“แม่นางหลิน มาช่วยข้าหน่อย!”
หลินฟู่อินพยักหน้า แล้วเข้าไปช่วยยกร่างของชายคนนั้นขึ้นพิงไหล่ของนาง
นางขมวดคิ้ว ตัวหนักยิ่งนัก…
ตวนมู่เฉิงป้อนเืแกะปริมาณมากให้เ้านายของเขา
คนป่วยดูจะเข้าใจว่านี่เป็สิ่งที่จะช่วยชีวิตเขาได้ จึงพยายามกลืนลงไป แม้มันจะหนืดข้น เืไหลผ่านริมฝีปากเขาหลายสาย ทว่ากลับไม่ได้ดูน่าหวาดหวั่น แต่ดูงดงามเสียด้วยซ้ำ
อย่างที่ว่า พวกคนหล่อนี่มันต่างออกไปจริงๆ
หลังจากกรอกเืแกะสดๆ เสร็จแล้ว หลินฟู่อินจึงยื่นมือไปหยิบผ้าเช็ดหน้าจากเอวขึ้นมาเช็ดปากให้เขา ก่อนจะวางเขานอนอย่างระมัดระวังบนพื้นเรียบ แล้วปิดด้วยการนวดไหล่ของเขาที่เจ็บอยู่
ครึ่งชั่วยามหลังป้อนเืแกะ สีหน้าของหวงฝู่จินก็เริ่มมีสีเืขึ้นมา
เป็ตอนที่กำลังตั้งไฟเพื่อเตรียมสมุนไพรที่ไปหามาพอดี
หลินฟู่อินใช้สมุนไพรแค่สามชนิด ได้แก่ ถั่วเขียว จินอิ๋นฮวา [1] และกันเฉ่า
ผสมสมุนไพรทั้งสาม แล้วเคี่ยวมันให้เข้ากัน
“แม่นางหลิน สีหน้าของนายท่านดีขึ้นแล้ว เืแกะนั่นเป็ยอดโอสถจริงๆ และท่านเองก็เป็หมอเทวดา!” ตวนมู่เฉิงนับถือหลินฟู่อินมากยิ่งขึ้น กล่าวกับนางด้วยรอยยิ้ม
หลินฟู่อินกล่าวเพียง “เป็เกียรติมากเ้าค่ะ” แล้วจึงเงียบไป
แต่ตวนมู่เฉิงยังไม่หุบยิ้ม เขากล่าวต่อ “หากเืแกะนี่รักษาพิษได้แล้ว ท่านจะหลอมโอสถไปทำไมอีกหรือ? แค่ดื่มเืแกะเพิ่มไม่ได้หรือ์”
ตวนมู่เฉิงผู้นี้เป็คนเ้าเล่ห์ แม้รูปร่างภายนอกจะสูงใหญ่และดูโง่เขลา แต่แท้จริงแล้วเขาเป็คนกล้าได้กล้าเสียและแฝงไว้ด้วยเล่ห์กล
เมื่อเห็นว่ายาของนางใช้ได้ผลจริง เขาจึงสุภาพกับนางมากขึ้น
“เืแกะมันแห้งเกินไป หากดื่มมากเกินไปมีแต่จะกลายเป็ผลเสีย การใช้สมุนไพรเพื่อระบายความร้อนและล้างท้องจึงดีกว่า” หลินฟู่อินอธิบายง่ายๆ
ตวนมู่เฉิงพยักหน้ารับ แล้วจึงถามอีก “เช่นนั้นแล้ว ข้าอยากให้แม่นางหลินดูแผลของนายท่านด้วย”
“ไว้ดื่มยาแก้พิษเสร็จแล้วค่อยดู”
เมื่อล้างพิษจนหมด นางจึงเริ่มดูแผล
ดูจากแผลแล้วดาบที่ใช้ฟันคงมีความคมมาก แทบจะปาดเนื้อก้อนเท่าฝ่ามือบุรุษให้หลุดไปได้เลยทีเดียว
แต่โชคดีที่เหมือนเขาจะหลบได้ทัน แผลจึงไม่ลึกมาก แต่าแที่ผิดไปจากรูปร่างเดิมนั่นก็ดูน่าหวาดหวั่นอยู่ดี
กว่าจะหายคงต้องใช้เวลานาน แถมการระวังไม่ให้อักเสบก็ยังเป็เื่ยาก
นางคิดมาตลอดว่านางควรจะใช้ยาแบบไหนดี
“แม่นางหลิน ยาพร้อมแล้ว” ตวนมู่เฉิงมองตะเกียงน้ำมัน แล้วจึงบอกหลินฟู่อินที่กำลังนั่งเท้าค้างอยู่ เขาเห็นภาพนั้นแล้วก็คิดว่านางยังเป็เด็กแท้ๆ แต่เหตุใดถึงได้ดูสงบนิ่ง และดูผ่านประสบการณ์ในโลกมากถึงเพียงนี้กัน?
“ป้อนได้เลย” หลินฟู่อินกล่าวแค่สามคำสั้นๆ
ชาติก่อนของนาง เพราะนางศึกษาสมุนไพรจีน นางจึงจำสูตรยาสำหรับแผลสดได้หลายสูตร
ตอนแรกนางคิดจะใช้หยุนหนานไป๋เหยา [2] แต่โชคร้ายที่สูตรมันดันเป็ความลับระดับชาติ ในระดับที่เป็ตำนานลอยๆ ในหมู่ประชาชน แต่ไม่เคยได้รับการยืนยัน
ในเมื่อมันไม่มีให้ใช้ นางจึงคิดถึงพวกยาพอกแทน
ในระหว่างที่นางกำลังนึกย้อนถึงส่วนผสมอยู่ในใจ นางก็ได้ยินเสียงร้องของเหล่าลิ่วที่กำลังะโพลางกอดร่างตัวเอง
ริมฝีปากหลินฟู่อินกระตุก ในป่าลึกเช่นนี้ไม่ได้มีเพียงยุง มันยังมีแมลงมีพิษอื่นๆ ด้วย
หลังมือนางเองก็ถูกกัดไปหลายจุด และมันก็คันมาก
“แม่นางหลิน ที่นี่มียุงเยอะนัก ทั้งตัวยังใหญ่มาก ท่านเป็หมอ มีวิธีอะไรดีๆ บ้างหรือไม่?” เหล่าลิ่วเป็คนตรง และเพราะพิษของเ้านายเขาค่อนข้างจะเรียกได้ว่าถูกล้างแล้ว เขาจึงอารมณ์ดี หัวเราะไม่หยุด
“รู้จักอ้ายเฉ่าหรือไม่? ถ้ารู้จักก็ไปตัดมาห้อยไว้รอบบ้านเสีย บนเพดานด้วย”
“รับคำสั่ง!” เหล่าลิ่วรับคำอย่างว่าง่าย แล้วจัดคนออกไปทันที
เพราะตวนมู่เฉิงกลัวว่านายของเขาเองก็จะถูกยุงกัดเหมือนกัน จึงไม่ออกปากห้าม
“แม่นางหลิน ไม่ทราบว่าท่านเรียนวิชาแพทย์ชั้นยอดนี้มาจากหมอเทวดาคนไหนหรือ?” ตวนมู่เฉิงถามด้วยท่าทีเหมือนพลั้งปาก
หลินฟู่อินกำลังนั่งอยู่บนตอไม้ที่ถูกผ่าด้วยดาบ พลางคิดถึงหลายๆ สิ่ง เมื่อได้ยินเขาถามเช่นนี้แล้ว นางจึงเลิกคิ้วขึ้น “แม่ของข้าสอนข้ามา นางชอบพวกสูตรยาเช่นนี้ โดยเฉพาะพวกยายากๆ ดังนั้นนางจึงสอนข้ามาด้วย”
“โอ วิชาแพทย์ของมารดาท่านช่างยอดเยี่ยมนัก!” ตวนมู่เฉิงกล่าวเสียงดัง แต่ก็รู้สึกเศร้าใจขึ้นมา เพราะนางจากไปแล้ว
แต่ตวนมู่เฉิงก็ลอบมองหลินฟู่อินผ่านแสงอาทิตย์ที่กำลังสาดส่อง ในใจเต็มไปด้วยคำถามมากมาย นางบอกว่าวิชาแพทย์ของแม่นางยอดเยี่ยม แล้วเหตุใดแม่ของนางถึงได้ไปอุดอู้อยู่ในหมู่บ้านเล็กๆ แห่งนั้นกัน?
หลินฟู่อินััได้ถึงความคลางแคลงใจในสายตาของเขา จึงกล่าวต่อช้าๆ “ครั้งหนึ่งแม่ของข้าเคยเป็คุณหนูจากตระกูลใหญ่ ด้วยความที่ชื่นชอบวิชาแพทย์ จึงได้ไปร่ำเรียนกับหมอชื่อดังคนหนึ่งั้แ่ยังเล็ก แต่ถึงนางจะมีพร์ที่ยอดเยี่ยม มันก็ไม่มีที่ให้เฉิดฉายในต้าเว่ยแห่งนี้ นางมีชะตาที่ไม่อาจศึกษาวิชาแพทย์อย่างเปิดเผยได้”
ได้ยินเช่นนี้แล้ว สายตาของตวนมู่เฉิงก็ฉายถึงความเข้าใจออกมา หากเป็เช่นนั้นมันก็เหมาะเจาะพอดี
ไม่แปลกเลยที่ร่างกายของแม่นางผู้นี้ จะดูต่างจากสาวชาวบ้านทั่วไป นางเคยเป็ลูกของคุณหนูจากตระกูลใหญ่นี่เอง
และเพราะแม่ของนางเคยได้เล่าเรียนกับหมอที่มีชื่อเสียงั้แ่ยังเด็ก จะเพราะนางมีพร์ หรือเพราะหมอผู้นั้นไม่สนเื่ที่นางเป็สตรีก็ตาม แต่เขาก็รับนางเป็ศิษย์
หรือไม่ก็เป็เพราะแม่ของนางเป็ขุนนางที่ยิ่งใหญ่จนหมอผู้นั้นต้องยอม…
ตวนมู่เฉิงนึกว่าหลินฟู่อินถอนหายใจ เพราะคิดถึงเื่ของตัวเอง แต่เขาไม่รู้ว่านางสังเกตเห็นแล้วว่า เปลือกตาของคนที่ติดพิษนั้นมีการเคลื่อนไหว จึงรู้ว่าเขาตื่นั้แ่ก่อนที่นางจะเล่าเื่เมื่อครู่เสียอีก ที่กล่าวไปทั้งหมดนั่น ก็เพื่อไม่ให้บุรุษคนนั้นคาดหวังกับนางมากนัก จะได้ไม่มีผลเสียต่อชีวิตหลังจากนี้ไปของนาง…
หวงฝู่จินตื่นแล้วจริงๆ ที่จริงแล้ว ด้วยความที่พื้นฐานร่างกายเขาค่อนข้างแข็งแกร่ง ดังนั้นแม้เขาจะดื่มยาแก้พิษเพื่อลดอาการของพิษไป แต่เขาก็ยังมีสติหลงเหลือมาโดยตลอด
ในระหว่างที่หลินฟู่อินกำลังดูอาการ ตวนมู่เฉิงก็ได้กล่าวในสิ่งที่เขาอยากถามไปเกือบหมดแล้ว…
ตอนแรกเขาตะลึงกับวิชาแพทย์ของเด็กคนนี้มาก จึงคิดไว้ในใจว่าจะส่งคนไปตรวจสอบทีหลัง
แต่เมื่อได้ยินบทสนทนาระหว่างนางกับตวนมู่เฉิงเกี่ยวกับแม่ของนางแล้ว เขาจึงตัดสินใจล้มเลิกแผนการ
ต้าเว่ยในตอนนี้มีฮ่องเต้ที่ไร้ความสามารถ ราชสำนักตกอยู่ในกำมือขององค์หญิง องค์หญิงผู้ที่ถูกยกย่องว่าเป็วีรสตรี ทว่าโชคร้ายที่คนในราชสำนักมีแต่พวกหน้าเนื้อใจเสือ ที่ชิงชังการที่ราชสำนักถูกสตรีควบคุม จึงมีการต่อต้านมากมายเคลื่อนไหวอยู่เื้ั
ฝ่ายปกครองไร้ซึ่งเสถียรภาพ เป็ผลให้หลายฝ่ายต่างก็ล่มสลาย การตัดสินคดีที่ไม่เป็ธรรม และการใส่ความมีมากขึ้นเรื่อยๆ พวกตระกูลที่ทรงอำนาจจริงๆ มีเพียงไม่กี่ตระกูลเท่านั้น
บางที ครอบครัวของมารดาของเด็กคนนี้เอง ก็คงถูกทรยศจนถูกขับไล่ออกมาเช่นกันกระมัง…
แต่การที่มารดาของเด็กคนนี้มาหลบซ่อนอยู่ในหมู่บ้านเล็กๆ กลางเขา โดยที่ถึงตัวจะจากไปแล้ว แต่ก็ยังเหลือลูกหลานไว้ นางก็คงไม่อยากให้ลูกหลานของนางต้องมารับรู้เื่ความชิงชังของคนรุ่นก่อนแน่ ดังนั้นแล้วเขาจะไม่พูดอะไร
หวงฝู่จินเองไม่ทันคิดเลยว่า เหตุใดเขาถึงต้องเป็ห่วงเด็กสาวตัวเล็กๆ คนนี้มากถึงเพียงนี้
------------------------------------------------
เชิงอรรถ
[1] จินอิ๋นฮวา หมายถึง ดอกสายน้ำผึ้ง
[2] หยุนหนานไป๋เหยา หมายถึง ผงขาวยูนนาน
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้