ลู่เสี่ยวหมี่กำลังตักเนื้อกระต่ายขึ้นมาจากหม้อ มือหนึ่งจึงฉีกชิ้นหนึ่งใส่ปากเกาเหริน อดบ่นไม่ได้ว่า “อากาศหนาวถึงเพียงนี้ เ้าออกไปซุกซนที่ไหนอีกแล้ว? หากว่าอยู่ในหมู่บ้านก็ช่างเถอะ แต่ห้ามขึ้นเขาไปอีกเด็ดขาด ก่อนหน้านี้มีพวกพี่เสี่ยวเตานำทาง และหิมะยังไม่ตกหนักมากนัก แต่ยามนี้บนเขาอันตรายมาก”
เกาเหรินก้มหน้าก้มตากินเนื้อกระต่าย ดวงตาวูบไหวเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็ไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา
ในชาติก่อนเสี่ยวหมี่ทำหน้าที่คอยดูแลสั่งสอนบรรดาน้องสาวน้องชายมาจนชินเสียแล้ว จึงยกมือขึ้นดีดหน้าผากเขาอย่างมันเขี้ยวไปทีหนึ่ง “ข้าถามเ้าอยู่นะ เหตุใดไม่ตอบเล่า? หากยังออกไปอีก ข้าจะบอกพี่ใหญ่เฝิงว่าพอเ้ากลับมาแล้วจะไม่ให้เ้ากินข้าว”
เกาเหรินคายกระดูกกระต่ายออกมา สีหน้าดุดันขึ้นมาทันที เขายกมือขึ้นอย่างกะทันหัน “เ้า...กล้าตีข้า?”
ลู่เสี่ยวหมี่กำลังค้อมเอวลงเปิดหม้อตุ๋นเนื้อไก่ จึงไม่ทันได้เห็นอันตรายที่คืบคลานเข้ามา ปากก็ยังพร่ำบ่น “ตีเ้าหรือ ข้ายังคิดจะให้เ้าอดข้าวด้วยนะ ที่นี่คือหมู่บ้านเขาหมี ไม่ใช่ในเมือง หุบเขาป่าลึกโดยรอบมีอันตรายรอบด้าน หากว่าเ้าไม่เชื่อฟัง วันหน้าหากทำของอร่อยจะไม่แบ่งให้เ้า”
ฝาไม้ที่ทำหน้าปิดหม้ออยู่อย่างแ่า ครั้นจู่ๆ ถูกเปิดออกเช่นนี้ กลิ่นหอมที่อัดแน่นอยู่ด้านในเป็เวลานานจึงพวยพุ่งออกมา
กลิ่นหอมของเนื้อ กลิ่นธรรมชาติแห่งป่าลึกจากเห็ด ผสมกับกลิ่นหอมหวานของข้าวสวย ยากจะอธิบายแต่ยังทำให้คนหลงใหล
เกาเหรินท้องร้องทันที เขาเก็บมือกลับ แล้วจึงกลอกตาใส่สตรีที่กำลังยุ่งง่วนอยู่ตรงหน้าเขา
เห็นแก่ของของอร่อย เช่นนั้นก็ไว้ชีวิตแม่นางน้อยที่ไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำนี่สักครั้งก็แล้วกัน...
ไม่มีอะไรจะช่วยปลอบโยนร่างกายที่อ่อนล้าได้มากกว่าของอร่อยอีกแล้ว พวกป้าหลิวยุ่งอยู่กับงานมาทั้งวัน ครั้นเห็นว่าลู่เสี่ยวหมี่ยกอาหารมื้อใหญ่เข้ามา ก็พากันเบิกบานโดยถ้วนหน้า
ในฐานะครอบครัวนายพราน ไก่ป่าและเนื้อกระต่ายไม่ใช่ของหายากอะไร ข้าวสวยสีขาวที่ส่งกลิ่นหอมนั้นต่างหากที่เป็ของหายาก
อย่างไรเสียก็มีราคาสูงถึงหกสิบอีแปะต่อหนึ่งจิน ยามปกติหากบ้านไหนพอจะมีเงินเหลือซื้อกลับมาได้สักสองจิน ก็ต้องเก็บเอาไว้ต้มโจ๊กให้เด็กและคนแก่ที่บ้านกินตอนไม่สบาย มีอย่างที่ไหนที่หุงเป็หม้อใหญ่แล้วยกเข้ามาแบบสกุลลู่
สะใภ้สาวบางคนแค่เห็นก็กลืนน้ำลาย “น้องเสี่ยวหมี่ แบบนี้สิ้นเปลืองเกินไป ข้าวหม้อนี้ถ้าเอาผสมกับข้าวฟ่างหรือข้าวเหนียวคงพอกินได้ครึ่งเดือนแล้ว”
ลู่เสี่ยวหมี่ยิ้มแย้มบอกให้ทุกคนช่วยกันตั้งโต๊ะ แล้วเรียกทุกคน “ทุกท่านช่วยข้าเย็บปัก ข้าย่อมต้องรับรองพวกท่านอย่างดี ไม่เช่นนั้นหากวันหน้าไม่มีใครมาช่วยข้า ข้าจะไปร้องห่มร้องไห้ที่ไหนกันเล่า”
น่าเสียดาย แม้จะได้ยินประโยคนี้ของนางแล้ว แต่ก็ยังไม่มีใครกล้าเดินขึ้นหน้ามา
กลับเป็ป้าหลิวที่รู้ว่าทุกคนคิดอะไรอยู่ จึงเอ่ยออกมาตรงๆ ว่า “เสี่ยวหมี่ น้ำใจของเ้าทุกคนขอรับไว้ด้วยใจ แต่คนแก่และเด็กเล็กที่บ้านต่างกินข้าวฟ่างแทะแป้งทอด เ้าจะให้พวกนางที่เป็แม่เป็ภรรยามากินข้าวสวยคำใหญ่ๆ อยู่ที่นี่ ไม่มีใครใจแข็งพอจะกินลง เอาเช่นนี้ดีกว่า เ้าแบ่งอาหารพวกนี้ใส่ถ้วยให้พวกเรายกกลับไปกิน
อีกอย่างงานปักพวกนี้ก็ใช่ว่าจะเสร็จภายในวันสองวัน พวกเราจะแบ่งกลับไปทำที่บ้านด้วย สองสามวันข้างหน้าทำเสร็จแล้วค่อยนำกลับมาให้เ้า”
เสี่ยวหมี่ได้ยินเช่นนี้ก็ทั้งปวดใจทั้งหน้าแดง เป็นางที่คิดไม่รอบคอบ
คิดถึงชาติก่อน เวลาที่เพื่อนๆ พานางไปกินของอร่อยนางก็เอาแต่คิดถึงน้องสาวน้องชายที่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้า พวกเขาเองก็คงคิดแบบนางในตอนนั้นกระมัง
“ได้ เอาตามที่ท่านป้าว่าเถิดเ้าค่ะ”
ลู่เสี่ยวหมี่รีบไปยกถ้วยมาจากห้องครัว ทุกถ้วยจะใส่ข้าวลงไปกว่าครึ่ง จากนั้นใช้ทับพีไม้กดอัดจนแน่นติดก้นถ้วยแล้วโปะทับด้วยเนื้อไก่และเห็ดที่ตุ๋นอย่างดีหนึ่งชั้น เนื้อกระต่ายหม่าล่าอีกหนึ่งชั้น
สตรีแต่ละนางได้รับแบ่งอาหารคนละถ้วย ต่างพออกพอใจจนยิ้มไม่หุบ ขณะเดียวกันก็พากันเขินอายเล็กน้อย เพื่อนบ้านช่วยเหลือกัน การเลี้ยงอาหารเช่นนี้ก็เป็เื่ธรรมดา แต่หากถึงขั้นนำกลับบ้านไปด้วยก็ดูจะหน้าหนาเกินไปสักหน่อย
แต่เมื่อคิดถึงว่าพอกลับไปที่บ้านแล้วยามลูกๆ ได้เห็นข้าวสวยจะดีใจเพียงใด พวกนางก็ปัดความเขินอายเล็กน้อยเ่าั้ออกไป
หิมะที่หยุดตกไปแล้วครึ่งวัน ไม่รู้เมื่อใดค่อยๆ โปรยปรายกลับลงมาอีกครั้ง
บรรดาสตรีที่มาช่วยงานบอกลาเสี่ยวหมี่ จากนั้นจึงใช้เสื้อคลุมบุฝ้ายปิดคลุมถ้วยอาหารในมือ อีกมือถือผ้าที่จะนำกลับไปตัดเย็บต่อที่บ้านแล้วรีบร้อนกลับไป
เสี่ยวหมี่มองส่งทุกคนจากไป ตอนที่กำลังจะปิดประตู คิดไม่ถึงว่าท่านป้าหลิวจะวกกลับมา
“เสี่ยวหมี่ เมื่อครู่ยุ่งอยู่ ข้าลืมถามเ้าไปเื่หนึ่ง”
“เื่ใดหรือ ท่านป้าหลิวถามมาได้เลยเ้าค่ะ” ลู่เสี่ยวหมี่จับมือท่านป้าหลิวดึงเข้ามาหลบลมในบ้าน ถามอย่างสงสัยว่าเป็เื่ใด
ท่านป้าหลิวเองก็เป็คนตรงไปตรงมา “วันครบรอบของมารดาเ้าใกล้จะมาถึงแล้วใช่หรือไม่ ดูจากนิสัยของบิดาเ้าแล้วคงจะต้องจัดอย่างใหญ่โตอีกล่ะสิ”
ลู่เสี่ยวหมี่ยิ้มอย่างขมขื่น ตอบรับว่า “ข้ายังคิดว่าอยู่ว่าจะเข้าไปคุยกับท่านพ่อว่าจะจัดงานครบร้อยวันของท่านแม่อย่างไรดี ถึงแม้จะบอกว่าก่อนหน้านี้ขายสัตว์ที่ล่ามาได้เงินจำนวนมาก แต่จะอย่างไรก็นับว่าเป็ของพี่ใหญ่เฝิง จึงไม่อาจนำไปใช้อย่างเอิกเกริกได้”
“เ้าพูดถูกแล้ว ช่างเป็เด็กที่รู้ความยิ่งนัก”
ท่านป้าหลิวช่วยจัดคอเสื้อให้ลู่เสี่ยวหมี่อย่างรักใคร่สงสาร เอ่ยโน้มน้าวว่า “เ้าก็อย่าโกรธไปเลย พูดคุยกับท่านพ่อของเ้าดีๆ ถึงตอนนั้นอย่าลืมเรียกป้ามาช่วยงานเล่า”
“เ้าค่ะ ขอบคุณท่านป้า ข้าคนเดียวก็คงไม่ไหว จะอย่างไรก็ต้องรบกวนท่านแล้ว”
“จะเกรงใจอันใด ตอนที่แม่เ้ายังอยู่นางช่วยข้าเอาไว้ไม่น้อย ยามนี้นางไม่อยู่แล้วข้าก็สมควรดูแลเ้า แม่เ้าน่ะ หากิญญานางรับรู้ได้ เห็นว่าเ้าเป็เด็กดีเช่นนี้คงจะดีใจเป็อย่างมาก”
ท่านป้าหลิวสนทนาอีกเล็กน้อยก็รีบเดินทางกลับบ้าน ลู่เสี่ยวหมี่ปิดประตูแล้วเดินกลับเข้าไปในโถงกลางบ้าน
บิดาลู่และลูกชายทั้งสามกำลังกินข้าวอยู่ ครั้นเห็นว่าลูกสาวเดินเข้ามาจึงเลื่อนถ้วยข้าวที่มีเนื้อไก่พูนชามไปทางนาง กล่าวอย่างประจบว่า “เสี่ยวหมี่รีบมากินข้าวสิ ประเดี๋ยวจะเย็นเสียหมด”
ลู่เสี่ยวหมี่ยกตะเกียบขึ้น ลังเลอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงเอ่ยว่า “ท่านพ่อ อีกไม่กี่วันก็จะเป็วันครบรอบร้อยวันของท่านแม่ ก่อนหน้านี้เป็เพราะข้าป่วยอยู่ งานศพของท่านแม่ตอนนั้นก็จัดอย่างใหญ่โต เงินทองในบ้านถูกใช้ไปจนหมด มายามนี้งานร้อยวันควรจะจัดอย่างเรียบง่ายสักหน่อยดีหรือไม่ รอปีหน้าบ้านเราอยู่สบายขึ้นแล้ว ข้าค่อย...”
“ไม่ได้” ไม่รอให้ลู่เสี่ยวหมี่พูดจบ บิดาลู่ที่ใจดีอยู่เสมอก็ะเิอารมณ์ออกมาทันที “วันครบรอบของมารดาเ้าต้องจัดอย่างใหญ่โต จะละเลยไม่ได้เป็อันขาด”
พูดจบเขาก็ไม่กินข้าวอีก โยนตะเกียบวางถ้วยในมือแล้วหมุนกายกลับเข้าห้องไป
ั้แ่ที่ลู่เสี่ยวหมี่ตื่นขึ้นมาในบ้านสกุลลู่ นี่เป็ครั้งแรกที่ถูกบิดาตำหนิ จึงรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจยิ่งนัก ขอบตาแดงก่ำ
พี่ใหญ่ลู่ พี่รองลู่และพี่สามลู่ต่างวางตะเกียบในมือเข้ามาปลอบโยนนาง “เสี่ยวหมี่ เ้าก็อย่าโมโหไปเลย ท่านพ่อไม่ได้ตั้งใจจะดุเ้า ท่านเองก็คงกลัวว่าท่านแม่อยู่ที่นั่นจะไม่สุขสบาย”
“ใช่แล้ว ตอนที่จัดงานศพ เ้ายังป่วยหนักอยู่ ตอนนั้นท่านพ่อถึงขั้นจะขายที่ดินของบ้านเพื่อให้เงินเพียงพอ เป็พวกนายท่านเฝิงที่มาห้ามปรามถึงได้เลิกราไป ยามนี้...ถึงแม้จะเป็แค่งานครบร้อยวัน ไม่ใช่งานศพ แต่ก็คงไม่ยอมละเลยเป็แน่”
ลู่เสี่ยวหมี่อ้าปากคิดจะพูดอะไร แต่สุดท้ายก็ถอนใจออกมา
ถึงแม้นางจะมีความทรงจำของเ้าของร่างเดิมอยู่ในหัว แต่ความทรงจำเ่าั้อย่างมากก็เป็เหมือนภาพยนตร์ที่ค่อยๆ เลื่อนผ่านไปในหัวของนาง นางเห็นแล้วเข้าอกเข้าใจแต่กลับไม่อาจรู้สึกได้จริงๆ
ในความทรงจำ ไป๋ซื่อรักใคร่บุตรสาวยิ่งนัก แต่ก็ยังมีความทรงจำบางส่วนที่ว่างเปล่า
“พี่ใหญ่ ก่อนหน้านี้ข้าป่วยหนัก จึงลืมเื่ราวต่างๆ ไปมากมาย ท่านพ่อบอกว่าข้าและท่านแม่เดินทางไปบ้านท่านตา ระหว่างทางกลับต้องลมหนาว ท่านแม่จากไป ข้าเองก็ป่วยหนัก แต่จะอย่างไรข้าก็จำไม่ได้ว่าบ้านท่านตาอยู่ที่ใด และเกิดอะไรขึ้น ท่านแม่เคยเล่าให้พวกท่านฟังหรือไม่?”
พี่ใหญ่ลู่ขมวดคิ้วแล้วส่ายหน้า “ตอนที่ท่านแม่พาเ้าไป พวกเราสามคนคิดจะตามไปดูแล ท่านแม่ก็โกรธ เป็ตายอย่างไรก็ไม่ยอมตกลง จะพาเ้าเดินทางไปเพียงคนเดียว พวกเราถามว่าไปที่ใด ท่านแม่ก็ไม่บอก แม้แต่ท่านพ่อเองตอนนั้นก็ไม่อยากให้ท่านแม่กลับไป ยังโกรธท่านแม่เพราะเื่นี้อีกด้วย ตอนที่พวกเ้าจากไป ท่านพ่อไม่ยอมออกจากห้องเลย พวกเราเองก็ไม่กล้าถามมากนัก เฝ้ารอวันที่ท่านแม่จะพาเ้ากลับมาอย่างยากลำบาก สุดท้ายไม่ถึงครึ่งเดือนท่านแม่ก็สิ้นใจ พวกเราจึงไม่มีโอกาสได้ถามว่าบ้านท่านตาอยู่ที่ใด”
ลู่อู่เองก็เกาศีรษะ กล่าวอย่างปลงๆ ว่า “ข้าเองก็ไม่เคยได้ยินท่านแม่เล่ามาก่อน แล้วเ้าเล่า จำอะไรไม่ได้เลยหรือ? ข้านึกไปว่าที่เ้าทำกับข้าวแปลกๆ พวกนั้น ทั้งยังลุกขึ้นมาจัดการงานบ้าน เป็เพราะเรียนมาจากบ้านท่านตาเสียอีก”
ลู่เสี่ยวหมี่ได้ยินก็ใจเต้นตึกตัก กลัวจะลามไปถึงเื่ที่นางแฝงตัวเข้ามาอยู่ในร่างผู้อื่น จึงรีบบอกปัดเื่นี้ไม่สนทนาต่อ
“ตอนนั้นข้าไข้ขึ้นหนัก สมองจึงใช้การไม่ได้ คิดอะไรไม่ออกทั้งนั้น เื่งานร้อยวันของท่านแม่ข้าจะลองหาวิธีอีกที”
เสี่ยวหมี่โบกมือและไม่กินข้าวต่อ นางหมุนกายกลับเรือนหลังไป
สามพี่น้องสกุลลู่สบตากันทีหนึ่ง แล้วจึงพากันทอดถอนใจออกมา ในฐานะพี่ชายยังต้องให้น้องสาวมารู้สึกกดดันเื่เงินทองในบ้าน พวกเขารู้สึกผิดยิ่งนัก
พี่สามลู่ขบคิดจากนั้นเอ่ยว่า “จะอย่างไรก็ยังต้องรอปีหน้า่ฤดูใบไม้ร่วงถึงจะเป็การสอบครั้งใหญ่ ข้าจะหยุดเรียนสักครึ่งปีแล้วค่อยกลับไปอีกครั้งในฤดูร้อนปีหน้าก็ไม่สาย”
“จะได้อย่างไร?” พี่ใหญ่ลู่และพี่รองลู่เอ่ยออกมาพร้อมกัน “ตอนที่ท่านแม่ยังอยู่ก็บอกแล้วว่า ต่อให้ที่บ้านจะลำบากแค่ไหนก็ต้องส่งเ้าเรียนหนังสือให้ได้ วันหน้าหากเ้าประสบความสำเร็จ จะได้มาช่วยปกป้องวงศ์ตระกูลและน้องสาว”
พี่สามลู่ยิ้มขื่น “อย่าพูดถึงเื่ปกป้องเสี่ยวหมี่เลย ข้าได้ยินแล้วหน้าแดง ตอนนี้เป็เสี่ยวหมี่ต่างหากที่ต้องมาหนักใจคอยดูแลพวกเรา”
“แต่ถึงอย่างไรเ้าก็จะเลิกเรียนหนังสือไม่ได้ พรุ่งนี้ข้าจะขึ้นเขาไปล่าสัตว์”
พี่รองลู่ตบบ่าพี่สามลู่ เขามือหนักจนเกือบทำน้องชายตกเก้าอี้ แต่สุดท้ายเื่นี้ก็ได้บทสรุป
ลู่เสี่ยวหมี่ไม่รู้ว่าพี่ชายทั้งสามเพิ่งจะประชุมได้ข้อสรุปกันเสร็จ ตอนนี้นางกำลังนั่งนับตั๋วเงินจาการขายสัตว์ที่ล่าได้วันก่อน หนึ่งร้อยห้าสิบตำลึง บวกกับเศษเงินอีกสามสิบกว่าตำลึง
ถึงแม้เฝิงเจี่ยนจะเคยบอกว่าเงินพวกนั้นยกให้เป็ของนางทั้งหมด แต่ผู้อื่นได้รับาเ็เพราะช่วยพี่สามลู่ มาตอนนี้ยังต้องให้คนของเขามาล่าสัตว์หาเงินซื้อยารักษาให้เขา พูดออกไปสกุลลู่ของนางก็นับว่าเสียมารยาทแล้ว หากจะนำเงินพวกนี้ไปจัดงานร้อยวันให้มารดา จ่ายค่าอาจารย์ให้พี่สามลู่อีก ลู่เสี่ยวหมี่แค่คิดก็หน้าแดง
แต่ตอนนี้สภาพคล่องของสกุลลู่น่าเป็ห่วงเกินไป จะไม่ใช่เงินส่วนนี้ก็คงเป็ไปไม่ได้
ลู่เสี่ยวหมี่ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายก็ตัดสินใจหยิบตั๋วเงินเดินออกไป
ที่เรือนพักฝั่งตะวันออก เกาเหรินไม่รู้ว่าไปเอาพุทราจีนมาจากที่ใด เขากำลังกินพลางพ่นเม็ดออกมากองเต็มพื้น ส่วนผู้เฒ่าหยางก็ทำหน้าที่เก็บกวาดด้วยรอยยิ้ม
เฝิงเจี่ยนนั่งข้างหน้าต่างเหม่อมองขุนเขาที่อยู่ไกลออกไป เมื่อคืนหิมะตก จึงประหนึ่งช่วยผลัดอาภรณ์ให้เขาทั้งลูก ยามนี้เมื่อพายุสงบลงแล้ว ก็นับว่าเป็ภาพที่งดงามไม่น้อย
ลู่เสี่ยวหมี่เดินเข้ามา แม่นางน้อยสวมอาภรณ์สีสุภาพ รูปร่างแบบบาง เปียสองข้างสั่นไหวตามการเคลื่อนไหวของร่างกาย ยิ่งขับให้ใบหน้าเล็กเท่าฝ่ามือนั้นซีดขาวขึ้นสามส่วน แต่ครั้งนี้หว่างคิ้วนางปราศจากความเฉลียวฉลาดแจ่มใสในกาลก่อน กลับถูกปกคลุมไปด้วยเมฆหมอกแห่งความวุ่นวายใจ...
เฝิงเจี่ยนเลิกคิ้ว หันกลับไปถาม “สกุลลู่เกิดเื่หรือ?”
ไม่รอให้ผู้เฒ่าหยางเอ่ยตอบ เกาเหรินก็พ่นเม็ดพุทราออกมา เบะปากตอบว่า “เ้าโง่นั่นคิดจะจัดพิธีรำลึกอย่างยิ่งใหญ่ ทำให้แม่นางน้อยนั่นลำบากใจ”
เขายังคิดจะเสริมอีกสองสามประโยค กลับได้ยินเสียงลู่เสี่ยวหมี่เคาะประตู “ท่านลุงหยาง พี่ใหญ่เฝิงตื่นอยู่หรือไม่ ข้ามีเื่จะปรึกษาเ้าค่ะ”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้