ท่านอ๋องพยักหน้า ตบไหล่หนิงมู่ฉือพร้อมกับถอนหายใจยาวออกมา “นางหนูหนิง เ้ายังอายุน้อย ยังมีโอกาสอีกมาก แต่เ้าต้องจำเอาไว้อย่างหนึ่ง ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องรักษาจิตใจที่ดีมีเมตตาเอาไว้”
หนิงมู่ฉือพยักหน้ารับคำด้วยสีหน้าจริงจังเด็ดเดี่ยว นางมองท้องฟ้าที่เริ่มเห็นดาวประปราย ลมแรงพัดผ่านมา นางมองท่านอ๋องที่สวมอาภรณ์ผืนบางจึงเอ่ยอย่างเป็ห่วงว่า “ท่านอ๋องเ้าคะ ข้างนอกลมแรง ท่านกลับไปพักผ่อนเถอะเ้าค่ะ ไม่จำเป็ต้องห่วงฉือเอ๋อร์”
“ได้ ข้าเตรียมเงินค่าเดินทางเอาไว้ให้เ้าแล้ว หนทางไปเยี่ยนฉือยังอีกยาวไกล เ้าต้องระวังตัวให้มาก ก่อนไปก็แวะไปที่โรงเลี้ยงม้า เลือกม้าดีๆ ไปสักตัวเถิด” ท่านอ๋องยิ้มก่อนจะหมุนตัวเดินไปยังทิศทางที่ห้องตั้งอยู่
หนิงมู่ฉือรู้สึกเศร้ายิ่งนักที่ต้องจากที่นี่ไป แต่ก็เป็เื่ที่ช่วยไม่ได้ นางเดินกลับไปที่ห้อง ไม่สนใจเื่พักผ่อน เก็บข้าวของใส่ห่อผ้า เพื่อการจากลาครั้งนี้นางได้เตรียมตัวเอาไว้นานแล้ว
นางมองจดหมายของมารดาอย่างเหม่อลอยอยู่ชั่วครู่ นานแล้วที่นางไม่ได้เจอหลินมู่ นางต้องฉวยโอกาสนี้รีบออกจากตำหนักอ๋อง นางมักจะรู้สึกว่า หลินมู่มีความลับที่ไม่ยอมบอกนาง เช่นนั้นนางก็ต้องป้องกันตัวเองจากหลินมู่เอาไว้ก่อน นางถอนหายใจออกมา ดูท่าตอนนี้นางจะเหลือแค่ตัวคนเดียวแล้ว
นางพกเงินสำหรับเป็ค่าเดินทางติดตัวเอาไว้ เก็บของที่จำเป็ต้องใช้ไว้กับตัวเช่นกัน จากนั้นเดินไปที่โรงเลี้ยงม้า เลือกม้าที่ท่าทางดูฉลาดเฉลียวมีไหวพริบมาตัวหนึ่ง “เ้าม้า ระหว่างทางห้ามเกเรกับข้ารู้หรือไม่” นางขึ้นม้าด้วยความตื่นเต้น ผิดกับม้าที่ท่าทางดูเรียบเฉย ไม่มีความตื่นเต้นแต่อย่างใด นางยิ้มอย่างพึงพอใจ ค่อยๆ บังคับม้าเดินไปทางประตู ขณะที่ในใจรู้สึกอาลัยอาวรณ์เล็กน้อย
นางมองเรือนสวนไผ่ที่ตั้งอยู่ไกลลิบซึ่งยังคงมีจุดไฟสว่าง ในใจรู้สึกปวดร้าว นางแย้มยิ้มบางๆ บางทีผลลัพธ์เช่นนี้อาจจะดีที่สุดแล้วก็เป็ได้ นางถอนหายใจออกมาก่อนจะบังคับม้าให้เดินออกจากตำหนักอ๋องไป
จ้าวซีเหอในเวลานี้กำลังร่ำสุราร้อยบุปผาอยู่กับฉู่เมิ่งเอ๋อร์ เขากรอกสุราลงคอจนหมดจอก ยิ้มออกมาด้วยความสาแก่ใจ ฉู่เมิ่งเอ๋อร์เห็นเช่นนั้นโน้มตัวลงไปกระซิบข้างหู “ซื่อจื่อเก่งจังเลยเ้าค่ะ เช่นนั้นเมิ่งเอ๋อร์ดื่มหมดจอกเป็เพื่อนท่านนะเ้าคะ”
หลังจากออกมาจากตำหนักอ๋อง หนิงมู่ฉือพบว่าบนถนนเต็มไปด้วยผู้คนมากมาย นางทั้งรู้สึกแปลกใจและใยิ่งนัก บนถนนเต็มไปด้วยขอทานที่กำลังหลับฝันถึงความฝันในวันปีใหม่ที่กำลังจะมาถึง
นางรีบบังคับม้าให้เดินผ่านผู้คนเหล่านี้ ครั้นเห็นว่าท้องฟ้าใกล้จะสว่างเต็มที่ นางค่อยรู้สึกโล่งใจ เวลานี้นางควรไปหาที่พักเพื่อนอนหลับเอาแรงสักหน่อยดีกว่า
เมื่อนางตื่น พบว่าม้ากำลังพุ่งมาทางนางด้วยท่าทีโมโห นางรู้สึกหวาดกลัวยิ่งนักขณะเอ่ยถาม “เ้าเป็อันใดของเ้าเนี่ย!”
ทันใดนั้นเองท้องของนางพลันส่งเสียงร้องออกมา นางมองแววตาของม้า ไม่นานก็เข้าใจ นางส่งยิ้มขอโทษให้มัน พร้อมทั้งลูบหัวมัน “เ้าดูสมองของข้าสิ ลืมไปเลยว่าเ้าเองก็้าอาหาร”
นางจูงม้าไปยังที่ที่มีหญ้า มองมันกินหญ้าอย่างเอร็ดอร่อยพร้อมกับยิ้มออกมา
นางบ่นพึมพำกับท้องที่หิวโหยของตัวเอง “เฮ้อ เหตุใดข้าถึงโง่เช่นนี้นะ เหตุใดถึงไม่กินอาหารที่ตำหนักอ๋องก่อนแล้วค่อยออกมา ตอนนี้รอบข้างไม่มีภัตตาคารเลยสักร้าน มีแต่ป่ามีแต่หญ้า”
นางมองหมั่นโถวที่อยู่ในห่อผ้าซึ่งมีแค่ไม่กี่ชิ้นพลางถอนหายใจออกมา หยิบหมั่นโถวที่เย็นชืดจนแข็งออกมาหนึ่งชิ้น กัดเข้าไปคำหนึ่งอย่างทุกข์ระทมกับชะตาชีวิตของตนเอง
ทว่ายังไม่ทันได้เคี้ยวนางก็ต้องถ่มมันลงพื้น ใช้มือทุบศีรษะตัวเองไม่แรงนักทีหนึ่ง ก่อนจะหยิบเครื่องปรุงรสลับจากในอกเสื้อออกมา “ลำพังทานหมั่นโถวแข็งๆ ก็ลำบากพออยู่แล้ว ไม่คิดเลยว่ามันจะทานไม่ได้ คงต้องเอาของที่แอบเก็บเอาไว้นานแล้วมาคลายความหิวไปก่อน”
นางหากิ่งไม้แห้งๆ มาวางกองรวมกันแล้วจุดไฟ ก่อนจะหากิ่งไม้มาเพิ่ม จากนั้นหั่นหมั่นโถวให้เป็แว่นไม่บางและไม่หนามาก นำหมั่นโถวที่ถูกหั่นแล้วเสียบกับกิ่งไม้ แล้วเอาไปย่างบนไฟ โรยเม็ดยี่หร่า หุยเซียง[1] เพื่อเพิ่มความหอม นางหลับตาสูดกลิ่นหอมหอมของหมั่นโถวย่างอย่างดื่มด่ำ
เมื่อนางลืมตากลับพบว่าหมั่นโถวหายไปหมดแล้วไม่มีเหลือเลยสักชิ้น นางเงยหน้ามองเ้าม้า พบว่ามันกำลังเคี้ยวบางอย่างพลางร้องฮี้ๆ ราวกับจะหัวเราะเยาะนาง
นางโมโหยิ่งนัก ฟาดมือลงไปบนลำตัวมันอย่างแรง “เ้าม้า เ้าฟังให้ดีนะ เ้าต้องพาข้าไปยังที่ที่มีคนอยู่จำนวนมาก! มิเช่นนั้นต่อไปเ้าได้กลายเป็ม้าย่างแน่ หรือจะเอาเนื้อเ้าไปต้มกับขิงพร้อมตั้งโอ๋ก็อร่อยเหมือนกัน!”
เ้าม้าราวกับฟังรู้เื่ ร้องฮี้ราวจะต่อว่าอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพานางออกวิ่งไปข้างหน้า นางยิ้มอย่างดีใจพร้อมกับลูบแผงคอมันไปด้วย
ในเวลาเดียวกันภายในตำหนักอ๋อง จ้าวซีเหอนวดขมับที่ปวดตุบๆ ขณะลืมตา ครั้นเห็นว่าด้านข้างคือฉู่เมิ่งเอ๋อร์ เขาก็สะกิดปลุกนาง
ฉู่เมิ่งเอ๋อร์ลืมตา ใบหน้าพลันแดงก่ำทันที เอาตัวเข้าไปกอดจ้าวซีเหอพลางเอ่ย “ซื่อจื่อ ยังเช้าอยู่เลยเ้าค่ะ”
จ้าวซีเหอรีบเอาตัวออกจากอ้อมกอดของฉู่เมิ่งเอ๋อร์ ก่อนจะรีบลุกไปใส่เสื้อผ้าพร้อมกับเอ่ยถาม “นี่เวลาใดแล้ว”
เห็นฉู่เมิ่งเอ๋อร์ส่ายหน้า เขาไม่เสียเวลาสนทนากับนางต่ออีก รีบวิ่งออกไปด้านนอก ทิ้งให้ฉู่เมิ่งเอ๋อร์มองไล่หลังด้วยประกายตาชั่วร้าย
เขาวิ่งไปยังห้องของหนิงมู่ฉือ กลับพบแต่ห้องว่างเปล่า เ้าของห้องไม่อยู่ เขารู้สึกใยิ่งนัก รีบวิ่งไปยังห้องของบิดา
ท่านอ๋องมองบุตรชายอย่างไม่พอใจ “เ้าลูกไม่รักดี เหตุใดถึงมากวนพ่อแต่เช้า”
เขาเอ่ยถามออกไป “ท่านพ่อ หนิงมู่ฉือไปไหนขอรับ”
ท่านอ๋องหาวออกมา ก่อนจะตอบ “นางหนูหนิงจากไปั้แ่เมื่อคืนแล้ว พ่อให้คนไปตามเ้าแต่ไม่เจอ เ้าลูกไม่รักดี เมื่อคืนเ้าไปอยู่ที่ใด”
เขาได้ฟังเช่นนั้น ตัวอ่อนไร้เรี่ยวแรงทรุดลงไปกองกับพื้น “ท่านพ่อ ลูกทำผิดไปแล้วใช่หรือไม่”
ท่านอ๋องที่ตื่นมีสติแจ่มชัดก็ถอนหายใจออกมา “์มักจะชอบเล่นตลกกับมนุษย์เสมอ หากพวกเ้ามีวาสนาต่อกันต้องได้พบกันอีกแน่ หากจะโทษก็ต้องโทษเ้าที่ไม่รู้จักทะนุถนอมนาง ถึงกับพาฉู่เมิ่งเอ๋อร์มาที่ตำหนักเพื่อยั่วโมโหให้นางโกรธ นางมีนิสัยหยิ่งยโสมาั้แ่เด็กๆ ถูกเ้ายั่วโมโหเช่นนี้ถึงได้จากไปอย่างไรเล่า”
เขาได้ฟังเช่นนั้นก็ไม่ตอบโต้ รีบวิ่งไปที่โรงเลี้ยงม้า ก่อนจะพบว่าม้าตัวโปรดของเขาถูกหนิงมู่ฉือเอาไปด้วย เวลานั้นในใจเขารู้สึกยินดียิ่งนัก “หนิงมู่ฉือเอ๋ยหนิงมู่ฉือ เ้าพาเป่าจูไปหรือนี่ อย่างไรเ้าก็ต้องกลับมาอยู่ในกำมือข้า”
เขาเรียกองครักษ์ลับให้ออกมาพบ ก่อนจะเอ่ยสั่ง “หลิงเฉิน หลิงอวิ๋น เ้าไปคอยคุ้มครองความปลอดภัยของหนิงมู่ฉือ หากเกิดเื่ขึ้นกับนาง ข้าจะลงโทษพวกเ้า!”
ทั้งสองคนรับคำ “ขอรับ”
“นางเพิ่งออกเดินทางได้ไม่นาน น่าจะยังไปได้ไม่ไกล พวกเ้ารีบตามนางไปเถอะ” สั่งงานจบก็หมุนตัวเดินไปที่ห้องหนังสือด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
หนิงมู่ฉือในเวลานี้กำลังนั่งอยู่บนหลังม้าอย่างเบื่อหน่าย นางมองม้าที่ค่อยๆ เดินไปข้างหน้าอย่างช้าๆ รู้สึกร้อนใจขึ้นมา “บรรพบุรุษ เ้าเร็วหน่อยได้หรือไม่ ข้าหิวจะตายอยู่แล้ว ข้าเริ่มอยากจะกินเนื้อม้าขึ้นมาจริงๆ แล้วนะ!”
[1] หุยเซียง คือผักชีลาว
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้