หึ
วาจานี้เปรียบดั่งยาพิษที่ร้ายแรงพอ
ทว่าใบหน้าของตี้หลิงหานยังคงสงบนิ่ง ราวกับไม่คิดว่าสิ่งที่ตนพูดเกินเลยแต่อย่างใด
ฮวาเหยียนเลิกคิ้ว ตี้หลิงหานผู้นี้มิเก็บซ่อนความไม่ชอบที่มีต่อนางเลยสักนิด
แม้นางเองก็ไม่ชอบตี้หลิงหาน แต่นางไม่อาจพูดเื่น่าอับอายต่อหน้าเหล่าคนรับใช้ได้จริงๆ เห็นได้ชัดว่าหัวใจของตี้หลิงหานเ็ากว่านาง
“เหตุใดหม่อมฉันจึงไม่นับว่าเป็แขกผู้มีเกียรติเล่าเพคะ? หากกล่าวโดยกว้าง หม่อมฉันยังคงเป็คุณหนูใหญ่ตระกูลมู่ หากกล่าวโดยนัย หม่อมฉันก็เป็ถึงอดีตพระคู่หมั้นของพระองค์ หม่อมฉันมาเยี่ยมเยือนถึงจวน พระองค์ก็ควรต้อนรับขับสู้จึงจะถูกนะเพคะ”
“หึ เ้ารู้ตัวด้วยหรือว่าเป็อดีตคู่หมั้นของข้า”
ตี้หลิงหานเงยหน้าเหลือบสายตาขึ้นมอง พูดอย่างเ็า
ฮวาเหยียนนั่งอยู่บนเก้าอี้ นางนั่งไขว่ห้าง หาได้มีอากัปกิริยาที่สง่างามของสตรีจากตระกูลใหญ่เลยแม้แต่น้อย ท่าทางหาเื่ เอ้อระเหยลอยชาย
“น้ำเสียงของพระองค์แฝงความอิจฉายิ่ง ทำไมหรือเพคะ? ยังจำเื่เมื่อสี่ปีก่อนที่หม่อมฉันมิยอมแต่งให้พระองค์ได้หรือไม่? เฮ้อ จะว่าอย่างไรดี ความรักเป็สิ่งแข็งแกร่งที่สุดซึ่งมิอาจอ้อนวอนขอได้ องค์รัชทายาท แม้พระองค์จะมีฐานะสูงส่ง รูปโฉมสง่างามโดดเด่น ทว่าไม่ชอบก็คือไม่ชอบ มิอาจทำอันใดได้เพคะ”
ฮวาเหยียนส่ายหัว ท่าทางเสียดายอย่างสุดซึ้ง
ใบหน้าของตี้หลิงหานหนาวเหน็บเ็า ตอนที่ได้ยินทหารเฝ้าประตูกล่าวว่าคุณหนูใหญ่ตระกูลมู่พาบุตรชายของนางมาด้วย เขาก็คาดเดาเื่ราวออกแล้ว เกรงว่าสตรีผู้นี้คงมาป่าวประกาศเื่ที่นางเก็บเงินได้ครบสามล้านตำลึง เขาแทบนึกภาพออกเลยว่าสตรีผู้นี้จะมีท่าทีภาคภูมิใจเพียงใด
แม้เขาจะสามารถยับยั้งการถอนเงินจำนวนสามล้านตำลึงของสตรีผู้นี้ได้โดยใช้กลอุบายเล็กน้อยลับหลังนาง แต่เขาก็มิอยากลดคุณค่าของตนโดยการใช้วิธีนี้
และก็เป็ดังที่คาดไว้ เมื่อคุณหนูใหญ่ตระกูลมู่ผู้นี้ผ่านประตูจวนเข้ามาก็วางท่าหาเื่ทันที เดิมทีเขา้าใช้สายตาเฉยชามองดูการแสดงของคุณหนูใหญ่ตระกูลมู่ ทว่ากลับนึกไม่ถึงว่านางจะไม่กล่าวถึงเื่เงินแม้เพียงครึ่งคำ วาจาสามสี่ประโยคล้วนทำให้เขาโมโหจนอยากหักคอนางให้ตาย
อั้นจิ่วยืนอยู่ข้างหลังตี้หลิงหานโดยไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรง
เมื่อพบคุณหนูใหญ่ตระกูลมู่ ร่างกายของเขาก็ต้องตึงเครียดเสียทุกครา
“มู่อันเหยียน เ้าคิดเข้าข้างตนเองมากเกินไปแล้ว”
ตี้หลิงหานพ่นลมหายใจอย่างเ็า แม้ปีนั้นจะเป็มู่อันเหยียนที่ส่งจดหมายมาเพื่อขอให้เขาถอนหมั้น ทว่าตอนนั้นเขาเองก็หาได้มีใจจะแต่งงานกับนางไม่ แค่ราชโองการแผ่นเดียว เขาเพียงมิได้ปฏิเสธก็เท่านั้น
มู่อันเหยียนสำหรับเขาแล้ว มิเคยมีความรู้สึกชอบพอต่อนาง
ทว่าสตรีผู้นี้กล้าดีอย่างไร จึงได้มาคุยโวโอ้อวดอย่างไม่รู้สึกกระดากใจต่อหน้าเขา
“เฮอะ องค์รัชทายาท หากพระองค์ตรัสว่าหม่อมฉันเข้าข้างตนเอง หม่อมฉันก็ต้องเป็คนที่คิดไปเองฝ่ายเดียวหรือเพคะ? ยากที่จะรับประกันว่าสตรีเช่นหม่อมฉันจะมีจินตนาการกว้างไกล ทว่าอย่างไรพระองค์ก็มีพระชนมายุกว่ายี่สิบพรรษาแล้ว อีกทั้งหลังจากถอนหมั้น ข้างกายพระองค์ก็ไม่มีแม้แต่สัตว์เพศเมียสักตัว หม่อมฉันยังเป็หยกงามที่พระองค์ถนอมไว้ข้างกายอยู่นะเพคะ...”
ฮวาเหยียนปิดปาก แย้มยิ้มราวกับบุปผา ดวงตาที่เหมือนแมวของนางเปล่งประกายเจิดจ้าดึงดูดผู้คน
ใบหน้าของตี้หลิงหานมืดครึ้มลงเรื่อยๆ
ในแง่ฝีมือการยั่วโมโหคน เขาหาใช่คู่ประมือของมู่อันเหยียนแห่งตระกูลมู่
เพียง่เวลาสั้นๆ นางกลอกตาไปแล้วสามครั้ง การแสดงออกทางสีหน้าของนางเปลี่ยนตามทุกคำพูด ไม่ว่าจะเป็ท่าทีงอแงเกรี้ยวกราด หรือท่าทีเ็าโมโห ล้วนยากที่จะซ่อนเร้นความเ้าเล่ห์ในสายตานาง
“มู่อันเหยียน วันนี้เ้ามาหาเื่ตายที่นี่หรือ?”
ตี้หลิงหานลืมตาขึ้น ดวงตาที่งดงามของเขาลึกราวกับสระน้ำให้เหมันตฤดู น้ำเสียงของเขาเย็นเฉียบยิ่งกว่า
ฮวาเหยียนตัวสั่นระริก แต่นางไม่มีทางลืม องค์รัชทายาทโรคจิตตรงหน้านี้มีวิชายุทธ์ระดับจอมยุทธ์
นางรีบวิ่งมาจากหออู๋ิ อันที่จริงก็เพื่อแสดงความรังเกียจต่อตี้หลิงหาน
“ตรัสว่าอย่างไรนะเพคะ? นี่พระองค์ยังกล้าสังหารหม่อมฉันอีกหรือ?”
ฮวาเหยียนหัวเราะเสียงเบาด้วยใบหน้ายั่วยุ
ทั้งสองล้วนเป็ปลายเข็มต่อปลายเข็มสำหรับกันและกัน [1] ไม่มีใครยอมใครทั้งสิ้น
ความกล้าหาญของฮวาเหยียนมิใช่เพิ่งแสดงออกมาแค่วันสองวัน นางไม่กลัวว่าตี้หลิงหานจะลงมือ ถึงอย่างไรนางก็มีทั้งพี่ชายและบิดาที่คอยปกป้องนาง
“หึ เ้าคิดว่าข้ามิกล้าหรือ?”
ตี้หลิงหานก้มศีรษะลง ลูบแหวนหยกในมือตนพลางเอ่ยปาก เขากดน้ำเสียงให้เบายิ่ง หากไม่ตั้งใจฟังก็จะไม่ได้ยิน
“หม่อมฉันยังมิได้กลายเป็หญิงรับใช้ในจวนไท่จื่อ ถึงพระองค์จะจริงจังก็มิอาจสังหารหม่อมฉันได้ อีกประการ ที่หม่อมฉันมาเยือนจวนไท่จื่อครานี้ ท่านพ่อและท่านพี่ของหม่อมฉันย่อมทราบเื่อยู่แล้ว หากเกิดเื่อันใดกับหม่อมฉันที่จวนแห่งนี้ ก็คงมิอาจจบเื่ราวได้โดยง่ายเพคะ”
ฮวาเหยียนกล่าวอย่างไม่กลัวตาย คำพูดของนางแฝงการข่มขู่เอาไว้
ดวงตาของตี้หลิงหานมืดครึ้มลง นิ้วเรียวดั่งหยกของเขาเคาะลงบนโต๊ะเป็จังหวะ อั้นจิ่วที่ยืนอยู่ข้างหลังพลันผุดเหงื่อเย็นหยดซึม
คุณหนูใหญ่ตระกูลมู่ยังคงเปลี่ยนวิธีหาเหาใส่หัวอย่างมิหยุดหย่อน นางจึงมาเยือนจวนไท่จื่อทั้งที่ไม่มีธุระอันใด
รู้ว่านางมีเงินเพียงพอ ดังนั้นจึงมาที่นี่เพื่อยั่วโมโหใช่หรือไม่? ทั้งยังกล้าข่มขู่นายท่านอีก ช่างมีความกล้าเทียม์จริงๆ...
เมื่อเห็นว่าตี้หลิงหานไม่พูด มีเพียงใบหน้าของเขาที่ดำมืดลงเรื่อยๆ ความอึดอัดใจของฮวาเหยียนก็สลายไปในที่สุด นางลุกขึ้นพลางถอนหายใจด้วยความโล่งอก โน้มตัวลงต่อหน้าตี้หลิงหาน แย้มรอยยิ้มไม่จริงจังก่อนกล่าวว่า “องค์รัชทายาท พระองค์ลองเดาดูสิเพคะว่าหม่อมฉันเก็บเงินสามล้านตำลึงครบแล้วหรือไม่?”
ใบหน้าของตี้หลิงหานมืดครึ้ม เขาประเมินมู่อันเหยียนต่ำไปจริงๆ เดิมทีคิดว่านางจะมาในอีกสามวันตามที่นัดหมายกัน และคาดเดาไว้แล้วว่าสตรีผู้นี้จะภาคภูมิใจเพียงใด แต่นึกไม่ถึงว่ามู่อันเหยียนผู้นี้จะอดทนรอไม่ไหวโผล่เข้ามาวันนี้ ท่าทางหาเื่ของนางช่างทำให้คนโมโหเสียจริง
“มีอันใดหรือ ดูจากท่าทีของเ้า คงเก็บเงินสามล้านตำลึงครบแล้วใช่หรือไม่?”
รอยยิ้มเ็าแขวนไว้ที่มุมปากของตี้หลิงหาน เขาถามอย่างรู้ทัน
เห็นเพียงฮวาเหยียนส่งเสียงเฮอะ น้ำเสียงนางเต็มไปด้วยจังหวะจะโคน ท่าทีโอหังอวดดีแฝงความบ้าคลั่งอยู่บางส่วน “เฮอะ พระองค์คิดว่าอย่างไรเล่าเพคะ?”
“องค์รัชทายาทคงคาดไม่ถึงกระมัง? พระองค์ทรงเสนอเงื่อนไขที่โหดร้ายเช่นนั้น ข่มขู่หม่อมฉันด้วยเงินจำนวนมหาศาล บีบให้บิดาและพี่ชายของหม่อมฉันหาเงินซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนเกือบต้องขายที่นาทิ้ง มิใช่เพราะ้าบีบคั้นให้หม่อมฉันกลายเป็หญิงรับใช้ในจวนของพระองค์หรอกหรือ? เหอๆๆ ทว่าน่าเสียดายนัก คนคำนวณมิอาจสู้ลิขิต์! สตรีผู้นี้รวบรวมเงินสามล้านตำลึงครบแล้วเพคะ!!!”
ฮวาเหยียนกล่าวด้วยท่าทางเงยหน้าอ้าปาก [2]
ั้แ่มาถึงจวนไท่จื่อนางก็พูดจามากความกลับไปกลับมาอยู่นาน หาเื่ให้ตี้หลิงหานไม่สบอารมณ์ ทว่ายามนี้ถือเป็การเปิดเผยจุดประสงค์ของนางในที่สุด นี่คือความสุขในหัวใจที่นางจะได้รับใช่หรือไม่?
ตี้หลิงหานหันมองฮวาเหยียนด้วยสีหน้าปราศจากความรู้สึก
ใบหน้าของฮวาเหยียนงดงามสดใสราวกับดอกท้อเบิกบาน ขณะนี้มีท่าทางคล้าย ‘คางคกขึ้นวอ’ ก็มิปาน
ดวงตาของตี้หลิงหานล้ำลึกดั่งสายน้ำ เขาี้เีเกินกว่าจะเอ่ยคำใดออกมา
“เหตุใดพระองค์ถึงไม่กล่าวอันใดเล่า? เหอๆ ในใต้หล้านี้ย่อมมีบางเื่อยู่เหนือการควบคุมเสมอใช่หรือไม่? เดิมทีตกลงกันไว้ว่าจะส่งมอบทองคำในวันพรุ่ง ทว่าหม่อมฉันมิอยากมีเื่อันใดให้ต้องข้องเกี่ยวกับพระองค์อีก จึงมาวันนี้ทันทีเพคะ
ดังนั้นแล้วหม่อมฉันมีอันใดน่ะหรือ? ก็ย่อมมาที่นี่เพื่อแจ้งให้พระองค์ทราบ การแลกเปลี่ยนของพวกเราถือว่าสิ้นสุดลงแล้ว ไม่มีเื่ใดให้ต้องเกี่ยวข้องกันอีกเพคะ!”
ฮวาเหยียนกล่าว แววตาเปล่งประกายเืเย็น
นางเกลียดตี้หลิงหานจริงๆ!
ขู่เข็ญบีบเอาเงินจากนาง เท่ากับบังคับเอาชีวิตของนาง!
...
ทันใดนั้น จู่ๆ ก็มีคนผู้หนึ่งเข้ามาแจ้งข่าวด่วน ตี้หลิงหานให้คนะโรายงานเข้ามา ชายผู้นั้นจึงเหลือบมองไปทางฮวาเหยียนด้วยท่าทีระมัดระวัง ทว่าสุดท้ายก็มิได้เอ่ยปากอันใด เพียงส่งจดหมายลับให้ตี้หลิงหาน
ตี้หลิงหานหยิบจดหมายลับฉบับนั้นมาเปิด คิ้วของเขาขมวดเข้าหากันเล็กน้อย หลังอ่านจดหมายจบอย่างรวดเร็ว คิ้วของเขาก็คล้ายจะย่นยู่ ดวงตาปิดลง ก่อนกล่าวว่า “เช่นนั้นเปิ่นกงจะรอทองคำจากคุณหนูใหญ่ตระกูลมู่...”
เชิงอรรถ
[1] ปลายเข็มต่อปลายเข็ม 针锋相对 (zhēn fēng xiāng duì) อุปมาถึง ทั้งสองฝ่ายที่มีทรรศนะ นโยบาย หรือปฏิบัติการที่เป็ปฏิปักษ์กันอย่างแหลมคม เทียบสำนวนไทยว่า ‘ตาต่อตา ฟันต่อฟัน’
[2] เงยหน้าอ้าปาก 扬眉吐气 (Yáng méi tǔ qì) หมายถึง เกิดความภาคภูมิใจที่ความคับแค้นใจหรือความตกอับได้หมดไป เชิดหน้าชูตา
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้