ต้องบอกว่าหลงเซี่ยวอวี่นี้มีรูปโฉมล่มแคว้นล่มเมืองเสียจริงๆ ในจวนไม่มีสตรี แต่ข้างนอกก็ยังคงมีสตรีที่ลุ่มหลงในบุรุษมาติดต่อกันไม่ขาดสาย ยามนี้คิดดูแล้ว ฉีหวางเฟยนี้ก็มิได้เป็โดยง่าย
มู่จื่อหลิงพลันเข้าใจขึ้นมา นางว่าแล้ว องค์หญิงอันหย่าจะมาอุโบสถโดยไม่มีธุระ ไม่อยู่บำรุงรักษาตนเองที่ตำหนักดีๆ ได้อย่างไร ทั้งยังมาทักทายนางอย่างสนิทสนม
ที่แท้องค์หญิงอันหย่าก็มาพบศัตรูความรักนี่เอง เช่นนั้นนางในฐานะตัวจริง ต้องแสดงท่าทีฉีหวางเฟยออกมาให้นางดู ข่มขวัญนางดีหรือไม่?
“ยามนี้พบก็พบแล้ว ทักทายก็ทักทายแล้ว ยังมีเื่อื่นอีกหรือไม่?” มู่จื่อหลิงไม่รักษาน้ำใจแม้แต่น้อย กล่าวอย่างเรียบเฉย
ท่าทางของมู่จื่อหลิงนั้น มีธุระก็พูดธุระ ไม่มีก็ไสหัวไป
องค์หญิงอันหย่าได้ยินมู่จื่อหลิงพูดเช่นนี้ด้วยท่าที้าไล่ผู้อื่น พลันไอติดต่อกันไม่หยุดหย่อน วาจาล้วนไม่อาจพูดออกมาได้ และไม่รู้ว่าเสียใจถึงเพียงนี้จริงหรือไม่
มู่อี๋เสวี่ยเห็นท่าทางไร้เรี่ยวแรงขององค์หญิงอันหย่าก็ดีใจกับตนเองเงียบๆ
หึ มู่จื่อหลิงร้ายกาจแล้วอย่างไร องค์หญิงอันหย่าเป็หลานสาวที่ไทเฮารักเอ็นดูมากที่สุด หากเกิดเื่ใดขึ้น มู่จื่อหลิงก็กินไม่หมดคิดห่อกลับ [1] แล้ว
นางเป็พี่น้องที่ดีที่สุดขององค์หญิงอันหย่า หากมิใช่เพราะก่อนหน้านี้องค์หญิงอันหย่าไม่อยู่เมืองหลวง นางคงไม่ถูกกันไว้นอกจวนฉีอ๋องไปเสียทุกครั้ง
หากองค์หญิงอันหย่าอยู่ นางคงพาองค์หญิงอันหย่ามาจัดการมู่จื่อหลิงที่ใช้บารมีผู้อื่นรังแกคนไปนานแล้ว จะได้ถือโอกาสมาพบบุรุษที่ใจนางคะนึงหาด้วย
เวลานี้เองมู่อี๋เสวี่ยก็ยังมิวายเติมน้ำมันลงในตะเกียง “ท่านพี่ ท่านพูดเช่นนี้ได้อย่างไร องค์หญิงอันหย่ามาทักทายท่านด้วยความปรารถนาดี เหตุใดท่านยังไร้ไมตรีเช่นนี้”
มู่จื่อหลิงชายตามองนาง ไม่พูดก็ไม่มีคนว่าเ้าเป็ใบ้หรอก
แต่ว่าคำพูดนี้ของมู่อี๋เสวี่ยนั้นไปกระตุ้นสาวใช้สองคนข้างกายองค์หญิงอันหย่าเข้า
สาวใช้ผู้หนึ่งให้ความร่วมมือพูดว่า “หวางเฟย องค์หญิงของพวกข้าไปยั่วโมโหท่านตรงที่ใด จึงทำให้ท่านไม่ชื่นชอบเช่นนี้”
สาวใช้อีกคน ช่วยให้องค์หญิงอันหย่าหายใจคล่องไปด้วย กล่าวไปด้วย “องค์หญิงท่านอย่าได้ร้อนรน หากทำร้ายสุขภาพอีก ไทเฮาจะตำหนิเอาได้”
คนพวกนี้ เ้าหนึ่งประโยค ข้าหนึ่งประโยค ลืมไปอย่างสิ้นเชิงว่าผู้ใดคือเ้านายของที่แห่งนี้
มู่จื่อหลิงนั้นยามที่มู่อี๋เสวี่ยเอ่ยปากก็มีโทสะอยู่แล้ว ผนวกกับการยุยงปลุกปั่นของสาวใช้ทั้งสองคน มู่จื่อหลิงก็ข่มกลั้นไว้ไม่ไหวอีกต่อไป
นางตบเก้าอี้ลุกขึ้น กล่าวด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด “สามหาว เ้านายพูด บ่าวไพร่สอดปากอันใดขึ้นมา นี่พวกเ้ากำลังกล่าวโทษว่าเปิ่นหวางเฟยพูดผิดแล้วหรือ? ส่วนมู่อี๋เสวี่ยเ้ามีฐานะอันใด ถึงได้กล้ากล่าวเช่นนี้กับเปิ่นหวางเฟย ลูกตาข้างไหนที่มองว่าเปิ่นหวางเฟยไม่ไว้ไมตรี?”
อดทนจนสุดจะทน ก็ไม่จำเป็ต้องทน กล้ามาพาลพาโลที่นี่ ก็ไม่ดูเสียบ้างว่าเป็อาณาเขตของใคร
นางพูดกับพวกนางดีๆ ก็แล้ว พวกนางยังเอาแต่เติมน้ำมันลงตะเกียงยุยงส่งเสริม กลับกันมาพูดว่านางไม่ถูก นางเป็ผู้ที่เจอใครยั่วโทสะก็จะไม่ยอมคนผู้นั้นแล้ว
คนพวกนี้เตรียมจะเป็สุนัขอวดเบ่งบารมีนาย ละครเพิ่งเปิดม่านก็ยกป้ายาาออกมาเสียแล้ว ประโยคสุดท้ายที่พูดนั่นมิใช่พูดว่าไทเฮาจะตำหนินางหรือ?
ไทเฮาร้ายกาจแล้วอย่างไร คนพวกนี้คิดว่ายกไทเฮาออกมาแล้วนางจะกลัวหรือ? น่าตลกนัก!
นางไม่ไว้ไมตรีแล้วอย่างไร คนพวกนี้มีใจคิดท้าทาย ยังมาหวังให้ทำสีหน้าดีๆ ให้พวกนางมอง เพ้อเจ้อสิ้นดี พวกนางอยากมารองรับโทสะกันเอง จะโทษใครได้?
นางคิดเป็ฉีหวางเฟยอย่างเงียบๆ ก็ล้วนมิได้อยู่อย่างสงบสุข หนึ่งนางไม่หาเื่ สองไม่ก่อความวุ่นวาย แต่กลับมีคนมาหาเื่นับวันเว้นวัน ในวังก็ช่างเถิด ยามนี้ยังวิ่งมาถึงจวนฉีอ๋องแล้ว
คนพวกนี้ยังคิดเข้าข้างตัวเองฝ่ายเดียววิ่งแสดงละครรักอันขมขื่น ร้องเองรำเองให้นางดู นางยังไม่สนใจจะดู
ได้ยินเสียงบันดาลโทสะนี้ สองสาวใช้พลันใจนหวาดผวา ทั้งสองคุกเข่าลง ‘พลั่ก’ หมอบตัวลงหน้าผากแตะพื้นอย่างสุดชีวิต เอาแต่กล่าวพร้อมกันลูกเดียว “บ่าวมิกล้า บ่าวมิกล้า......”
มู่จื่อหลิงไม่มองแม้สักตา ป่านนี้ถึงมาพูดว่ามิกล้า แล้วจะทำไปแต่แรกทำไม พวกนางกล้าเป็สุนัขอาศัยบารมีนาย เช่นนั้นนางก็จะอาศัยบารมีผู้อื่นรังแกคน คนในวังพวกนั้นแตะต้องไม่ได้ แตะต้องบ่าวรับใช้สองสามคนคงไม่มีค่าพอให้กล่าวถึง
การบันดาลโทสะครั้งนี้ของมู่จื่อหลิงมิใช่มีแค่สาวใช้สองคนที่หวาดผวา แต่คนในที่แห่งนั้นทั้งหมดก็ถูกทำให้ใไปด้วย
หลงเซี่ยวเจ๋อถูกโทสะของมู่จื่อหลิงทำให้ใจสั่น เหตุใดท่าทางบันดาลโทสะของพี่สะใภ้สามจึงคุ้นเคยเพียงนั้น ราวกับว่ามีเงาของพี่สามแฝงอยู่ เหมือนกับพี่สามไม่มีผิดเพี้ยน หัวใจดวงน้อยของเขาใจนจะวายตาย
เขาตบหน้าอก ผ่อนลมหายใจ แสดงความยินดีกับตนเงียบๆ คนที่ยั่วโทสะพี่สะใภ้สามไม่ใช่เขา พี่สะใภ้สามโกรธขึ้นมาทำให้คนใกลัวเหมือนพี่สามเลย
เสี่ยวหานกับลุงฝูเองที่เห็นมู่จื่อหลิงบันดาลโทสะเป็ครั้งแรก ก็ใเสียจนแทบจะทรุดตัวคุกเข่าไปตามสาวใช้ที่กำลังร้องขอความเมตตาสองคนนั้น นายของพวกเขาก็มีด้านที่เด็ดขาดเช่นนี้ด้วย
มู่อี๋เสวี่ยกลับใจนตาโตอ้าปากค้าง ไม่กล้าส่งเสียงหายใจแรงๆ เมื่อก่อนนางเองก็เคยสั่งสอนมู่จื่อหลิงด้วยท่าทางข่มขู่คุกคามมาก่อน ไม่คิดว่ามู่จื่อหลิงจะมีด้านที่ดุดันเช่นนี้ แม้แต่ไทเฮาก็ไม่เกรงกลัว
มู่จื่อหลิงในยามนี้เปลี่ยนไปเป็คนละคนจากมู่จื่อหลิงเมื่อก่อนโดยสิ้นเชิง นางคือมู่จื่อหลิงจริงหรือ?
สิ่งที่น่าขันที่สุดก็ยังเป็คนอมโรคเช่นองค์หญิงอันหย่าผู้นั้น หยุดไอไปในทันที เมื่อเห็นสถานการณ์ไม่ถูกต้องก็อ่อนปวกเปียกใจนหมดสติไป ทรุดตัวลงไปนั่งบนเก้าอี้
มู่จื่อหลิงเห็นองค์หญิงอันหย่าหยุดไอไปพักหนึ่งก่อนแสร้งทำท่าเป็ลมไป นางพลันโมโหจนเจ็บหน้าอก อย่าได้เกินจริงไปเพียงนั้นได้หรือไม่ เสแสร้งก็เสแสร้งไม่เหมือน จงใจมาหมดสติไปตอนนางสงบลงแล้ว
ระบบซิงเฉินนั้นตรวจสอบแล้ว องค์หญิงอันหย่าไม่สบายจริงๆ เป็โรคหัวใจที่ติดตัวมาแต่กำเนิด นอกนั้นก็มิได้มีอันใดร้ายแรงอีก ไหนเลยจะอ่อนแอเพียงนั้น แล้วยังไอไม่หยุดอีก
สีหน้าซีดขาวก็มิใช่ว่าโปะแป้งเกินไปสองสามชั้นหรือ ลูกไม้ของคนอมโรคผู้นี้หลอกผู้อื่นได้ แต่หลอกนางมู่จื่อหลิงไม่ได้ ลำบากนางแล้วที่เสแสร้งมานานเพียงนี้
แม้โรคหัวใจจะมิอาจใได้ แต่ถ้าใกับคำพูดเช่นนี้ของนางจนหัวใจวายจริง เช่นนั้นโทสะครั้งนี้ของนางก็ขนานนามได้ว่า ‘ดุเหมือนเสือ’ มิแน่ว่าชื่อเสียงจะขจรขจายไปไกล
มู่จื่อหลิงมองมือตนเองอย่างปวดใจ เมื่อครู่พอโมโหก็ตบลงไปที่พนักวางแขนเก้าอี้เสียจนเจ็บมือน้อยๆ ของตน
นางสะบัดมือที่ปวดแสบปวดร้อน จากนั้นจึงนั่งลงอย่างสงบเยือกเย็นเหมือนกับไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น ยกชาหอมด้านข้างขึ้นจิบด้วยความละเมียดละไม
นางเห็นคนในที่แห่งนี้ดูเหมือนจะไม่มีใครสะกิดใจว่าองค์หญิงอันหย่าเป็ลมหมดสติไปแล้ว ก็ยังไม่ลืมกล่าวเตือนสาวใช้สองคนที่ยังคงคุกเข่าขอความเมตตาอยู่บนพื้นอย่างหวังดีด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด
“พวกเ้าขวัญกล้านัก องค์หญิงอันหย่าถูกพวกเ้ายั่วโทสะจนเป็ลมไปแล้ว หากองค์หญิงอันหย่าเกิดเื่อันใดขึ้น พวกเ้ามีกี่หัวให้ตัดกัน?”
มู่จื่อหลิงเอ่ยวาจาจบ ใบหน้าซีดขาวขององค์หญิงอันหย่าก็ผ่อนคลายลงเล็กน้อย และหายไปอย่างรวดเร็ว ทว่าสายตาอันเฉียบคมของมู่จื่อหลิงก็ยังมองเห็น นางแค่นเสียงเย้ยหยันอย่างไม่แยแส ดูสิว่าเ้าจะเสแสร้งไปจนถึงเมื่อใด
ขณะนั้นเองคนทั้งหมดจึงได้สติกลับมา พากันมองไปทางที่นั่งขององค์หญิงอันหย่า
“อ๊า องค์หญิง องค์หญิงฟื้นสิเพคะ...องค์หญิง”
“องค์หญิง...ฟื้นสิเพคะ”
“องค์หญิงอันหย่าท่านฟื้นสิ”
สาวรับใช้ที่คุกเข่าอยู่บนพื้นทั้งสองคนก็ตระหนกขึ้นมาเพราะคำพูดเมื่อครู่ของฉีหวางเฟย ทั้งๆ ที่เป็ฉีหวางเฟยทำให้องค์หญิงพวกนางโมโหจนหมดสติไป นางยังมาพาลว่าเป็พวกนางยั่วโทสะ มีเช่นนี้ที่ไหนกัน
หลงเซี่ยวเจ๋อคิดเงียบๆ เฮ้อ พี่สะใภ้สามไร้ยางอาย พาลพาโลเพียงนี้ เมื่อครู่เหมือนจะเป็นางที่ทำให้องค์หญิงอันหย่าใจนหมดสติไป แล้วยังปัดความรับผิดชอบไปที่คนโง่งมพวกนั้น แต่ถ้าไม่พาลจะเป็พี่สะใภ้สามของเขาหรือ อยู่กับพี่สะใภ้สามผู้มีละครดีให้ชมอยู่เสมอ
“มู่จื่อหลิง ล้วนเป็เพราะเ้า เป็เ้าที่ยั่วโทสะองค์หญิงอันหย่าจนเป็ลม องค์หญิงอันหย่าเป็ผู้ที่ไทเฮารักเอ็นดู หากนางเกิดเื่ใดขึ้น เ้าก็รอประสบหายนะเถิด”แม้มู่อี๋เสวี่ยจะพูดเช่นนี้ แต่ในใจนางนั้นยินดีไปนานแล้ว ผู้ที่มีสายตาเฉียบคมก็ล้วนมองออกว่ามู่จื่อหลิงเป็คนยั่วโทสะองค์หญิงอันหย่า แล้วนางยังต้องกลัวอันใดอีก
แม้นางจะกังวลเล็กน้อยที่องค์หญิงอันหย่าเกิดเื่ ทว่าเป้าหมายของนางสำเร็จลุล่วงแล้ว นางดีใจยิ่ง องค์หญิงอันหย่าเกิดเื่ในจวนฉีอ๋อง คนที่ซวยต้องเป็มู่จื่อหลิงอย่างแน่นอน ไทเฮาไม่ยกโทษให้มู่จื่อหลิงโดยง่ายเป็แน่
“ประสบหายนะ? ไอ้หยา เปิ่นหวางเฟยกลัวยิ่งนัก” มู่จื่อหลิงสองมือกุมอกด้วยท่าทางหวาดกลัวไม่น้อย ทว่าสีหน้ากลับกวนประสาทเหมือนหลงเซี่ยวเจ๋อ
นางมู่จื่อหลิงมิใช่คนขี้ขลาด!
มู่อี๋เสวี่ยผู้นี้เป็สุกรจริงเสียด้วยแล้วเป็ตัวที่สมองทึบที่สุด จนถึงตอนนี้ก็ยังคงคิดไปเอง ยกไทเฮาออกมาอีกครั้ง ช่างไม่กลัวลมพัดลิ้นเคล็ด [2]
คิดว่าคนทุกคนโง่เหมือนนางหรือ ในเมื่อองค์หญิงอันหย่าเข้ามาในแนวตั้ง นางย่อมไม่ปล่อยให้องค์หญิงอันหย่าออกไปในแนวนอน ต่อให้เกิดเื่ขึ้นจริงๆ นางก็จะดึงองค์หญิงอันหย่ากลับมาจากประตูผีให้จงได้ นางไม่หวาดกลัวไทเฮา แต่นางก็มิอาจหาเื่ได้
แต่ว่าองค์หญิงอันหย่าผู้นี้เสแสร้งนัก สาวใช้สองคนผู้นั้นทั้งร้องทั้งะโก็ไม่ขยับเขยื้อนเลย ทรุดตัวอยู่กับเก้าอี้ประหนึ่งคนตายไปแล้ว ไม่รู้ว่าอีกเดี๋ยวจะยังเสแสร้งต่อไปได้หรือไม่
“เ้า...เ้า...” มู่อี๋เสวี่ยถูกสีหน้าท่าทางหมูตายไม่กลัวน้ำร้อนของมู่จื่อหลิงยั่วโทสะจนพูดไม่ออก
หลงเซี่ยวเจ๋อเพิ่งได้ยินวาจาของมู่อี๋เสวี่ยก็มีการตอบสนองกลับมา ครั้งนี้ดูเหมือนว่าพี่สะใภ้สามจะเล่นเลยเถิดไป เขาเดินมาด้านข้างมู่จื่อหลิงกดเสียงต่ำ “พี่สะใภ้สาม หากอันหย่าเกิดเื่จริง ไทเฮาไม่ยกโทษให้ง่ายๆ เป็แน่แท้ ท่าน...”
เพียงแต่หลงเซี่ยวเจ๋อยังพูดไม่จบ ก็ถูกน้ำเสียงถือดีของมู่จื่อหลิงตัดบทเสียก่อน
“กลัวอันใด เมื่อครู่องค์ชายหกก็เห็นองค์หญิงอันหย่าถูกพวกนางยั่วโทสะจนเป็ลมนี่ เกี่ยวอันใดกับเปิ่นหวางเฟย เมื่อครู่เปิ่นหวางเฟยก็เพิ่งช่วยสั่งสอนบ่าวไพร่ไม่รู้ดีชั่วพวกนั้นไป อีกอย่างที่นี่คือจวนฉีอ๋อง องค์หญิงอันหย่าสามารถมาได้ทั้งที เปิ่นหวางเฟยยังไม่ทันต้อนรับเลย จะไปยั่วโทสะนางได้อย่างไร”
มู่จื่อหลิงจงใจเพิ่มระดับเสียง ตั้งใจเรียกหลงเซี่ยวเจ๋อ กล่าววาจาเป็ช่องเป็ฉาก ทำให้คนทั้งหมดล้วนแต่ได้ยิน
ความหมายของคำพูดนี้ก็คือหลงเซี่ยวเจ๋อเป็องค์ชาย คำที่เขาพูดย่อมมีผลมากกว่าคำพูดของพวกอี๋เสวี่ย เมื่อครู่เป็เพราะองค์หญิงอันหย่าถูกยั่วโทสะจนเป็ลม นางจึงสั่งสอนคนพวกนั้น
หลงเซี่ยวเจ๋อท่าทางเหมือนจะเข้าใจแต่ก็ไม่เข้าใจ พี่สะใภ้สามพูดเช่นนี้คล้ายกับว่าพอจะมีเหตุผลอยู่บ้าง ถึงอย่างไรพี่สะใภ้สามก็ไม่มีทางให้ตนเองเสียเปรียบ เขากังวลไปโดยเปล่าประโยชน์แล้ว เขาดูต่อไปอย่างสบายใจดีกว่า
สาวใช้ทั้งสองคนได้ยินคำพูดนี้ก็หวาดกลัวขึ้นมาจริงๆ ฉีหวางเฟยพูดมีหลักการนัก ฐานันดรองค์ชายหกสูงส่งกว่าพวกนาง
น้ำหนักของคำพูดย่อมมากกว่าพวกนาง มีองค์ชายหกเป็พยาน ต่อให้พวกนางมีเหตุผลก็พูดได้ไม่ชัดเจน สุดท้ายผู้ที่ไทเฮากล่าวโทษก็จะเป็พวกนางแล้ว
มู่อี๋เสวี่ยดูเหมือนจะชินชากับท่าทางพาลพาโลของมู่จื่อหลิงเสียแล้ว ยามนี้นางกลับฉลาดขึ้นมา นางมิได้หวาดกลัวมู่จื่อหลิงที่วางท่าใหญ่โตข่มเหงผู้อื่น
“พวกเราเข้าวังไปให้หมอหลวงตรวจดูกันเถิด รอองค์หญิงฟื้นก็รู้แล้วว่าใครเป็ผู้ยั่วโทสะนาง” มู่อี๋เสวี่ยพูดอย่างร้อนรน
พูดจบก็ให้สาวใช้ทั้งสองพยุงองค์หญิงอันหย่าที่ ‘ถูกโมโหจนเป็ลม’ เตรียมพาคนจากไป
“ช้าก่อน เปิ่นหวางเฟยอนุญาตให้พวกเ้าไปแล้ว?” มู่จื่อหลิงพูดอย่างเฉยชา
น่าขัน! หากปล่อยให้พวกนางไปจริงๆ เช่นนั้นไม่เท่ากับปล่อยเสือเข้าป่า รอการตอบโต้หรือ
---------------------------------------------
เชิงอรรถ
[1] กินไม่หมดคิดห่อกลับ แปลว่า ไม่สามารถรับผิดชอบได้ เกินกว่าจะรับผิดชอบไหว
[2] ไม่กลัวลมพัดลิ้นเคล็ด แปลว่าพูดไร้สาระ หรือพูดโดยไม่ไตร่ตรอง
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้