นขึ้นมาเล็กน้อยพลางหยอกล้ออย่างยั่วยวน
“หากโม่หลางมีใจแน่วแน่ ทั้งผืนแผ่นดินล้วนเป็ของท่าน แล้วฮวาขุยตัวน้อยอย่างชวนอวิ๋นจะเหลือหรือ?” ชวนอวิ๋นไม่มีท่าทีเขินอาย ดวงตาเปล่งประกายจ้องไปยังบุรุษตรงหน้า
หลังจากได้ยินสิ่งนี้ รอยยิ้มของบุรุษผู้นั้นก็จางหายไปทันทีราวกับเปลี่ยนเป็คนละคน จากนั้นจึงตอบอย่างเ็า "อย่าพูดถึงเื่นี้อีก ไม่เช่นนั้นข้าคงปกป้องเ้าไว้ไม่ได้"
ขณะนั้นเองที่ชวนอวิ๋นรู้ตัวว่าพลั้งปากไป ใบหน้างดงามถอดสีในทันทีและแก้ตัวอย่างรีบร้อน "เพราะหนูเจียไม่รู้ความจึงพลั้งปากไป ได้โปรด..."
"ช่างเถอะ"
บุรุษผู้นั้นตัดบทคำพูดของชวนอวิ๋น โบกมือและก้าวออกจากศาลาชวนอวิ๋นมุ่งหน้าไปยังประตูใหญ่ของหอเสวี่ยหยวน
ด้านหนึ่งคือฮวาขุยที่ทำให้ลูกค้าหงุดหงิด ในขณะที่อีกด้านคือฉีซีที่ทำให้คนของหอนางโลมโกรธ กำลังหนีเอาชีวิตรอด
ฝนตกปรอยๆ ไม่ได้หนักหรือเบาราวกับเข็มที่ตกกระทบลงบนใบหน้าและศีรษะ นางหวาดกลัวสุดขีด ร้องไห้ไปพลางเช็ดเืที่มุมปาก คราบเขม่าและคราบเืบนใบหน้าละลายกับสายฝนลงมาเป็สาย ผสมกับน้ำตาแห่งความหวาดกลัวที่ไหลรินลงมา
นางเช็ดใบหน้าอย่างลวกๆ วิ่งต่อไปข้างหน้าโดยไม่รู้ว่าจะไปทางไหน พยายามเลี้ยวซ้ายเลี้ยวขวาเป็ครั้งคราวและหันกลับไปมองเป็ระยะว่ามีทหารไล่ตามมาหรือไม่
ครั้งที่สี่ที่หันกลับไป นางก็ยังไม่เห็นทหารที่ไล่ตามมาด้านหลัง ได้ยินเพียงเสียงะโโหวกเหวกมาจากทางด้านหลังไม่ไกลนัก "นังคนต่ำต้อย! มาดูกันว่าเ้าจะหนีไปไหนได้!"
นางใมากจนสะดุดล้มลง เนื้อตัวเปรอะเปื้อนไปด้วยโคลนและตะเกียกตะกายลุกขึ้นมา เมื่อหันกลับไปมองก็เห็นบุรุษร่างใหญ่เมื่อครู่ นางใกลัวจนต้องสูดหายใจเข้าอย่างแรง วิ่งหนีสุดชีวิตเข้าไปในตรอกซอกซอยที่คดเคี้ยว!
เลี้ยวซ้ายและขวาไปตามถนนดอกไม้ สองข้างทางมีเสียงหัวเราะของสตรีกับแขกที่กำลังหยอกเย้ากันอยู่ เมื่อได้ยินเสียงะโโหวกเหวกโวยวายและเสียงฝีเท้าหนักที่เหยียบน้ำขังจนเกิดเสียงดังจึงหยุดการเคลื่อนไหวและมองไปทางฉีซี
ฉีซีไม่สนใจสายตาของบรรดาผู้คน ทำได้เพียงวิ่งไปข้างหน้าอย่างไม่คิดชีวิตโดยหวังเพียงจะหนีเอาชีวิตรอด
“นังคนชั้นต่ำ! หยุดเดี๋ยวนี้!”
บุรุษร่างใหญ่ะโ เมื่อเห็นฉีซีที่อยู่ห่างออกไปเพียงไม่กี่ฉื่อ ทำให้นางเลี้ยวหนีเข้าไปในตรอกอีกแห่งหนึ่งเพื่อทิ้งระยะห่าง
ฉีซีตัวสั่นเทา แม้จะเหนื่อยล้าจนถึงขีดสุดแล้ว ทว่านางยังคงวิ่งต่อไป! ทันใดนั้นถนนดอกไม้ก็กว้างขึ้น ทำให้นางวิ่งทะลุเข้าสู่ตรอกโกวหลานที่เต็มไปด้วยผู้คน ก่อนที่นางจะหยุดฝีเท้าได้ก็ชนเข้ากับรถม้าสีเข้ม!
ม้าที่ใกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันจนยกกีบหน้าขึ้นสูง ฉีซีล้มกลิ้งไปข้างหน้าม้าอย่างหยุดไม่ได้ เมื่อเห็นว่ากีบม้ากำลังจะย่ำลงมาบนร่างกายของตนจึงหลับตาลงด้วยความสิ้นหวัง
เสียงร้องของม้าดังก้อง ทว่ากีบม้าไม่ได้เหยียบย่ำลงมาบนตัวนาง
ปรากฏว่าคนขับม้ารีบดึงสายบังเหียนแล้วกระซิบเพื่อปลอบม้า ใน่เวลานั้นนางก็ถูกดึงออกจากใต้กีบม้าแล้ว
เมื่อฉีซีเห็นว่าตนยังไม่ตายจึงลุกขึ้นยืนอีกครั้ง ทว่าบุรุษร่างใหญ่กลับไล่ตามมาถึงด้านหลังเสียแล้ว!
----------------------------------------------------------------
[1] กวาน เครื่องสวมประดับบนศีรษะ เป็สัญลักษณ์บอกสถานะ
[2] หนูเจีย คำที่สตรีใช้เรียกตัวเองในสมัยโบราณ
[3] ฮวาขุย หญิงคณิกาชั้นยอดในหอนางโลม
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้