บทที่ 26 เพลิงนรกต้นกำเนิด
แสงดาวโปรยปรายเหนือศิลากำเนิดเทพ ดวงแสงบนผิวที่ขรุขระรวมตัวกันมากมายราวกับฝูงหิ่งห้อย บ้างมีรูปร่างคล้ายดวงไฟ บ้างดูคล้ายภูต...
หัวใจลั่วถูกระสับกระส่าย ความรู้สึกนี้เหมือนอยู่ระหว่างความจริงและภาพมายา สิ่งนี้ทำให้เขารู้สึกคุ้นเคยไม่เบา ครั้งที่แล้วตอนที่เขาเห็นภาพเต่าลึกลับแบกหินก็เป็เช่นนี้ เพียงแต่ตอนนี้กลุ่มดวงไฟที่กะพริบอยู่เหนือศิลากำเนิดเทพ ไม่ปรากฏเส้นทางโคจรลมปราณแต่อย่างใด ทำเอาลั่วถูมึนงงไม่ใช่น้อย...
“นี่มันหมายความว่าอย่างไรกันแน่...” ลั่วถูคร่ำครวญในใจ ความลับของศิลากำเนิดเทพยากจะกล่าวออกมาเป็คำพูดได้ ลวดลายจำนวนนับไม่ถ้วนสงบนิ่งอยู่บนศิลา หลายพันปีมานี้เผ่าพันธุ์มากมายไม่เคยค้นพบการรู้แจ้งใหม่ๆ เลย ลั่วถูรู้สึกว่าถึงตนจะโชคดีได้รับพลังจากภาพเทพภาพหนึ่ง ทว่าการคิดที่จะรับพลังจากภาพเปลวเพลิงแสงดาวอีก มันช่างเป็อะไรที่ยากเกินไปมากนัก บางทีมันอาจเป็แค่ปรากฏการณ์มหัศจรรย์อย่างหนึ่ง หรือบางที่อาจเป็เพียงภาพลวงตาของเขา ไม่ใช่การพลังจากศิลากำเนิดเทพแต่อย่างใด
พิษปีศาจกัดกินหัวใจ ส่วนมนต์ปีศาจกัดกินสมอง… ลั่วถูรู้สึกได้ว่าในร่างกายของตนปั่นป่วนเหลือเกิน เงาปีศาจนับหมื่นปีกระโจนโลดโผนอยู่ในความว่างเปล่า มีทั้งฟันทั้งกรงเล็บคม ฝูงปีศาจกำลังเริงระบำ… ทำให้ภาพที่เคยแจ่มชัดในสมองถูกฉีกเป็ชิ้นๆ
“นี่คือการถูกเปลี่ยนปีศาจหรือ?” ลั่วถูกล่าวกับตัวเองในใจ เขารู้ว่าร่างของเขาถูกพิษปีศาจ ถึงจะไม่ตาย แต่เกรงว่าคงยากที่เขาจะหนีจากการถูกเปลี่ยนให้เป็ปีศาจได้ ยาต้านปีศาจของเขาไม่มีทางรักษาพิษปีศาจโบราณได้อยู่แล้ว เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตนจะตายหรือไม่ แต่มั่นใจได้เลยว่า ต่อให้มีชีวิตต่อ ก็จะกลายเป็ปีศาจ ปีศาจที่สูญเสียจิติญญาของตนไป
“ข้าขอยอมตายดีกว่ากลายเป็ปีศาจ...” จิตใจของลั่วถูต่อต้านอย่างบ้าคลั่ง ทันใดนั้นตัวเขาได้หยิบมีดสั้นเล่มหนึ่งจากนั้นเงื้อขึ้นสูง...
“พรึ่บ… ” ในวินาทีที่ในใจของลั่วถูมีความคิดขอยอมตายดีกว่ากลายเป็ปีศาจและเงื้อมีดขึ้นอยู่นั้นเอง ราวกับความร้อนในจุดตันเถียนกลับเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ กลายเป็คลื่นน้ำที่ปะทุราวกับูเาไฟะเิอย่างไรอย่างนั้น ไหลทะลักไปตามแขนที่ยกขึ้นสูงจนออกจากร่าง
“ตูม… ” เงาปีศาจนับพันนับหมื่นที่เริงระบำแหลกสลายกลายเป็ควันภายใต้เปลวเพลิงเ่าั้ทันที
“นี่มัน...” ในใจของลั่วถูผุดความรู้สึกแปลกประหลาดขึ้นมา นี่เป็เพียงภาพลวงตาเท่านั้นหรือ? ท่ามกลางความคลุมเครือนี้เอง เขารู้สึกได้ว่าลวดลายของภาพเปลวเพลิงเป็กลุ่มๆ ที่ล่องลอยไปมาอยู่เหนือศิลากำเนิดเทพเหมือนกับเปลวไฟที่ปรากฏขึ้นจากในร่างของเขาไม่มีผิด กระโจนไปมาเหมือนกับภูตอย่างไรอย่างนั้น
“เพลิงนรกผลาญปีศาจ… ” ทันใดนั้นเองลั่วถูรู้สึกเหมือนโชคชะตาเป็ใจ ราวกับเขาได้เข้าใจบางอย่าง ที่แสงดาวเหนือศิลากำเนิดเทพดูคล้ายกับลายภาพเปลวไฟไม่ใช่ภาพลวงตา และไม่ใช่วิธีการฝึกฝน แต่เป็การรู้แจ้งต่างหาก เป็การชี้นำไปสู่ต้นกำเนิด!
เพลิงนรกต้นกำเนิด ไม่ใช่ของที่ฝึกฝนแล้วจะได้มา แต่เป็ความเชื่อมั่นที่แข็งแกร่งในจิตใจ เมื่อความเชื่อมั่นกลายเป็เปลวเพลิง ก็แผดเผาทำลายได้ทุกสิ่ง ชำระล้างมารปีศาจทั้งหมด ต่อให้เป็พิษปีศาจโบราณ เมื่ออยู่ต่อหน้าเพลิงนรกต้นกำเนิด ก็เป็แค่เศษขี้เถ้าเท่านั้น
“อ้าก… ” ลั่วถูััได้ว่าความร้อนจากเปลวเพลิงในร่างบ้าคลั่งขึ้นทุกขณะจิต อุณหภูมิก็สูงขึ้นเรื่อยๆ ราวกับจะแผดเผาไปทั้งกาย ลำพังพลังใจของเขาไม่อาจหยุดพลังอันบ้าคลั่งนี้ได้ ภายใต้เสียงกรีดร้อง เขารู้สึกว่าร่างกายและิญญาของเขาะเิออกอย่างเฉียบพลัน กลายเป็เปลวเพลิงอันนับไม่ถ้วน บ้างเป็กลุ่ม บ้างเป็ดวง บ้างเป็ชิ้น … ล่องลอยในอากาศ ราวกับบุปผาบานสะพรั่งยามราตรี งดงามไม่อาจเทียบ สง่างามไร้ใดเทียม
ลั่วถูรู้สึกได้ถึงิญญาของเขาที่กำลังล่องลอยตามเปลวไฟเป็กลุ่มพวกนั้นไป เหมือนฟองน้ำที่ลอยอยู่กลางอากาศ ค่อยๆ ขยับ มุ่งไปยังศิลากำเนิดเทพอย่างเชื่องช้า ราวกับเป็ดวงิญญาที่ถูกเรียกหา… จากนั้นเขาก็พบว่าตนกลายเป็หนึ่งในดวงไฟที่ะโอยู่บนศิลากำเนิดเทพไปด้วย เริงระบำอยู่บนศิลากำเนิดเทพไม่หยุด แหวกว่ายไม่รู้จบ เหมือนกับมีสัญญาณลึกลับบางสิ่งบางอย่างทำให้ฟ้าดินจมลงสู่ความเงียบงัน เขารู้สึกว่าตัวเองคือิญญาของเปลวไฟ เป็ภูตที่กลายร่างมาจากแสงดาว… เป็ต้นกำเนิดของเปลวที่ลึกล้ำที่สุดในฟ้าดินนี้
ความรู้สึกเหนื่อยล้าอย่างหนักหน่วงปรากฏขึ้นในส่วนลึกของิญญาลั่วถู เขาคิดเพียงอยากนอนเงียบๆ ในอ้อมกอดของธรรมชาติ อยู่ระหว่างฟ้าดิน ลอยอยู่ในอากาศยามราตรี… เพลิดเพลินไปกับการปลอบประโลมจากแสงดาวและแสงจันทร์… และพักผ่อนอย่างสงบ!
……
“แกว๊ก แกว๊ก… ” เสียงกังวานของนกปลุกให้ลั่วถูสะดุ้งตื่น ลืมตาขึ้นทั้งที่ยังสะลึมสะลือ และเห็นกลุ่มเงาขนาดใหญ่บินร่อนลงมาจากท้องฟ้า
“อ้าก… ” ลั่วถูใมาก เป็นกแร้งตัวหนึ่งนั่นเองที่กำลังบินเข้าใส่เขา จิตใต้สำนึกสั่งให้ยกมือขึ้นอยางฉับพลัน แต่พอพบว่าในมือของเขาไม่มีหน้าไม้อยู่ ก็เผลอกรีดร้องดังลั่น รีบยกแขนขึ้นบังหน้าแทน ถ้าถูกแร้งตะครุบกรงเล็บเข้าที่หน้าล่ะก็ ทั้งสมองคงหายไปครึ่งหนึ่งแน่
“แกว๊ก แกว๊ก… ” ขณะที่ลั่วถูกำลังกรีดร้องอยู่ในใจ ก็ดันได้ยินเสียงแร้งอยู่เหนือหัวของเสียแล้ว จากนั้นร้องอย่างเ็ปแล้วบินกลับขึ้นฟ้าไป ทำเอาลั่วถูอดสงสัยไม่ได้ เมื่อเขาลดมือที่บังใบหน้าไว้ลง ก็เห็นว่าร่างใหญ่โตของนกแร้งได้กลายเป็ดวงไฟกลุ่มหนึ่ง ทะยานขึ้นฟ้าราวกับหงส์เพลิงที่ร่างปกคลุมไปด้วยเปลวไฟ แต่ว่าแร้งตัวนี้อย่างไรเสียก็ไม่ใช่หงส์ฟ้า พุ่งขึ้นไปได้ไม่กี่สิบจั้ง ก็ร่วงลงมาอย่างรุนแรง
ลั่วถูได้แต่อ้าปากมองตาค้าง สิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดช่างอยู่เหนือความคาดหมายของเขามากเกินไป จนถึงตอนนี้เขาก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีว่ามันเกิดเื่อะไรขึ้นกันแน่ ทำไมจู่ๆ แร้งตัวนั้นถึงติดไฟขึ้นมาอย่างไร้สาเหตุได้...
“โครม… ” แร้งตัวนั้นร่วงลงมาอย่างแรงอย่างกับก้อนหินก้อนหนึ่งอย่างไรอย่างนั้น มันตกห่างจากลั่วถูไม่ไกลเท่าไร ฝุ่นฟุ้งกระจาย ลั่วถูได้แต่มองอย่างตกตะลึงไปยังศพแร้งที่เนื้อถูกย่างจนส่งกลิ่นลอยมา ทว่าเปลวไฟก็เผาไหม้อย่างรวดเร็วจนมันกลายเป็เพียงถ่านหิน
นกแร้งเป็สัตว์ที่แข็งแกร่งมาก ต่อให้เป็แม่เป็เสือหรือเสือดาวหากเจอเข้าก็มีแต่ต้องถอยหนี โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสนามรบฝานเหรินแห่งนี้ ที่ราวกับนกแร้งเกิดการกลายพันธุ์บางอย่าง ทำให้พวกมันดุร้ายยิ่งขึ้น จะอย่างไรก็ตามเ้าสัตว์ปีกดุร้ายที่กินศพเป็อาหารพวกนี้ หลังจากสวาปามซากศพของทุกเผ่าพันธุ์เข้าไป เกรงว่าคงย่อยเอาพันธุกรรมพิเศษเข้าไปมากมาย ร่างกายพวกมันถึงได้ใหญ่โตขึ้น หากปีกออกก็กว้างหลายจั้ง กรงเล็บคู่นั้นทำได้กระทั่งฉีกกระชากร่างของเสือด้วยซ้ำ บางครั้งนกแร้งจะใช้กรงเล็บจับเสือและบินขึ้นไปกลางอากาศ จากนั้นปล่อยให้ร่วงลงมา จนเสือร้ายตกมาตาย และกลายเป็อาหารของมันในที่สุด เพียงแต่แร้งตัวนี้กลับตายอย่างไร้สาเหตุ ทำให้ลั่วถูสับสนไม่น้อยเลย ทว่าเมื่อสายตาของเขามองไปยังเนินเขา ก็ต้องสับสนยิ่งกว่าเดิม
ศิลากำเนิดเทพยังคงตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้า ทว่าตำแหน่งที่เขาอยู่กลับไม่ใช่เป็พุ่มไม้ และไม่ใช่พุ่มหนามเช่นกัน แต่เป็พื้นดินไหม้เกรียม เหมือนกับพื้นที่กว้างขวางแห่งนี้ผ่านการถูกเผาไหม้อย่างบ้าคลั่งมาอย่างไรอย่างนั้น สิ่งมีชีวิตที่เติบโตในละแวกนี้กลายเป็เถ้าถ่านทั้งหมด ถึงขนาดที่แม้แต่พื้นดินก็ยังอุณหภูมิสูงมากเสียจน แทบถูกเผาให้เป็เครื่องปั้นดินเผาอยู่แล้ว...
ลั่วถูถึงกับขยี้ตา นี่ไม่ใช่ภาพลวงตา พื้นที่ในระยะกว่าสิบจั้งนี้ไม่มีหญ้าสักต้น พื้นดินโล่งเตียนเรียบสนิทราวผิวหยก และพ้นจากระยะสิบจั้งออกไปก็ถูกเผาจนเตียนเช่นกัน แต่ยังพอหลงเหลือร่องรอยหญ้าให้เห็นอยู่บ้างเล็กน้อย พอมีลมพัดมา ขี้เถ้าพวกนี้ก็ถูกลมตีจนปลิวว่อนไปทุกสารทิศ ทำให้เขาถึงกับหันมาตั้งใจสังเกตตัวเองอย่างละเอียด ความร้อนระอุไม่ได้ทำให้เขารู้สึกแย่เลยสักนิด เพียงแต่เมื่อลมพัดผ่าน กลับรู้สึกว่ารูขุมขนบนร่างเปิดออก... และลั่วถูต้องอับอายเพราะพบว่าตัวเองกำลังนอนเปลือยกายอยู่บนพื้น เสื้อผ้าบนร่างไม่เหลือสักชิ้น มีเพียงเกราะไหล่และถุงมือที่ไม่รู้ว่าทำมาจากอะไรกะพริบแสงแปลกๆ อยู่เพียงอย่างเดียว ดูจะดีกว่าของที่เขาริบมาจากมือของม่อฉงเสียอีก มันเต็มไปด้วยจิติญญามากกว่าเดิมโข คิดได้ถึงตรงนี้เขาก็รีบผุดลุกขึ้นนั่ง ก็รู้สึกเหมือนมีของบางอย่างร่วงลงจากอก เป็แหวนวงนั้น เขาพรูลมหายใจออกย่างโล่งอก แต่ว่าสร้อยที่ใช้ห้อยแหวนไว้กลับหายไป ราวกับว่าหายไปพร้อมเสื้อผ้าของเขา
เมื่อนึกถึง่เวลาก่อนที่จะสลบไป ความรู้สึกที่เหมือนกับอยู่ในภาพลวงตา ลั่วถูรีบถอดถุงมือออกทันที เมื่อยื่นมือออกมาดู ก็พบว่าผิวพรรณเรียบเนียนขึ้นมาก กระจ่างใสราวกับหยก บริเวณง่ามนิ้วทั้งสิบแทบจะเป็สีแดงโปร่งใส พอนึกถึงแร้งที่น่าสงสารตัวนั้น เพียงนึกคิด มือของเขากลับจุดไฟดวงหนึ่งขึ้น…
“อ้าก… ” ลั่วถูใแทบสิ้นสติ มองไปที่มือของตนด้วยความตื่นตระหนกเปลวไฟสีฟ้าอ่อนกะพริบไหว เขารู้สึกได้ว่าอากาศรอบตัวร้อนขึ้นอย่างเฉียบพลัน อย่างกับเตาเผาสักเตาอย่างไรอย่างนั้น...
“พลังแห่งเปลวเพลิง… เป็ไปได้อย่างไรกัน? ระหรือหรือว่า… ” ลั่วถูตื่นเต้นเสียจนพูดไม่รู้เื่เสียแล้ว จู่ๆ เขาก็มีพลังเปลวเพลิงขึ้นมาได้อย่างไร มีแค่อัจฉริยะบางคนที่เปิดิญญาท่านั้นถึงจะเปิดพลังธาตุได้ หรือไม่ก็ต้องเชี่ยวชาญวิชาอัญเชิญบางอย่าง ถึงจะสามารถพลังชนิดนี้ได้ แต่การที่จู่ๆ เขาได้รับพลังเปลวเพลิงขึ้นมาโดยไม่รู้ตัวแบบนี้ ก็ไม่ใช่หมายความว่าเขาเปิดิญญาสำเร็จแล้วหรอกหรือ?
“ไม่สิ… ” ลั่วถูทดลองปล่อยหมัดออกไป ทว่าจิตใจที่ร้อนเป็ไฟกลับเย็นลง เขายังเปิดิญญาไม่สำเร็จ พลังของเขายังไม่เท่าแรงของวัวหนึ่งตัวเลยด้วยซ้ำ เรียกได้ว่าพลังของเขาเพิ่มขึ้นนิดหน่อย เทียบกับเมื่อก่อนแล้วก็พอจะนับได้ว่าดีขึ้น แต่ยังเทียบกับผู้ที่เปิดิญญาแล้วไม่ได้ ทว่าลั่วถูกลับไม่สนใจ ถึงแรงของเขาจะสู้ผู้เปิดิญญาไม่ได้ แต่หากะเิพลังของภาพเต่าลึกลับแบกหินออกมาในเสี้ยววินาทีได้ก็แทบเทียบเคียงกับผู้เปิดิญญาได้แล้ว
แน่นอนว่าพลังที่ปล่อยออกมาอย่างฉับพลันเช่นนี้เป็เพียงการใช้พลังจากสิ่งอื่นเท่านั้น ไม่ใช้พลังของเขาที่ควรมีเท่าวัวหนึ่งตัวจริงๆ เขาเชื่อว่า ถ้าตนเปิดิญญาสำเร็จและมีพลังเทียบเท่ากับวัวหนึ่งตัวได้ เช่นนั้น พลังที่เขาะเิออกมาในเสี้ยววินาที เพียงพอจะสังหารศัตรูระดับเดียวกันได้เป็แน่
สาเหตุของสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดนี้ เกรงว่าคงเกี่ยวกับแสงดวงดาวเหนือศิลากำเนิดเทพที่เขาเห็นเป็ลวดลายกลุ่มดวงไฟก่อนที่จะสลบไปแน่ มันเหมือนกับที่ตัวเขาเคยรู้แจ้งภาพเต่าลึกลับแบกหินอย่างไรอย่างนั้น
วิธีการใช้พลังก็เหมือนกับเต่าลึกลับแบกหิน ไม่ใช่ว่าเต่าลึกลับคือสัตว์ิญญาที่แข็งแกร่งที่สุดในโลก แต่เพียงต้องอาศัยความเชี่ยวชาญเพื่อจับสังเกตลักษณะของคลื่นพลังและจังหวะของการเคลื่อนไหวบางอย่างให้ได้ก่อนจะใช้มัน หากทำเช่นนั้น ได้ก็ไม่ต่างอะไรกับมีเทพยื่นมือเข้าช่วยเลย และเป็เ้าสิ่งนี้เองที่ทำให้เต่าลึกลับมีความอดทนสูงที่สุด ช่วยให้ในวันนั้นลั่วถูที่าเ็สาหัสแต่ยังคงแบกถุงศพเดินไปไกลนับร้อยกว่าลี้ จนถึงป้อมมู่สือได้ ถ้าไม่ใช่เพราะซ่งตงปลุกเขา เขาอาจยังจมอยู่ในคลื่นพลังและจังหวะการเคลื่อนไหวที่พิเศษนี้ต่อไป ภายใต้อำนาจพิสดารของคลื่นพลังนี้เองที่ทำให้ทั้งร่างเหมือนกับหลอมรวมเป็หนึ่งเดียวกับฟ้าดิน ราวกับพื้นดินที่ยิ่งใหญ่กลายเป็กระดูกสันหลังของเขา ทำให้เขาไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย แม้แต่พิษมารที่แทรกซึมเข้าสู่ร่างกายก็ถูกคลื่นพลังแห่งฟ้าดินสายนี้สยบลงได้
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้