“จ้าวต้าน!” เวินซีหยุดทุกอย่างแล้วลุกขึ้นช่วยพยุงเขา เืสีดำที่อยู่บนพื้นทำให้นางขมวดคิ้ว ก่อนจะตรวจดูชีพจรให้อีกครา พิษของหนอนกู่น่าจะแข็งแกร่งขึ้น ของพวกนี้ทำอันใดมันมิได้
จ้าวต้านยืนเท้าโต๊ะ สีหน้าของเขาดูซีดเซียว
เวินซีไม่มีเวลาให้คิดมากนัก นางรีบคว้ากริชออกมาแล้วกรีดลงบนฝ่ามือ
“เ้า...จะทำอันใด?” จ้าวต้านอยากจะหยุดนาง แต่ก็เคลื่อนไหวไม่ได้ดั่งใจ
เืไหลออกมาจากฝ่ามือของเวินซี นางรีบนำมันเข้าไปใกล้ปากเขา แต่จ้าวต้านก็ไม่ยินยอม
“ดื่ม” เวินซีเอ่ยด้วยเสียงดุดัน เมื่อเห็นว่าเขาไม่ยอมเปิดปาก นางจึงคลำหายากล่อมประสาทในกระเป๋า “จะให้ข้าเจ็บตัวเปล่าๆ มิได้นะ”
“ข้า...”
ในที่สุดจ้าวต้านก็ยอมอ้าปาก นางจึงใช้โอกาสนี้ให้เขาดื่มเื
อาการผิดปกติในร่างกายของเขาบรรเทาลงทันที จ้าวต้านยืนขึ้นแต่ก็ล้มลงบนร่างของนาง ความอบอุ่นนั้นช่วยขจัดความหนาวเย็นภายในร่างของเขาได้ เขาหลับตาลงแล้ววางคางเกยไว้บนไหล่ของนาง
“ตอนนี้รู้สึกอย่างไรบ้าง?” เวินซีเอ่ยถาม
“ดีขึ้นแล้ว เ้าเจ็บมือหรือไม่?”
“แค่แผลเล็กน้อยน่ะ ไม่มีอันใดน่าเป็ห่วง”
เมื่อเห็นว่าเขาไม่มีท่าทีผิดปกติใด เวินซีก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก จากนั้นเทผงห้ามเืลงบนฝ่ามือของตน แล้วพันด้วยผ้าบางๆ อย่างลวกๆ
ัันั้นชวนให้จ้านต้านรู้สึกดี ทั้งยังมีกลิ่นหอมเสียจนเขาไม่อยากปล่อยมือเลยจริงๆ มือของเขาโอบรอบเอวของนางโดยไม่รู้ตัว
“ไปพักก่อนเถิด ร่างกายของเ้าในตอนนี้ทนฝืนได้ไม่นานหรอก”
เวินซีเอ่ยปากแล้วถอยออกมาจากอ้อมแขนของเขา
เมื่อกลิ่นหอมอันอบอุ่นจางไป จ้าวต้านก็พลันใจหาย แต่ไม่กล้าแสดงสีหน้าออกมา เขาเพียงพยักหน้าเบาๆ แล้วกลับไปที่ห้องโดยมีนางช่วยพยุง
วันรุ่งขึ้น เวินซีตื่นั้แ่เช้าตรู่ เมื่อเห็นว่าจ้าวต้านยังหลับสนิทจึงเคลื่อนไหวเบาๆ แล้วเดินออกไปที่ร้านแห่งใหม่
ที่นั่นมีป้ายร้านที่ทำเสร็จแล้วแขวนอยู่บนประตู ชื่ออย่างเป็ทางการของร้านก็คือ “เวินเซียงเก๋อ”
ขอทานหลายสิบคนในร้านได้อาบน้ำและเปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่จนดูสะอาดสะอ้าน มองดูแล้วไม่ต่างจากคนทั่วไปที่มีที่อยู่อาศัย
ในตอนที่เวินซีก้าวเข้าไปในเวินเซียงเก๋อ ภายในร้านนั้นสะอาดจนไม่มีแม้แต่ไรฝุ่น กำแพงที่ว่างเปล่ามีภาพวาดของนางหลายภาพแขวนอยู่ ทั้งยังมีบทกวีและภาพอักษรเขียนอีกด้วย
“พวกเ้าจัดการหรือ?”
“คุณหนูเวินซี เมื่อวานพวกเราไม่มีอันใดทำจึงทำความสะอาดหมดจด ในเมื่อท่านรับพวกเรามาทำงาน เช่นนั้นมันก็เป็หน้าที่ของเราขอรับ” ขอทานคนหนึ่งเอ่ยนำ
“รายการวัตถุดิบที่ข้าให้ ตอนที่พวกเ้าออกไปซื้อ ซื้อมาให้มากหน่อยนะ”
“ขอรับ คุณหนูเวินซี” ขอทานพากันตอบรับ เมื่อได้รับรายการวัตถุดิบมาแล้วก็ไม่กล้าอยู่ให้เสียเวลา
จากนั้นเวินซีก็นั่งบนเก้าอี้แล้วเริ่มปรุงเครื่องแกงที่้า นางทำเครื่องแกงได้ประมาณยี่สิบชุดแล้วในตอนที่พวกเขากลับมา
ทุกคนเริ่มมีงานยุ่ง ทั้งหั่นผักและแบ่งบรรจุตามคำสั่งของเวินซี และจัดให้ทุกโต๊ะมีเตาไฟเล็กๆ วางอยู่ข้างล่างเพื่อให้ความร้อนแก่หม้อเหล็ก
“คุณหนูเวินซี ้าให้พวกเราไปป่าวประกาศหรือไม่ขอรับ?” มีคนถามขึ้น
สำหรับร้านค้าเปิดใหม่ที่ยังไม่ค่อยมีคนรู้จัก โดยทั่วไปหากไม่ใช้วิธีป่าวประกาศก็จะเรียกลูกค้าได้น้อยมาก
“ไม่ต้องหรอก”
เวินซียิ้มเบาๆ แล้วเดินไปที่ประตูพร้อมกับหม้อไฟชุดหนึ่ง นางนำมันไปอุ่นที่หน้าประตู
กลิ่นของหม้อไฟเป็การเรียกลูกค้าได้ดีที่สุด ไม่นานนักหม้อไฟก็เริ่มเดือด กลิ่นหอมตลบอบอวลไปทั่วท้องถนน ความเร็วในการเดินของผู้คนที่ผ่านไปมาลดลงอย่างเห็นได้ชัด บางคนก็หยุดดู ไม่นานต่างก็พากันล้อมเข้ามา
“หอมมากเลย”
“คือสิ่งใดน่ะ? ทานได้หรือไม่?”
“ไม่รู้สิ ไม่เคยเห็นมาก่อนเลย?”
“เวินเซียงเก๋อ? ที่ตรงนี้มีร้านอาหารมาเปิดั้แ่เมื่อใดกัน?”
......
เสียงสนทนาดังไปถึงหูเวินซี ในขณะที่นางเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ไม่มีผู้ใดปฏิเสธความอร่อยของหม้อไฟได้
“ถามหน่อยสิ นี่ทานได้หรือไม่?”
“ได้เ้าค่ะ ทุกท่านลองทานได้เลยเ้าค่ะ”
เวลานี้อาหารเกือบสุกแล้ว เวินซีกวักมือเรียก เหล่าคนรับใช้ที่อยู่ในร้านจึงช่วยกันยกโต๊ะจากด้านในออกมา มีตะเกียบสองถังวางอยู่ ผู้ที่ยืนรายล้อมก็แย่งกันทันที
“ทุกท่านไม่ต้องเบียดกันเ้าค่ะ”
“หากทุกท่านชอบ สามารถเข้าไปทานที่ร้านได้นะเ้าคะ”
“วันนี้เปิดร้านใหม่ครั้งแรก เรามีส่วนลดให้ทุกท่านเลยเ้าค่ะ”
เวินซีะโอย่างสุดเสียง แต่เสียงของนางก็ถูกกลบด้วยเสียงของผู้คนที่กำลังตื่นเต้นกับสิ่งแปลกใหม่
“อร่อยมาก”
“อย่าเบียดสิ อย่าเบียด ข้ายังทานชิ้นนี้ไม่เสร็จเลย”
“เ้าทานไปเท่าไรแล้ว? ออกมาเดี๋ยวนี้”
“...”
การเรียกลูกค้าด้วยวิธีนี้ได้ผลมาก ไม่นานนักในโถงของร้านก็มีลูกค้านั่งอยู่ทั่วทุกพื้นที่ ทุกคนนั่งล้อมอยู่ด้วยกันและทานอย่างเอร็ดอร่อย ต่างก็ชื่นชมความอร่อยของหม้อไฟไม่ขาดปาก
นี่เป็ภาพที่เวินซีคาดไว้อยู่แล้ว โชคดีที่นางมีคนรับใช้เพียงพอ
“ไม่ทราบว่ามีห้องอาหารส่วนตัวหรือไม่ขอรับ?”
บุรุษที่มาสอบถามที่หน้าร้านผู้นั้นดูมีอายุเพียงสิบหกสิบเจ็ดปี
“มีเ้าค่ะ เชิญที่ชั้นสองเ้าค่ะ” เวินซีเดินนำเข้าไป
จากนั้นนางถึงได้รู้ว่าที่ด้านหลังของบุรุษมีโจวอวี่ชางเดินตามมาด้วย
“น้องสาว” เขาทักทายอย่างเป็มิตร
เวินซีเพียงแค่พยักหน้ารับด้วยสีหน้าไม่คุ้นเคย นางไม่ชอบเขาเลย ถึงอย่างไรเขาก็เป็คนของตระกูลเวิน
“วันนี้ข้ามีธุระ ข้าขึ้นไปก่อนล่ะ วันหลังเราค่อยคุยกัน”
โจวอวี่ชางพูดจบก็เดินขึ้นบันไดไป
เวินซีมองดูโถงที่ครึกครื้น ก่อนจะเดินไปหาหัวหน้าขอทาน “วันนี้มีคนร่ำรวยมามากมาย หากพวกเ้าพบเห็นสิ่งใด อย่าลืมรายงานข้าล่ะ”
“ขอรับคุณหนู”
ในเวลาเดียวกัน ทางด้านของตระกูลเวินที่อยู่ฝั่งตรงข้ามกับร้านหม้อไฟของเวินซี
ทุกคนในตระกูลกำลังมุ่งมั่นคิดค้นเครื่องหอมตัวใหม่ที่จะใช้ในการแข่งขัน แต่ก็ถูกกลิ่นหอมของอาหารรบกวนจนเสียสมาธิ
เวินอวิ๋นโปมองออกไปด้านนอกหน้าต่างก็เห็นว่ามีผู้คนมากมายหลั่งไหลไปที่เวินเซียงเก๋อ จึงเกิดความสงสัย
“ร้านตรงข้ามมีเื่อันใดหรือ? ถึงมีคนมากมายเช่นนั้น”
เขาจำได้ว่าฝั่งตรงข้ามเป็เพียงร้านอาหารที่ซบเซา แล้วนี่มันเกิดอันใดขึ้น เหตุใดกิจการถึงดีขึ้นได้
“กลิ่นหอมจังเ้าค่ะ” เสี่ยวชุ่ยได้กลิ่นหม้อไฟ
“ตั้งใจทำเครื่องหอม อย่าลืมสิว่าเบื้องบนบอกเราว่าอย่างไร” เวินเยียนเอ่ยเตือนให้ทั้งสองคนกลับมามีสติ
“ลูก เราพักกันก่อนแล้วไปดูว่าฝั่งตรงข้ามมีเื่ใดดีหรือไม่” ฮูหยินใหญ่เวินพูดพร้อมกับเสียงท้องร้องที่ดังชัดเจน นางจึงมีสีหน้าอับอาย
สองสามวันนี้พวกเขาอดหลับอดนอนเพื่อทำเครื่องหอม วันนี้แม้แต่อาหารสักมื้อก็ยังไม่ได้ทาน หากมิใช่เพราะเวินอี๋เหนียงตายไป พวกเขาจะต้องลำบากกันเช่นนี้หรือ?
เมื่อคิดถึงเวินอี๋เหนียง ฮูหยินใหญ่เวินก็ลูบหน้าผากด้วยความปวดหัว ไม่คิดเลยว่านางเวินซีจะทำอันใดได้มากมายเช่นนี้ หากรู้แต่แรก นางคงจะบีบคอเด็กคนนั้นให้ตายไปนานแล้ว
“เวินเยียน เ้าไม่ต้องตื่นเต้นไป เรายังมีสูตรเครื่องหอมของเวินอี๋เหนียงอยู่บ้าง หากจำเป็จริงๆ เราไม่ต้องเก็บมันไว้หรอก” เวินอวิ๋นโปเอ่ยปาก ทว่าตอนนี้กลิ่นหอมของอาหารก็แทบจะอบอวลไปทั่วห้องของพวกเขาแล้ว
เวินเยียนได้ยินดังนั้นก็ใจอ่อน บวกกับกลิ่นหอมที่เข้ามารบกวนจนทนไม่ไหว นางจึงวางของที่ทำอยู่ในมือลง
จากนั้นทั้งครอบครัวก็พากันเดินไปที่ร้านฝั่งตรงข้าม
“จะทานที่โถงหรือห้องอาหารส่วนตัวขอรับ?” ขอทานที่ทำงานในโรงเตี๊ยมถามพวกเขาที่หน้าร้านเวินเซียงเก๋อ
“ห้องอาหารส่วนตัว” เวินเยียนมองผู้ที่ส่งเสียงดังในโถงก็ขมวดคิ้ว
“กี่ท่านขอรับ เชิญตามข้ามาขอรับ” ขอทานนำทางไปด้วยความเคารพ
ทั้งครอบครัวจึงเดินตามไปยังห้องอาหารส่วนตัว แต่ในยามนี้ร้านต้องซื้อวัตถุดิบเพื่อทำอาหารเพิ่ม จึงต้องใช้เวลาสักพักกว่าจะยกอาหารมาให้
“คนเยอะจริงๆ ตอนที่ตระกูลเวินรุ่งเรืองมากยังไม่มีลูกค้าขนาดนี้เลย” เวินอวิ๋นโปเอ่ยชม แต่ถึงอย่างไรเครื่องหอมก็ผลิตออกมาเพื่อสตรี จึงไม่มีลูกค้าที่เป็บุรุษ
“เถ้าแก่ที่นี่ก็น่าสนใจ อยากจะเจอสักหน่อยจริงๆ”
“ท่านพ่อ ทานเสร็จแล้วเรารีบกลับเถิดเ้าค่ะ พวกเราอยู่นานมิได้นะเ้าคะ” ในหัวของเวินเยียนเต็มไปด้วยเื่เครื่องหอมที่ยังทำไม่เสร็จ
“รู้แล้ว ่นี้ลำบากเ้าแล้วนะ”
“เพื่อตระกูลเวินแล้ว เหนื่อยอย่างไรก็คุ้มค่าเ้าค่ะ”
ทั้งครอบครัวใช้เวลาสนทนากันอยู่พักหนึ่ง เมื่อเวลาผ่านไป ประตูห้องก็ถูกเปิดออก เหล่าขอทานนำอาหารมาวางบนโต๊ะ โดยผู้ที่เข้ามาในตอนท้ายคือเวินซีที่กำลังยกหม้อไฟ นางได้ยินเสียงที่คุ้นเคย เมื่อเงยหน้าขึ้นก็สบตาเข้ากับผู้คนตระกูลเวิน
พวกเขามาที่นี่ได้อย่างไร?
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้