ท่าทีของท่านปู่หลินทำให้เฝิงซื่อรู้สึกดีขึ้นเล็กน้อย นางจึงยอมเงียบเสียงลง แต่สายตายังคงแข็งกร้าว
จ้าวซื่อยังคงหน้าด้าน ขอเพียงนางได้ตามเป้าหมายแล้ว ท่านปู่จะว่าอย่างไรนางย่อมไม่สน
ในใจของท่านปู่หลินนั้นพอใจมาก บ้านสองจะต้องจ่ายปีละยี่สิบสี่เฉียนไปพลางเลี้ยงปากท้องคนในบ้านร่วมสี่ชีวิตไปด้วย มิใช่เื่ง่ายแน่นอน
บ้านสามเองก็ต้องจ่ายเพิ่มอีกปีละสิบสองเฉียน รวมกับของบ้านสองแล้วจึงกลายเป็ปีละสามสิบหกเฉียน รับเช่นนี้ไปสักสิบกว่าปีก็กลายเป็หลายร้อยเฉียนแล้ว
ท่านปู่หลินมองหลินคนรอง แล้วกล่าวด้วยเสียงอันนุ่มลึก “ลูกรอง เ้ามีความเห็นอะไรอีกหรือไม่ หากมีอะไรก็ยังไม่ต้องแบ่งบ้านในตอนนี้ก็ได้ ทั้งข้าทั้งแม่ของเ้าเองก็แก่แล้ว ทั้งยังเจ็บป่วยบ่อย เงินที่พวกเ้ากับบ้านสามต้องส่งมานี้ก็ไม่ได้ถือว่ามากนัก เพราะมันต้องนำมาใช้เป็ค่าหมอค่ายาให้คนแก่สองคนด้วย”
หลินต้าเหอนั้นอยากจะร้องไห้ แต่เมื่อเห็นลูกสาวทั้งสองจ้องมองเขาอยู่ เขาจึงทำได้เพียงกลั้นเอาไว้แล้วส่ายหน้าไม่ต่างจากหุ่นไม้
ท่านปู่หลินครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงกล่าว “ในเมื่อเราแบ่งบ้านแล้ว ก็แน่นอนว่าพวกเ้าจะต้องไม่ไปมือเปล่า ข้ากับแม่ของเ้าอาศัยอยู่กับพี่เขยของพวกเข้า เพราะฉะนั้นที่นาส่วนมากจึงมีพี่เขยของพวกเ้าคอยดูแล เช่นนั้นแล้ว พวกเ้าจงเอาที่นาสองไร่ทางตะวันตกของแม่น้ำ กับที่นาแห้งสามไร่บนเนินทางตะวันออกไป”
หลินต้าเหอมองด้วยสายตาราวกับคนตาย เขาใช้ทั้งชีวิตมากับการทำนา สองที่นั้นปลูกอะไรไม่เคยขึ้นเลย แล้วมันจะต่างอะไรกับการไม่มีที่กัน?
“ฮึ ถึงกับให้ที่กับไอ้ลูกอกตัญญูไปด้วยเช่นนี้ เท่านี้ยังถือว่าถูกไปเลย!” อู๋ซื่อแค่นจมูกเสียงเย็น แต่ท่านปู่ได้ตัดสินใจไปแล้ว นางจึงมิกล่าวอะไรอีก
อย่างไรก็ตาม ที่ทั้งสองแปลงนี้ต่างก็เป็แปลงที่ท่านปู่มองว่าไม่จำเป็
“ท่านพ่อ…ด้วยที่สองแปลงนี้แล้ว…พวกข้าเลี้ยงปากท้องคนในบ้านไม่ไหวแน่! แล้วยิ่งเื่ส่งเงินกลับบ้านเดือนละสองเฉียนนี่ช่างเกินเอื้อมยิ่งนัก!” หลินต้าเหอกรีดร้อง
หลินฟู่อินมองสภาพของลุงสอง
เขาไม่เหลืออะไรอีกแล้ว ในใจมีเพียงความโศกเศร้า
ชีวิตเป็ของคนที่มีความพยายาม ขอแค่มีมือ เท้า สมองเท่านั้น นี่กลัวการไม่ได้มีชีวิตที่ดีขนาดนั้นเลยหรือ?
แต่อย่างไรเขาก็ยังเป็ผู้ใหญ่
“หึหึ น้องรองช่างพูดอะไรประหลาดนัก หากหาเงินได้ไม่พอ ทำไมจึงไม่ไปหายืมมาเสียเล่า?” จ้าวซื่อกล่าวด้วยเสียงหัวเราะพลางมองลุงสอง “เป็บุรุษแล้วกลับร้องไห้งอแง ไม่รู้สึกสมเพชตัวเองบ้างหรือ?”
หลินคนรองไม่ได้สนท่าทีดูแคลนของจ้าวซื่อแล้ว เขาปาดจมูกแล้วถาม “พี่สะใภ้ใหญ่ จะให้ข้าไปยืมจากที่ใดกัน? พวกเราไม่มีญาติที่ไหนแล้วนะ”
“ในเมืองมีคนที่ชื่อหวังซานผู้คอยปล่อยให้ยืมเงินอยู่ พวกเ้าแค่ไปยืมเงินส่วนสำหรับสองสามเดือนมาก็จบ” ได้ยินเช่นนี้แล้ว ปากที่ปิดมาตลอดของหลินต้าฉานจึงได้เปิดขึ้นมา
ทันทีที่ได้ยินเช่นนี้ หลินฟู่อินก็รู้ทันทีว่านี่มิใช่ทางเลือกที่ดี หากเขาปล่อยยืมเป็อาชีพ เช่นนั้นก็แปลว่าเขาเป็พวกปล่อยกู้นอกระบบมิใช่หรือ?
เฝิงซื่อเองก็เผลอส่งเสียงออกมาเช่นกัน แล้วจึงเผลอชี้นิ้วใส่ต้าฉานผู้เป็สามีก่อนดุด่า “นี่พวกเ้าคิดจะผลักให้บ้านพวกข้าไปตายงั้นหรือ? เงินของหวังซานมันดีตรงไหนกัน? ถ้ายืมมา
1 เฉียน แต่พอเดือนสองกลับต้องจ่ายคืนสองเฉียน แล้วเมื่อถึงเดือนสามกลับต้องจ่ายถึง
6 เฉียน!”
สายตาของหลินฟู่อินแทบมืดดับ การกู้เงินนั้น แค่มีดอกเบี้ย สามหรือห้าเปอร์เซ็นต์ก็นับว่ามากเกินแล้ว แต่หวังซานนี่กลับเรียกเงินคืนถึงสองเท่าในเดือนที่สอง และหกเท่าในเดือนที่สาม
นี่ไม่ใช่การคำนวนดอกเบี้ยแล้ว เป็แค่การสูบเืก็เท่านั้น
นางไม่มีทางยอมให้บ้านต้าเหอไปกู้เงินก้อนนี้มาแน่
“ท่านพ่อ ท่านแม่ พวกท่านไม่ต้องลำบากก็ได้เ้าค่ะ ข้ากับน้องจะไปทำงานซักผ้าที่บ้านคนมีเงิน แล้วพวกข้าก็จะทำงานเย็บปักด้วย! ข้าไม่เชื่อว่าพวกข้าจะทำเงินสองเฉียนต่อเดือนไม่ได้!” อาเฝิงกล่าวด้วยสีหน้าหม่นหมองทว่ากล้าหาญ “พวกเราไม่ต้องไปยืมเงินของหวังซานนั่นหรอก!”
“ใช่ พวกข้าไม่ยืมเงินจากหวังซานแน่ ท่านลุง ท่านกำลังทำร้ายพวกข้าอยู่นะ!” อาฝางเองก็รวบรวมความกล้าแล้วจ้องมองหลินต้าซานอย่างเดือดดาลเช่นกัน
หลินฟู่อินแทบจะปรบมือให้กับสองสาวเลยทีเดียว
ความทะเยอทะยานเช่นนี้ละที่นาง้า
หลินฟู่อินหันไปขยิบตาให้ยายหลี่
ยายหลี่จึงพยักหน้ารับแล้วจึงหันมองท่านปู่หลินก่อนกล่าวออกมา
“ท่านผู้เฒ่าหลิน ตอนนี้ถือว่าเราแบ่งบ้านกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว พวกเ้าพ่อลูกก็จงไปเขียนสัญญาแบ่งบ้านมาเสีย เขียนมาเป็ข้อๆ หนึ่งถึงสิบ แล้วทั้งสองฝ่ายค่อยประทับตรานิ้วยืนยัน”
ท่านปู่หลินได้ยินแล้วจึงหน้าป่องขึ้นมาเล็กน้อย
“ถ้าน้องรองส่งเงินมาไม่ได้จะเป็อย่างไรรึ?” จ้าวซื่อกลอกตาถาม เป็ท่าทีที่เรียกได้ว่าเป็ของคนชั้นต่ำ
ยายหลี่เองก็มิได้อารมณ์ดีมากนัก เมื่อได้ยินนางพ่นคำเช่นนั้นออกมาแล้วจึงตอบไปว่า “ต่อให้หามาไม่ได้ พวกเ้าก็ไม่มีสิทธิ์ไปกดดันพวกเขาจนตาย ถ้าพวกเ้าทนไม่ไหวจริงๆ ก็กลับไปรวมบ้านกันใหม่สิ”
แบ่งแล้วกลับมารวมใหม่ได้หรือ?
หลินฟู่อินคิดว่าวิธีของยายหลี่นั้นยอดเยี่ยม หากเป็เช่นนั้นแล้วจะต้องใช้เงินกันมหาศาล หากให้เวลาสักหน่อย ฝ่ายที่จะไม่อยากรวมบ้านคงกลายเป็ฝ่ายสามีภรรยาหลินต้าซานเสียเอง
จ้าวซื่อถูกยายหลี่หยุดไว้ ในใจของนางกำลังสบถด่าทอยายหลี่อย่างรุนแรง แต่เบื้องหน้านั้นมิกล้ากล่าวสิ่งใด
ยายเฒ่าผู้นี้นั้นทั้งเข้มงวดและมีอำนาจ แม้แต่แม่สามีของนางก็มิอาจรับมือนางได้ นางจึงมิกล้าไปหาเื่ด้วย
นางเหลือบมองอู๋ซื่อ อู๋ซื่อนั้นไม่อยากมีปัญหากับยายหลี่จึงไม่กล่าวอะไร
จ้าวซื่อผิดหวังนัก
เห็นเช่นนี้แล้ว ท่านปู่หลินจึงถอนหายใจในใจ มองหลินฟู่อิน แล้วถามด้วยสายตาเหม่อลอย “เ้าเขียนได้ใช่หรือไม่?”
หลินฟู่อินพยักหน้า ฉู่ซื่อเป็คนสอนให้นางอ่านเขียนได้เองกับมือ
ท่านปู่หลินพยักหน้า น้ำเสียงทุ้มขึ้น “ข้าพูด เ้าเขียน”
หลินฟู่อินเห็นด้วย แล้วจึงไปหยิบกระดาษและพู่กันมาจากโต๊ะของฉู่ซื่อที่อยู่ทางเหนือของบ้าน
เมื่อนางเขียนตามที่ท่านปู่หลินกล่าว สุดท้ายท่านปู่หลินก็เพิ่มอีกข้อ “จากนี้ไป พวกเ้าทั้งสองจะต้องส่งเงินค่าดูแลคนชราให้พวกข้าในวันที่สิบห้าของทุกเดือน”
“ดีแล้ว วันสุดท้ายของเดือนมันต้องรอนานเกินไป” อู๋ซื่อปิดปากกล่าว
“แล้วเดือนนี้ล่ะเ้าคะ?” จ้าวซื่อถามทันที
สายตาของท่านปู่หลินเป็ประกายขึ้นมา “เดือนนี้ส่งสิ้นเดือน เดือนหน้าไปสิบห้า”
จ้าวซื่อหุบปากอย่างไม่พอใจนัก
ทุกคนประทับนิ้วด้วยผงปรอท ท่านปู่หลินบอกว่าเพราะตอนนี้หลินคนเล็กไม่อยู่ ดังนั้นฟู่อินต้องเป็คนประทับนิ้วแทน
นี่เป็หนึ่งในเหตุผลที่ท่านปู่หลินเลือกที่จะคุยที่บ้านของหลินฟู่อิน
หลินฟู่อินรับคำ หากไม่มีอะไรผิดพลาด พรุ่งนี้ศิษย์ของหมอหลี่จะนำเงินค่าสูตรหนึ่งร้อยตำลึงมาที่นี่
นางจึงไม่ต้องกังวลเื่เงินขาดมือ แต่หากนางไม่คิดวิธีทำเงินอื่นๆ ออกมาได้เล่า?
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้