“ขอบคุณพี่ใหญ่เฝิง ไว้ข้าจะทำให้ใหม่นะเ้าคะ”
“ครอบครัวเดียวกัน ไม่ต้องเกรงใจ”
เฝิงเจี่ยนโบกมือน้อยๆ ทว่าประโยคที่พูดออกมากลับทำให้ลู่เสี่ยวหมี่หน้าแดง แต่นางไม่มีเวลามาคิดอะไรให้มากความ รีบแบ่งงานทันที
“พี่ใหญ่พี่รอง พวกท่านเข้าไปในหมู่บ้าน ไปถามตามบ้านแต่ละหลังว่ามีผ้าห่มเก่าๆ หรือเสื้อคลุมหนังบ้างหรือไม่ มีอะไรก็เอามาก่อน เราต้องเอามาคลุมเพิงผักเอาไว้ หากพวกเขาถามก็ตอบไปตามจริง”
“ได้ พวกเราจะไปเดี๋ยวนี้”
พี่ใหญ่ลู่และพี่รองลู่พุ่งตัวออกไป ลู่เสี่ยวหมี่เข้าไปเก็บผ้าคลุมเสื้อคลุมทั้งเก่าใหม่ในบ้าน ส่วนเฝิงเจี่ยนนายบ่าวช่วยกันหอบเอาไปที่สวนผัก
สกุลลู่ครึกครื้นขนาดนี้ คนในหมู่บ้านเขาหมีย่อมได้รับข่าวอย่างรวดเร็ว
เพิงผักทั้งสิบ ลู่เสี่ยวหมี่ทุ่มเทแรงกายแรงใจและเงินทองไปมากเท่าไรทุกคนล้วนทราบดี ยามนี้จู่ๆ ก็จะมีหิมะห่าใหญ่ตกลงมา พืชผักที่ใกล้จะขายได้กำไรงามกำลังจะหนาวตาย ทำเอาทุกคนร้อนใจกันไปหมด
บรรดาสตรีในบ้านเปิดห้องเก็บของ พลิกหาของด้านในจนฝุ่นตลบทำเอาบรรดาหนูที่แอบซ่อนตัวอยู่ตกอกใกันใหญ่
บ้านนี้ให้ผ้าห่ม บ้านนี้ให้เสื้อคลุม บางบ้านถึงกับให้หนังหมาป่ามาสองผืน
ทุกคนร่วมแรงร่วมใจกันจนสามารถคลุมเพิงผักทั้งหมดได้อย่างมิดชิด
สุดท้ายก็ใช้ฟางข้าวปิดทับไว้ข้างบนอีกที เอาไม้และก้อนหินทับไว้อีกชั้นป้องกันลมพัดปลิวไป ทุกคนถึงพากันเบาใจลงได้
ลู่เสี่ยวหมี่เช็ดเหงื่อบนหน้าผาก นางนำพี่ชายทั้งสองประสานมือค้อมกายขอบคุณทุกคนอย่างจริงใจ
“ขอบคุณท่านลุงท่านป้าทั้งหลายที่ให้ความช่วยเหลือ สกุลลู่ซาบซึ้งน้ำใจยิ่งนัก”
“คนบ้านเดียวกันทั้งนั้น อย่าพูดจาเกรงใจเช่นนี้เลย” พวกนายพรานล้วนเป็ชาวบ้านที่มีนิสัยตรงไปตรงมา การขอบอกขอบใจอย่างเอิกเกริกเช่นนี้กลับทำให้พวกเขารู้สึกเขินอายเสียมากกว่า
บางคนถึงกับหัวเราะกลบเกลื่อน “นั่นน่ะสิ รอเสี่ยวหมี่ร่ำรวยแล้ว ซื้อสุรามาเลี้ยงพวกเราก็ใช้ได้แล้ว”
“ได้เลยเ้าค่ะ ท่านลุงทั้งหลายวางใจ หากนำผักไปขายได้แล้ว ไม่ว่าจะเนื้อผักหรือสุรา ต้องมีมากพอให้ทุกท่านดื่มกินแน่นอน”
เสี่ยวหมี่เองก็ตอบรับอย่างตรงไปตรงมาเช่นกัน เสร็จแล้วก็กล่าวต่อไปว่า “เช่นนั้นคืนนี้เกรงว่าจะต้องรบกวนท่านลุงทุกท่านช่วยพี่รองของข้าเฝ้าแปลงผักแล้วเ้าค่ะ หากว่าหิมะตกลงมาอย่างหนักแล้วไม่ทำความสะอาดอย่างทันท่วงทีอาจจะทำให้เพิงผักล้มลงได้”
“ได้เลย เื่เล็กน้อย”
“ที่บ้านข้ามีสุราอยู่สองไห ประเดี๋ยวข้าจะไปเอามา คืนนี้มาก่อกองไฟตั้งวงดื่มกัน”
บรรดานายพรานว่างอยู่เฉยๆ กันมาหลายเดือนตลอดฤดูหนาว จึงตื่นเต้นกับการตั้งวงดื่มสุราด้วยกันยิ่งนัก พากันแยกย้ายกลับบ้านไปค้นหาเสื้อคลุมหนังหมี หนังหมาป่าที่หนาที่สุด รวมถึงผ้าห่มและสุราที่บ่มอยู่ในบ้าน ดูครึกครื้นคล้ายจะเตรียมขึ้นเขาไปล่าสัตว์ก็ไม่ปาน
บรรดาสตรีก็ไม่มีใครห้ามปราม เพียงแค่ช่วยตรวจตราดูว่าเพิงผักนี้ถูกคลุมจนมิดชิดแล้วหรือยัง จากนั้นก็แยกย้ายกันกลับไป
เป็จริงดังคาด ผ่านไปไม่นาน ท้องฟ้าก็มืดครึ้ม อากาศอุ่นขึ้นราวกับกำลังเล่นตลก จากนั้นไม่นานลมเหนือก็พัดมาอย่างรุนแรง เมฆยิ่งรวมตัวกันหนาขึ้น
ท้องฟ้ายังไม่ทันมืดสนิท หิมะสีขาวราวกับขนห่านก็ค่อยๆ โรยตัวลงมา
หากเป็ยามปกติ ฉากหิมะตกเช่นนี้ เสี่ยวหมี่จะต้องยื่นมือออกไปรองหิมะเอามาเล่นอย่างสนุกสนาน
แต่วันนี้กลับไม่มีความรู้สึกเช่นนั้นหลงเหลืออยู่อีก หากว่าพืชผักที่เป็ความหวังของนางไม่อาจผ่านพ้นคืนนี้ไปได้ เกรงว่าคงขาดทุนมหาศาล
ไม่ถึงสองชั่วยาม บรรดานายพรานทั้งหลายก็ก่อไฟขึ้นข้างสวนผัก พวกเขาไม่หยุดโยนฟืนเติมเชื้อไฟให้กองไฟโหมสูงขึ้นเรื่อยๆ เมื่อครู่เหล่านายพรานได้ช่วยกันปัดกวาดหิมะบนเพิงผักลงมารอบหนึ่งแล้ว ยามนี้จึงใช้เสื้อคลุมกับผ้าห่มคลุมกายมานั่งล้อมวงข้างกองไฟ แจกจ่ายสุราฤทธิ์แรงให้กันและกัน เพียงไม่นานแต่ละคนก็หน้าแดงไม่แพ้แสงไฟ
หากมีคนที่ไม่รู้เื่ราวมองมาจากที่ไกลๆ เกรงว่าคงจะตกอกใไม่น้อย ที่ข้างสวนผักมี ‘สัตว์ป่าดุร้าย’ มากมายรวมตัวกันอยู่
ห้องครัวสกุลลู่จุดไฟสว่างไสว ในหม้อเหล็กขนาดใหญ่กำลังตุ๋นน้ำแกงกระดูกหมูเดือดปุดๆ เพราะถูกตุ๋นมาครึ่งวันแล้วน้ำแกงจึงเป็ไขสีขาว บนผิวน้ำมีฟองไขมันเดือดปุดๆ ทำเอาเกาเหรินวนเวียนอยู่ข้างเตาไม่ยอมไปไหน
ลู่เสี่ยวหมี่เทผักกาดขาวและเต้าหู้ที่หั่นเป็ชิ้นๆ ลงไปในหม้อแล้วปิดฝาหม้อไว้ เมื่อมันเดือดปุดๆ อีกครั้งก็เทเกลือลงไป
“เกาเหริน รีบช่วยข้าเติมฟืน อีกประเดี๋ยวจะตักเต้าหู้ให้เ้าชิม”
ั้แ่เฝิงเจี่ยนาเ็ที่ขาแล้วมาพักรักษาตัวที่จวนสกุลลู่ สกุลลู่ก็ไม่เคยหยุดตุ๋นน้ำแกงกระดูกหมู ลู่อู่ถูกไล่เข้าเมืองไป ทุกครั้งสาเหตุก็คือกระดูกหมูที่บ้านหมดแล้ว
เ้าของเพิงขายเนื้อสัตว์ในเมืองถึงกับตั้งใจสะสมกระดูกหมูเอาไว้รอให้ลู่อู่มาเอาไป ถึงแม้รวมกันแล้วจะเป็เงินไม่มาก แต่มันเป็ของที่ยามปกติเขาก็แค่ทิ้งไปเปล่าๆ ยามนี้เอามาขายแลกเงินได้มีตรงไหนไม่ดี
คนสกุลลู่ก็ได้กันกินน้ำแกงกระดูกหมูไปกับเฝิงเจี่ยน เื่ที่ว่าจะช่วยบำรุงร่างกายได้จริงหรือไม่ไม่มีใครรู้ แต่ดูเอาจากเกาเหรินลู่อู่ที่วันทั้งวันไม่เคยอยู่นิ่ง แต่ก็ไม่แสดงอาการเหนื่อยล้าแม้แต่น้อย
เกาเหรินเองก็รู้สึกแปลกใจ น้ำแกงกระดูกหมูนี่ก็ไม่ได้ใส่ของดีอะไรลงไป เหตุใดกินอย่างไรก็ไม่เคยพอกันนะ
เหมือนกับในตอนนี้ ทั้งๆ ที่ในใจไม่พอใจที่ถูกแม่นางน้อยเรียกใช้ แต่มือเขากลับเติมฟืนไม่หยุด
หรือว่าที่จริงแล้วแม่นางน้อยคนนี้จะเป็ชาวหนานเจียง นางแอบใส่กู่ [1] ให้เขากิน?
ลู่เสี่ยวหมี่ไม่รู้ว่าในใจของเกาเหรินกำลังคิดเหลวไหลไปถึงไหนต่อไหน ตอนนี้นางกำลังยุ่งอยู่กับการนวดแป้ง
คนในหมู่บ้านลงแรงช่วยเหลือถึงเพียงนี้ ตอนนี้สกุลลู่เองก็ไม่สามารถตอบแทนด้วยของอย่างอื่นได้ แต่น้ำแกงหนึ่งถ้วย หมั่นโถวหนึ่งลูกยังสามารถให้ได้อยู่
ตอนกลางวันที่เตรียมแป้งไว้ นางยังคิดจะเอามาทำแป้งทอด แต่พอได้ข่าวว่าหิมะจะตกหนัก นางจึงตวงแป้งออกมาเพิ่มแล้วปล่อยให้มันพองออกมาถึงสองกะละมัง เตรียมจะนึ่งหมั่นโถวให้ทุกคน
ที่เรือนด้านหลัง ท่านป้าหลิวเดาได้อยู่แล้วว่าเสี่ยวหมี่เป็คนใจกว้างรู้ความ คงจะต้องเตรียมของกินให้ทุกคนอยู่แน่ๆ ดังนั้นหลังจากที่กล่อมหลานชายเข้านอนแล้ว นางจึงมาหาเสี่ยวหมี่
เสี่ยวหมี่กำลังเหน็ดเหนื่อย ทั้งเมื่อยแขนปวดหลังอยู่พอดี พอเห็นคนช่วยมาถึงแล้วก็ยิ้มออก
เมื่อสองคนช่วยกันทำจึงเร็วขึ้นมาก ไม่ถึงหนึ่งชั่วยามก็นึ่งหมั่นโถวออกมาได้ร้อยกว่าลูก
คนทั้งสองแบ่งกันกินจนอิ่มแล้ว จึงหันไปตักน้ำแกงกระดูกหมูตุ๋นผักกาดขาวและเต้าหู้ใส่ถังใหญ่ แล้วนำหมั่นโถวใส่ตะกร้า
ตอนที่กำลังจะเดินออกจากประตูนั่นเอง เฝิงเจี่ยนก็พาผู้เฒ่าหยางเดินเข้ามา ผู้เฒ่าหยางรับหน้าที่ยกถังน้ำแกง ส่วนเฝิงเจี่ยนจะเข้าไปช่วยถือตะกร้าหมั่นโถว
แต่เสี่ยวหมี่ไม่ยอม “พี่ใหญ่เฝิง เหตุใดยังไม่นอนพักผ่อนอีกเ้าคะ หากท่านหิวข้ามีเหลือไว้ให้ท่านอยู่นะเ้าคะ”
เฝิงเจี่ยนยิ้มบางๆ ยืนกรานจะยึดตะกร้าหมั่นโถวมาถือเอง “ข้าช่วยอย่างอื่นไม่ได้ แต่เื่นี้ทำได้ไม่มีปัญหา”
เสี่ยวหมี่ไม่ได้ว่าอะไรอีก ยิ้มแย้มเดินตามพวกเขาไปที่สวนผัก
ท่านป้าหลิวเห็นแล้วก็ขมวดคิ้วน้อยๆ นางรู้สึกไม่ค่อยสบายใจนิดหน่อย แต่เสี่ยวหมี่เหมือนคิดอะไรขึ้นมาได้ วิ่งกลับไปที่ห้องครัวหยิบหมั่นโถวที่เหลืออยู่ใส่กล่องข้าว
“ท่านป้าหลิว คืนนี้ท่านก็ไม่ต้องมาอดนอนกับพวกเราหรอกเ้าค่ะ เอาหมั่นโถวกลับไปให้พี่กุ้ยจือเอ๋อร์กับหลานกินนะเ้าคะ”
ท่านป้าหลิวดึงสติกลับมา นางไม่ได้ปฏิเสธแล้วเดินออกจากประตูไปพร้อมกับพวกเขา
พวกนายพรานได้กินหอมลอยมาจากห้องครัวสกุลลู่อยู่พักหนึ่งแล้ว ก็รู้ว่าพวกตนคงมีของว่างกิน แต่คิดไม่ถึงว่าจะมากขนาดนี้
ต้องรู้ก่อนว่าแป้งทำหมั่นโถวหนึ่งจินนั้นราคาเทียบเท่าแป้งข้าวโพดเจ็ดแปดจิน ยามปกติหากไม่ใช่ปีใหม่ ครอบครัวของพวกเขาก็ไม่มีใครกล้าซื้อกัน
แต่คืนนี้สกุลลู่กลับนึ่งหมั่นโถวขาวนุ่มกับน้ำแกงอีกถ้วยหนึ่งมาแจกพวกเขา
“เสี่ยวหมี่ เ้าเกรงใจเกินไปแล้ว หมั่นโถวมากขนาดนี้ ต้องเสียแป้งดีๆ ไปเท่าไรกัน”
ทุกคนกลืนน้ำลายแต่ปากก็ยังอดเอ่ยออกมาอย่างเกรงอกเกรงใจไม่ได้
“ท่านลุงช่วยพวกเราเฝ้าสวนผักทั้งคืน ต้องลำบากทั้งเหนื่อยทั้งหนาว หากไม่เตรียมของว่างให้พวกท่านข้าจะสบายใจได้อย่างไร”
เสี่ยวหมี่รีบตักน้ำแกงให้ทุกคน รวมทั้งแจกจ่ายหมั่นโถว ยิ้มแย้มกล่าวว่า “ท่านลุงทั้งหลายอย่ารังเกียจว่าเล็กน้อยเป็พอ รอจนขายผักได้เงินแล้ว พวกเราค่อยเลี้ยงสุราทุกท่าน”
“ได้ เช่นนั้นพวกเราก็ไม่เกรงใจแล้ว ทุกคนล้วนเป็คนบ้านเดียวกัน วันหน้าหากมีอะไรให้ช่วยก็เรียกได้เลยไม่ต้องเกรงใจ”
ทุกคนก้มหน้าก้มตากินอย่างเอร็ดอร่อย กินไปพลางช่วยกวาดหิมะไปพลาง จากนั้นจู่ๆ ก็มีเสียงะโขึ้นมาว่า “หิมะหยุดตกแล้ว”
ทุกคนได้ยินเช่นนั้นก็เงยหน้าขึ้นมองฟ้า ไม่มีหิมะขาวๆ ตกใส่หน้าแล้วจริงๆ จึงพากันส่งเสียงอย่างดีอกดีใจ “นั่นน่ะสิ ดียิ่งนัก”
“พวกเรากินเสร็จแล้วก็ช่วยกันเติมฟืนหน่อย อย่างไรสิ่งที่พวกเราไม่ขาดแคลนที่สุดก็คือฟืนนี่แหละ หิมะหยุดแล้วเป็่ที่กำลังหนาวที่สุด รีบช่วยสุมไฟให้ต้นกล้าอบอุ่นหน่อย”
“ใช่แล้วๆ”
ทุกคนพากันเร่งมือ กวาดอาหารตรงหน้าลงท้องไปจนหมด จากนั้นก็ลุกขึ้นมาช่วยกันคนละไม้ละมือ
เสี่ยวหมี่เป็ห่วงต้นกล้า นางเปิดเพิงที่อยู่ใกล้ที่สุดออกแล้วยื่นมือเข้าไปลูบคลำต้นกล้าที่อยู่ด้านใน ถึงแม้จะเย็นไปสักหน่อยแต่ก็ไม่มีทีท่าว่าจะแข็งเป็น้ำแข็ง แค่นี้นางก็วางใจแล้ว
ค่ำคืนไม่ว่าจะมืดมิดหรือหนาวเหน็บแค่ไหนก็ย่อมผ่านพ้นไป รอจนพระอาทิตย์โผล่พ้นยอดเขาขึ้นมา บรรดานายพรานที่ง่วงงุนต่างพากันบิดี้เีคลี่ยิ้มกว้าง
“หิมะครั้งนี้ผ่านพ้นไปแล้วจริงๆ”
มองไปรอบๆ ขุนเขาที่เดิมทีเริ่มเผยรูปลักษณ์ที่แท้จริงออกมาแล้ว บัดนี้กลับถูกหิมะทับถมลงไปอีกครั้ง หลังคาบ้านแต่ละหลังเกรงว่าคงจะถูกหิมะหนาหนักทับ
มีเพียงเพิงผักสกุลลู่ที่ไม่มีเศษหิมะปกคลุมแม้แต่น้อย แม้แต่พื้นที่โดยรอบก็ไม่มีกองหิมะเนื่องจากได้รับความร้อนจากกองไฟทำให้ละลายไปอย่างรวดเร็ว ที่แห่งนี้คล้ายจะเป็ไข่มุกสีดำกลางเมืองหิมะ ดำสนิทดึงดูดสายตา...
เมื่อคืนเสี่ยวหมี่ไม่มีกะจิตกะใจจะกลับไปนอนที่เรือนหลัง นางต้มน้ำร้อนยกมาที่สวนผักหม้อแล้วหม้อเล่า สุดท้ายเพราะเหนื่อยเกินไปนางจึงพิงเตาไฟหลับไป
จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวจากด้านนอก นางจึงใตื่นขึ้นมา กลับพบว่าบนร่างไม่รู้มีเสื้อกันลมคลุมไว้ั้แ่เมื่อใด ส่วนเฝิงเจี่ยนกำลังโยนกิ่งไม้แห้งเหี่ยวเข้าไปในเตาไฟ คล้ายว่าจะไม่เคยทำงานเช่นนี้มาก่อน หน้าของเขาจึงมีเขม่าดำติดเต็ม แต่ขนาดนี้แล้วเตาไฟก็ยังไม่มีแม้แต่สะเก็ดไฟ
เขาขมวดคิ้ว ก่อนจะก้มหัวแหวกกิ่งไม้ออกเป็โพรง ยื่นหน้าเข้าไปคิดจะเป่าให้ไฟลุกขึ้น จู่ๆ กลับได้ยินเสียงดังสนั่นจากเตา
เตาไฟที่ถูกอัดแน่นจู่ๆ ก็มีทางให้อากาศแทรกเข้าไป มันจึงะเิควันดำออกมาใส่หน้าเขาเต็มๆ
เสี่ยวหมี่รีบทิ้งเสื้อคลุม พุ่งเข้าไปประคองคนตรงหน้า “พี่ใหญ่เฝิง รีบดื่มน้ำเร็วเข้า ถ้าไอเอาควันออกมาก็จะ...”
เฝิงเจี่ยนไอสำลักจนน้ำหูน้ำตาไหล เงยหน้าขึ้นมาจะกล่าวอะไร กลับเห็นเสี่ยวหมี่สีหน้าแปลกประหลาด แก้มนางป่องออกมาเหมือนกำลังกลั้นอะไรเอาไว้
“เป็อะไรไป”
เขาถามอย่างสงสัยแต่เสี่ยวหมี่กลับหัวเราะฮ่าฮ่าออกมาแทน
“ไม่ไหว ข้าทนไม่ไหวแล้วจริงๆ...ฮ่าฮ่า...”
เฝิงเจี่ยนลูบหน้าตัวเองเบาๆ กลับพบว่ามีเขม่าดำติดมาเต็มมือ เขาใจนตาโต
เขาเปิดฝาโอ่งน้ำออกเพื่อส่องดู เงาสะท้อนบนผืนน้ำคือเ้าอัปลักษณ์ใบหน้าดำคล้ำผมเผ้าชี้ฟู มีน้ำไหลเป็ทางออกมาจากดวงตา
เชิงอรรถ
[1] กู่(蛊)คือการเอาสัตว์มีพิษชนิดต่างๆ มาใส่ในไหหรือภาชนะที่ปิดสนิท เพื่อให้พวกมันฆ่ากันเองจนกว่าจะมีอสรพิษตัวใดตัวหนึ่งเหลือรอด และกลายเป็ศูนย์รวมของพิษที่อันตรายที่สุด ตัวที่เหลือรอดก็คือกู่ ซึ่งกู่พิษแต่ละตัวจะมอบพิษที่นำไปสู่ความตายในรูปแบบที่แตกต่างกัน
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้