“อะ...อะไรนะ?” หลงเซี่ยวเจ๋อใจนพูดไม่ออก
เพียงครู่เดียวอารมณ์ในเวลานี้ก็ถูกฉุดจากนรกพุ่งสู่์ มีการล้อเล่นกันเช่นนี้ด้วยหรือ? เหตุใดเื่นี้พี่สะใภ้สามถึงร้ายกาจยิ่งกว่าเขาเสียอีก
“ใช่แล้วๆๆ หมูหันย่างๆ”หลงเซี่ยวเจ๋อขานรับพลางหัวเราะฮ่าๆ อย่างโง่งม
เขาตัดสินใจแล้วว่าชาตินี้จะไม่ขออยู่ร่วมกับหมูอีก ทำเขาอยากวิ่งชนกำแพงเสียหลายรอบ ต่อไปหากเห็นหมูที่ใด จะจับฆ่ากินเสียให้หมด
เขายังต้องไปรายงานพี่สาม ตกลงแล้วท่านสู่ขอสตรีเช่นใดมากันแน่ อีกทั้งยังงดงามถึงเพียงนี้
แต่มิแน่ว่าอาจจะเป็ภัยในภายภาคหน้าก็ได้ คนเ้าเล่ห์ที่ใช้เล่ห์กลได้ถูกเวลาเยี่ยงนี้ ต้องให้พี่สามระวังเสียหน่อยแล้ว หลีกเลี่ยงมิให้ถูกนางเล่นงานเข้า
“องค์ชายหกรีบไปทูลความดีความชอบกับฉีอ๋องว่าท่านรับเปิ่นหวางเฟยกลับถึงจวนได้อย่างราบรื่นเรียบร้อยแล้ว เปิ่นหวางเฟยมอบของขวัญชิ้นใหญ่ให้ท่านไปชิ้นหนึ่ง อีกสักครู่รอบกายท่านก็จะมีบรรดาผึ้งและผีเสื้อมาทักทาย” มู่จื่อหลิงยกมุมปากขึ้นน้อยๆ ยิ้มแย้มอย่างลึกลับ
อีกไม่นานโอสถมี่ลู่ [1] ที่เพิ่งหยดใส่มือเขาก็ใกล้จะออกฤทธิ์แล้ว ให้เขาไปอยู่ข้างกายฉีอ๋อง จะได้ถือโอกาสให้เขานำผึ้งฝูงนั้นไปทักทายฉีอ๋องที่ยังมิได้พบหน้ากันผู้นั้นด้วย ถือเป็ของขวัญแรกพบหน้าของข้าผู้นี้เถิด
หึ! สู่ขอนาง แล้วยังไม่ใส่ใจนางอีก
กล่าวจบมู่จื่อหลิงก็ไม่สนใจหลงเซี่ยวเจ๋อที่สับสนวุ่นวายใจอีก หันไปกำชับคนรับใช้ที่ด้านข้างเล็กน้อย แล้วผลักประตูเข้าเรือนไป
เสี่ยวหานมองคุณหนูของตนด้วยใบหน้าเลื่อมใส คุณหนูร้ายกาจยิ่งนัก หยอกเย้าองค์ชายหกเสียจนหัวหมุน หลังจากนั้นจึงจูงหมูไปอย่างไม่เต็มใจเท่าไรนัก
บนหอสูงที่ตั้งอยู่ไม่ไกล ทุกก้าวของมู่จื่อหลิงั้แ่ก้าวเข้าจวนอ๋องล้วนอยู่ในสายตาของเขาทั้งหมด วรยุทธ์ของเขานั้นสูงส่งเกินกว่าจะเดาได้
บทสนทนาระหว่างมู่จื่อหลิงและหลงเซี่ยวเจ๋อทุกคำเขาล้วนได้ยินอย่างชัดเจน ยิ่งเวลาผ่านไปนานเท่าไร อากาศเย็นที่อยู่โดยรอบก็ยิ่งหนาวเย็นลงเรื่อยๆ
องครักษ์เงาสองคนที่อยู่ในความมืดจึงอดที่จะตัวสั่นมิได้
ั์ตาลุ่มลึกของหลงเซี่ยวอวี่หรี่ลงน้อยๆ มีแววสงสัยใคร่รู้วาบผ่าน ริมฝีปากบางขยับช้าๆ เอ่ยออกมาอย่างแ่เบาทีละคำ “มู่ จื่อ หลิง”
กุ่ยหยิ่งและกุ่ยเม่ยที่ซ่อนตัวอยู่ในความมืด เห็นหลงเซี่ยวอวี่จับตาดูจวนฉีอ๋องมาโดยตลอด คิดไปว่าฉีอ๋องนั้นกำลังรับชมเื่สนุก คาดไม่ถึงว่าท่านอ๋องจะเอาแต่จับตามองหวางเฟยคนใหม่ ทำเอาทั้งสองคนต่างหันมามองกันแล้วตกตะลึงไป
ฉีอ๋องที่เ็าไร้ความรู้สึกเคยเหลือบแลหญิงสาวคนใดกัน วันนี้มิได้เพียงแค่มองอยู่ค่อนวัน แต่ยังพินิจพิเคราะห์นางมาตลอดทาง พวกเขาจึงได้แต่หันมองท้องฟ้า จะมีพิรุณโลหิตตกลงมาหรือไม่หนอ
-
ชั่วขณะเดียว นางผลักประตูเรือนเข้ามา
“เหอะ” มู่จื่อหลิงแค่นเสียงเย็น
ตำหนักอวี่หานนามนี้คล้องกันจริงเสียด้วย เรือนแห่งนี้ใช่เรือนใหม่ที่ใดกัน ไอเย็นพัดกรูเข้ามาหาตัว ในอากาศมีกลิ่นอายของความหยิ่งทระนงและความเผด็จการแฝงอยู่ มองปราดเดียวก็รับรู้ได้ว่าผู้เป็เ้าของทระนงในศักดิ์ศรีเพียงใด
ในห้อง นอกจากจะมีเทียนมงคลสีแดงที่ลุกโชนหนึ่งคู่ เตียงไม้จันทน์สีแดงด้านหลัง ก็หาได้มีบรรยากาศน่ายินดีอื่นใดอีกไม่
ยิ่งเดินเข้าไปใกล้ บรรยากาศเย็นเยือกก็ยิ่งเย็นหนักขึ้น แสงไฟไหวระริก ทุกสิ่งทุกอย่างแสดงให้เห็นถึงความน่าพิศวงและความอึมครึม
มู่จื่อหลิงเหนื่อยมาทั้งวันแล้ว จึงไม่มีเวลามาคิดถึงอย่างอื่น นางปลดมงกุฎหงส์ที่หนักอึ้งลงมาจากศีรษะ ถอดชุดแต่งงานออกทีละชั้น
จากนั้นโยนลงบนพื้นแบบส่งๆ สุดท้ายจึงเหลือแค่ชุดกางเกงบางเบาเพียงชุดเดียว เดินไปข้างเตียงเตรียมจะล้มตัวนอน ขณะนั้นเองก็เหลือบไปเห็นว่าข้างหลังเตียงยังมีประตูอยู่อีกบาน
นางรู้สึกได้ว่าไอเย็นในห้องลอยออกมาจากห้องนั้น
มู่จื่อหลิงรู้สึกสงสัยขึ้นมาชั่วขณะ เดินไปเปิดประตูเข้าไปข้างในอย่างช้าๆ พบว่าตำหนักด้านในใหญ่กว่าตำหนักด้านนอกถึงสองเท่าเต็มๆ
ภายในตำหนักตกแต่งอย่างหรูหราและสูงค่า ทั้งยังมีบ่อน้ำพุร้อนที่มีไอร้อนปกคลุม และไม่รู้ว่าน้ำโผล่ออกมาจากบริเวณใด ทว่าอยู่ในตำหนักที่เย็นเฉียบขนาดนี้ยังสามารถรักษาอุณหภูมิเดิมไว้ได้อีก
มีเตียงหลังใหญ่ หลงเซี่ยวอวี่ผู้นี้ช่างรู้จักเสพสุขเสียจริง มู่จื่อหลิงมองทุกสิ่งทุกอย่างด้วยความตื่นตะลึง แล้วก็พบว่าเตียงหลังนั้นมีควันสีขาวลอยผ่านผ้าปูเตียงขึ้นมาเกือบจะตลอดเวลา
จู่ๆ มู่จื่อหลิงก็รู้สึกว่าไอเย็นเยียบพวกนี้ช่างคุ้นเคยนัก จึงเดินไปที่เตียงตามสัญชาตญาณ มือเล็กแตะลงบนเตียง
เย็น เย็นยิ่งนัก
เมื่อเลิกผ้าปูขึ้นดู เป็เตียงหยกเหมันต์! นี่เป็เตียงหยกเหมันต์ที่ทะลุมิติมาพร้อมตนมิใช่หรือ?
เมื่อคืนวานนางหาที่จวนสกุลมู่อยู่พักใหญ่ก็หาไม่เจอ ที่แท้อยู่ที่นี่เองสินะ
แรกเริ่มนั้นเป็เพราะเตียงหลังนี้นางจึงทะลุมิติมายังสถานที่ผีบ้านี่ เช่นนั้นเวลานี้หาเตียงเจอแล้วก็กลับไปได้แล้วใช่หรือไม่?
ในใจมู่จื่อหลิงรู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อย นึกถึงสถานการณ์ตอนที่ทะลุมิติมาในเวลานั้น พลางคิดว่าตนสามารถกลับไปได้แล้ว ทว่าก็รู้สึกกังวลนัก
คิดไปพลางทำไปพลาง นางเปลี่ยนไปทุกท่าอิริยาบถ!
ไม่ถูก ยังไม่ถูกต้อง!
มู่จื่อหลิงดึงผ้าปูเตียงออก เผยให้เห็นเตียงหยกเหมันต์ทั้งหลัง เตียงทั้งเตียงมีควันสีขาวลอยฟุ้งอยู่แทบตลอดเวลา มู่จื่อหลิงไม่พูดพร่ำทำเพลงล้มตัวนอนลงไป ไม่นานก็เข้าสู่นิทรา
ในห้วงความฝัน
“นางหนู เดิมเ้าก็มิใช่คนของโลกนั้น และชะตากรรมของเ้าในโลกนี้ก็ยังคงผูกพันมิสิ้นสุด ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนแต่เป็ไปตามโชคชะตาฟ้าลิขิต” มู่จื่อหลิงเห็นท่านยายเรือนผมสีขาวดอกเลากำลังโบกมือให้นาง เหตุใดนางถึงมองเห็นรูปลักษณ์ของท่านยายผู้นี้ไม่ชัดเจน
“ท่านยาย ท่านเป็ใครกันแน่ เหตุใดข้าจึงมิใช่คนของโลกนั้น” ทว่าภาพของท่านยายที่อยู่ตรงหน้ากลับยิ่งเลือนรางลงไปเรื่อยๆ สิ่งที่ตอบนางกลับมาล้วนเป็ความเงียบงัน
ในใจมู่จื่อหลิงหนักอึ้ง ความหวังเพียงหนึ่งเดียวถูกดับไปแล้ว จะต้องอยู่ที่นี่ไปตลอดชีวิตจริงหรือ กลับไปไม่ได้แล้วจริงหรือ?
นางนอนอยู่บนเตียง น้ำตาไหลรินลงมาจากหางตาไม่หยุด หยดลงบนเตียง แล้วหยดน้ำตาที่แตกกระจายก็จับตัวกลายเป็น้ำแข็ง
-
หลงเสี่ยวเจ๋อไม่เข้าใจมาโดยตลอด ที่มู่จื่อหลิงกล่าวกับเขาว่าจะมีผึ้งและผีเสื้อมากมายมาทักทายเขาเมื่อครู่ หมายความว่าอย่างไรกัน
เขาลูบใบหน้าหล่อเหลาของตนอย่างหลงตัวเอง หรือจะบอกเป็นัยว่าตนนั้นรูปงามจนเกินไป จึงดึงดูดเหล่าผีเสื้อให้เข้ามาเชยชมได้อย่างง่ายดาย คิดๆ ไปก็สุขใจนัก!
หญิงผู้นี้นับว่าตามีแวว แม้เขาจะมิได้หน้าตาดีจนทั้งคนทั้งเทพล้วนเกลียดชังเช่นพี่สาม ที่เพียงแค่ขยับนิ้วก็สามารถดึงดูดผู้คนได้
เขาตัดสินใจแล้วว่าจะไปหาพี่สาม เตรียมไปขอความดีความชอบ
ทันใดนั้นก็มีเสียง ‘พรึบๆ’ และ ‘หึ่งๆๆๆ’ ดังเข้ามาใกล้... สิ่งใดกัน เขาหันกลับไปมอง......
----------------------------------
เชิงอรรถ
[1] โอสถมี่ลู่ คือยาที่มีส่วนผสมของน้ำหวานหรือเกสรดอกไม้
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้