ผู้เข้าสอบผู้นี้มองผิวเผินดูเป็คนซื่อตรง แต่งตัวมอซอ มองปราดเดียวก็รู้ถึงสถานการณ์ทางบ้านแล้วว่าไม่ค่อยมีกินมีใช้
เมื่อถูกเมิ่งไหวจิ่นระบุตัว สายตาของฝูงชนก็ตกไปอยู่บนร่างของเขา สีหน้าของผู้เข้าสอบก็เปลี่ยนไปอย่างมาก
“ศิษย์… ศิษย์พี่เมิ่ง ถึงแม้เ้าจะเป็ต้นแบบของบัณฑิตจากครอบครัวยากจน แต่ก็ไม่ควรใส่ร้ายผู้บริสุทธิ์เช่นนี้! เ้าเองก็มาจากครอบครัวยากจน เหตุใดจึงไม่รู้ถึงความยากลำบากของครอบครัวยากจนในการเข้าศึกษา เหตุได้ถึงได้…”
ผู้เข้าสอบผู้นั้นยิ่งเอ่ยก็ยิ่งเศร้าโศก จึงร้องไห้ออกมาอย่างขมขื่น มองไปแล้วช่างน่าสงสารยิ่งนัก
เสื้อผ้าบนตัวแม้ไม่ได้ปะชุน แต่ก็ซักฟอกจนขาว สำเนียงที่พูดก็ไม่ใช่สำเนียงทางการแต่เป็สำเนียงท้องถิ่นหนานอี๋ บัณฑิตตกยากที่ทั้งหยาบกระด้างและซื่อตรงผู้หนึ่ง มิใช่ว่าเมิ่งไหวจิ่นสุ่มชี้ตัวคนซื่อตรงผู้หนึ่งหรอกกระมัง?
แววตาของฝูงชนแฝงความเวทนา สีหน้าของเมิ่งไหวจิ่นกลับเ็า
“แม้จะรู้ว่าทางบ้านยากจนเข้าศึกษาได้ลำบาก ก็ยิ่งควรแน่วแน่ทุกย่างก้าว เ้าเข้าเรียนลำบาก ผู้อื่นก็มิได้ง่ายนัก!”
ยังคงมีความสงสัยอยู่ภายในแววตาฝูงชน เฉิงชิงจึงรีบเอ่ยเสริมให้เมิ่งไหวจิ่น
“ศิษย์พี่ ท่านทราบได้อย่างไรว่าข้ากับผู้เข้าสอบผู้นี้ไม่เคยพบกันมาก่อน ไม่ทราบว่าท่านตัดสินได้อย่างไรว่าเขาคือผู้ที่โยนก้อนกระดาษ?”
สีหน้าของเมิ่งไหวจิ่นนิ่งลุ่มลึกดุจสายน้ำ “กระดาษข้อสอบของการสอบเข้าสถานศึกษาไม่มีทางรั่วไหลได้ ดังนั้นคำตอบที่โยนให้เ้าก็คือของที่เขียน ณ ที่นั้น ยามนั้นทั้งลานมีเพียงผู้เข้าสอบอย่างพวกเ้ากับอาจารย์หวงอยู่ภายใน ทว่า ลายมือบนกระดาษกลับไม่เหมือนลายมือของพวกเ้าเลยสักคน นี่แสดงว่าผู้ที่เขียนคำตอบต้องจงใจปกปิดเป็แน่”
“เขียนด้วยมือซ้าย?”
เฉิงชิงนึกขึ้นมาได้ มีคนส่วนหนึ่งที่เกิดมาถนัดซ้าย ไม่เพียงใช้มือซ้ายเขียนอักษรเท่านั้น ในชีวิตประจำวันก็ล้วนแล้วแต่ใช้มือซ้ายทำเื่ต่างๆ
“มิผิด!”
เมิ่งไหวจิ่นชี้ไปยังแขนเสื้อของผู้เข้าสอบตกยากผู้นั้น
“ในบรรดาผู้เข้าสอบมากมายมีเพียงแขนเสื้อด้านซ้ายของเ้าเท่านั้นที่เปื้อนรอยหมึก หากอาศัยเพียงข้อนี้เป็หลักฐานแล้วข้าเรียกให้เ้าใช้มือซ้ายเขียนอักษรเพื่อตรวจสอบยืนยัน นั่นก็จะเป็การอคติและดูถูกบัณฑิตผู้ยากไร้เกินไป ดังนั้นข้าจึงให้พวกเ้าทำข้อสอบติดต่อกัน ข้าไม่เพียง้าดูว่าผู้ใดร้อนตัวจนข่มอารมณ์ไม่อยู่ ยัง้าฉวยโอกาสนี้สังเกตพวกเ้า เพื่อเข้าร่วมการสอบเข้ารับราชการ ผู้ที่ถนัดมือซ้ายย่อมถูกแก้ไขให้ถูกต้อง หากมือขวาของเ้าอ่อนล้าแล้ว ก็จะคิดเปลี่ยนมาใช้มือซ้ายอย่างไม่รู้ตัว เมื่อจิตใต้สำนึกของเ้าคิดอยากเปลี่ยนมือหลายครั้งเข้า ก็จะยิ่งวิตกขึ้นเรื่อยๆ จนฝืนทำต่อไปไม่ไหว ข้าจากเดิมที่มั่นใจอยู่ห้าส่วนก็เปลี่ยนมาเป็แปดส่วน”
ผู้เข้าสอบตกยากหลั่งเหงื่อดุจหยาดฝน
ในห้องเรียน ศิษย์ที่เหม่อลอยมักจะคิดว่าตนปกปิดแเีแล้ว แต่กลับไม่รู้ว่าสายตาของอาจารย์ที่ยืนสอนอยู่เมื่อมองจากบนลงล่างก็สามารถเห็นการกระทำลับหลังทั้งหมดนั้นได้
ผู้อื่นไม่มีทางสับเปลี่ยนมือที่เขียนพู่กันไปมา ด้วยกลัวว่าน้ำหมึกจะหยดลงกระดาษข้อสอบ มีเพียงผู้เข้าสอบผู้นี้… พอคนผู้นี้ข่มอารมณ์ไม่อยู่และโยนพู่กันทิ้งการสอบพร้อมกับผู้เข้าสอบคนอื่นๆ เมิ่งไหวจิ่นที่มั่นใจแปดส่วนก็เปลี่ยนมาเป็สิบส่วน เขาเข้าใจการเป็บัณฑิตตกยากอย่างยิ่ง
บัณฑิตตกยาก้าที่จะหลุดพ้นจากสภาพความเป็อยู่ที่เลวร้ายนั้นไม่ง่ายนัก จึงต้องทะนุถนอมทุกโอกาส ผู้อื่นไม่ได้สอบเข้าสถานศึกษาหนานอี๋ก็ยังคงมีหนทางอื่นให้หลุดพ้น เดิมการเป็บัณฑิตตกยากก็มีหนทางน้อยนิดอยู่แล้ว เหตุใดถึงได้ทิ้งพู่กันตามอำเภอใจไปกับผู้เข้าสอบที่ส่งเสียงโหวกเหวกพวกนั้นเล่า?
หากมีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้นย่อมมีเงื่อนงำ
ทำเื่ผิดจนร้อนตัว ย่อมแทบจะอยากให้การสอบครั้งนี้สิ้นสุดโดยเร็ว แล้วไปให้ห่างสถานศึกษาหนานอี๋จึงจะรู้สึกปลอดภัย
ความสามารถในการมองเห็นเื่ราวจนทะลุปรุโปร่งของเมิ่งไหวจิ่นช่างน่าใ บอกเล่าการวิเคราะห์ของตนเองต่อธารกำนัล ผู้เข้าสอบคนนั้นจากที่สงบเสงี่ยมจนสามารถเรียกความสงสาร ใบหน้าแปรเปลี่ยนกลายเป็เผยความหวาดกลัว ผู้คน ณ ที่นั้นขอเพียงดวงตาไม่มืดบอดก็สามารถมองออกว่าที่เมิ่งไหวจิ่นกล่าวมานั้นถูกต้อง!
บัณฑิตตกยากยังคงคิดจะดิ้นรน “ข้า ข้าเพียง อากาศร้อนเกินไป จิตใจจึงกระสับกระส่าย ถึงเปลี่ยนพู่กัน…”
“ตัวตรงไม่หวั่นเงาเอียงเอน [1] เมื่อเป็เช่นนี้ ดูท่าว่าเ้าก็คงไม่รังเกียจที่จะรอในสถานศึกษาสักครู่ ข้าจะให้คนพาอาจารย์คนแรกของเ้ามาขอคำยืนยันว่า แต่ไหนแต่ไรมาเ้าถนัดใช้มือซ้ายเขียนอักษรใช่หรือไม่ จากนั้นก็เอางานในคาบเรียนยามปกติของเ้ามาเปรียบเทียบ หากผู้แซ่เมิ่งปรักปรำผิดคน ไม่เพียงจะขออภัยเ้าต่อหน้าผู้คน อีกทั้งยังจะแนะนำให้เ้าสามารถเข้าเรียนที่สถานศึกษาหนานอี๋ได้โดยไม่ต้องสอบ!”
เมิ่งไหวจิ่นถึงขนาดให้คำมั่นเช่นนี้
ไม่มีใครที่รู้สึกว่าเมิ่งไหวจิ่นรังแกคนซื่อตรงอีก พวกเขาเองก็อยากถูกเมิ่งไหวจิ่น ‘รังแก’ เช่นนี้บ้าง เ้าอ้วนน้อยที่แต่งกายหรูหราก็ยิ่งอิจฉาถึงขนาดพึมพำกับตนเอง “ห้องเรียนลำดับที่หนึ่งมีศิษย์พี่ที่ได้วุฒิจวี่เหริน จะแนะนำคนผู้หนึ่งให้เข้าเรียนได้เลยโดยไม่ต้องสอบก็ย่อมสามารถทำได้ การจำกัดจำนวนอันล้ำค่าเช่นนี้ถึงขนาด้ามอบให้เ้าคนชั้นต่ำเช่นนี้…”
ศิษย์พี่เมิ่ง ทำไมท่านจึงไม่ปรักปรำข้าเล่า?
สีหน้าของเ้าอ้วนน้อยแสดงได้ออกนอกหน้านอกตาเกินไปแล้ว เฉิงชิงอดหัวเราะไม่ได้
เจี้ยหยวนขออภัยต่อหน้าผู้คน ทั้งยังจะแนะนำให้เข้าศึกษา ถึงแม้จะเสียหน้าไปบ้างแต่ก็ถือว่าได้ความจริงใจมาทดแทน หากไม่ได้ทำเื่ผิดจนร้อนตัว ยามนี้ย่อมต้องตื่นเต้น แต่บนใบหน้าของบัณฑิตตกยากผู้นั้นกลับมีเพียงความหวาดกลัว
การเล่นาประสาทของเมิ่งไหวจิ่นเป็ไปด้วยดี เฉิงชิงชื่นชมเป็อย่างมาก
ในสถานที่เล็กๆ อย่างอำเภอหนานอี๋ก็มีผู้คนเช่นนี้ด้วย เฉิงชิงไม่กล้าดูถูกคนยุคโบราณอีกต่อไป พวกเขาไม่เข้าใจเทคโนโลยีของศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ด แต่เข้าใจจิตใจมนุษย์อย่างมาก หากนางใช้ชีวิตในแคว้นเว่ยด้วยความรู้สึกเหนือกว่า ไม่ช้าก็เร็วคงคว้าน้ำเหลว
ผู้เข้าสอบผู้นั้นแบกรับความกดดันไม่ไหว แข้งขาอ่อนแรง ร้องไห้สะอึกสะอื้น
“ข้า ข้าถูกผีดลใจไปชั่วขณะ จึงรับเงินของเฉิงชิง ถึงได้กล้าเสี่ยงส่งคำตอบในสนามสอบ ข้าผิดไปแล้ว ข้าผิดไปแล้ว!”
อะไรนะ!
เป็เช่นนี้แล้วยังไม่ลืมที่จะลากนางลงน้ำไปด้วย?
เฉิงชิงโกรธจริงๆ แล้ว “ข้ากับเ้าเป็คนแปลกหน้ากัน เคยให้เงินเ้าตอนไหนกัน? ศิษย์พี่เมิ่งกล่าวว่าข้ามีระดับความรู้พอที่จะสอบผ่านเข้าศึกษาในสถานศึกษาอยู่แล้ว ไม่จำเป็ต้องทุจริต เกรงว่าผู้คนในอำเภอหนานอี๋กว่าครึ่งจะรู้ถึงสถานการณ์ของบ้านข้า พวกข้าซึ่งเป็แม่หม้ายบุตรกำพร้าต้องพึ่งพาการส่งเสียจากภายในตระกูล ย่อมมิอาจมีเงินเหลือพอจะซื้อตัวคนเช่นเ้าได้… หากเ้ายังคงตั้งมั่นที่จะปรักปรำข้า ข้าก็ไม่ขัดข้องที่จะไปเผชิญหน้าท่านนายอำเภอ ณ ที่ว่าการอำเภอ ข้าพบเ้าเมื่อใดและให้เงินเ้าเท่าไร เวลาสถานที่ เ้าต้องพูดออกมาให้สอดคล้องกับคำให้การก่อนหน้านี้!”
ผู้เข้าสอบกล่าวอ้อมแอ้ม “เ้าเป็นายน้อยตระกูลใหญ่ ย่อมมีบ่าวมาออกหน้าแทนเ้าเป็ธรรมดา”
“พอได้แล้ว”
นายท่านห้าเฉิงที่เงียบมาตลอดพลันเอ่ยปากตำหนิ
“ถึงแม้เฉิงชิงจะเป็บุตรหลานตระกูลเฉิงแห่งหนานอี๋ของข้า แต่บ้านก็ตกต่ำลง ภายในบ้านมีเพียงเขาเท่านั้นที่เป็บุรุษ ต้องรับผิดชอบดูแลครอบครัวเพียงผู้เดียว ไม่อาจจ้างบ่าวไพร่มาช่วยได้ เ้าถูกจับได้ว่าทุจริตแล้วยังจะลากผู้บริสุทธิ์ไปพัวพัน วาจามีแต่คำลวง ศีลธรรมต่ำตม สถานศึกษาหนานอี๋มิอาจทนรับเ้าไว้ได้ บัณฑิตแห่งอำเภอหนานอี๋ก็อับอายที่จะคบค้าสมาคมกับเ้า! ทุจริตในระหว่างการสอบเข้าสถานศึกษา มีสถานศึกษาเป็ผู้รับผิดชอบ แต่ใส่ร้ายป้ายสีผู้อื่นต้องให้ส่วนราชการเป็ผู้รับผิดชอบ เ้าอยากจะถูกส่งตัวไปรับโทษที่ส่วนราชการหรือ?”
ยามนี้ไม่ซื่อสัตย์ พอถูกส่งไปที่ว่าการอำเภอ ถูกแผ่นไม้เฆี่ยนตีก็จะสารภาพอย่างซื่อสัตย์แล้ว
ขนาดอยู่ที่สถานศึกษาหนานอี๋ยังมีผู้มาใส่ร้ายป้ายสีบุตรหลานตระกูลเฉิงต่อหน้าเขา นายท่านห้าเฉิงย่อมโกรธเกรี้ยวเป็ธรรมดา
เมื่อยามเฝ้าสถานศึกษาฟังคำสั่งของนายท่านห้าเฉิงว่าต้องจับตัวผู้เข้าสอบผู้นี้ไปส่งที่ว่าการอำเภอ ตัวคนก็ใจนเนื้อตัวอ่อนแรง ก้มหัวขอขมา
“ข้าพูด ข้าพูดแล้ว! มีคนเอาเงินมาให้ข้าก้อนใหญ่ ้าให้ข้าขัดขวางไม่ให้เฉิงชิงสอบผ่านเข้าสถานศึกษาหนานอี๋ได้ และต้องทำลายชื่อเสียงของเขา ให้เขาไร้หนทางสอบเข้ารับราชการ… ข้าคิดจะสอบเข้าสถานศึกษามาตั้งนานแล้วแต่หาเงินได้ไม่พอจ่ายค่าเล่าเรียน จึงเสี่ยงเพราะเข้าตาจนรับเงินของอีกฝ่ายมา ละเว้นข้าสักครั้งเถิด ข้ารู้ว่าข้าผิดไปแล้วจริงๆ!”
อะไรนะ!
ฝูงชน ณ ที่นั้นไม่คิดไม่ฝันว่าจะได้ยินข้อมูลที่ชวนใเช่นนี้
ทุกคนอดไม่ได้ที่จะวิเคราะห์ เฉิงชิงใบหน้าซีดเหลืองราวเทียนไข ร่างกายเล็กแกร็น ไปทำเื่อะไรที่ทำให้คนโกรธแค้นมากันแน่ ถึงได้นำพาเคราะห์กรรมครั้งนี้มา
มีผู้้าขัดขวางหนทางการสอบเข้ารับราชการของเฉิงชิง ผู้เข้าสอบทั้งหมดต่างรู้สึกหนาวสันหลังไปตามๆ กัน
ทำเช่นนี้แม้ไม่ได้ทำร้ายเอาชีวิตของเฉิงชิง แต่ก็ทำลายอนาคตของเขา แตกต่างกับการฆ่าคนที่ใดกัน?
เฉิงชิงหัวเราะเยาะตัวเองอย่างขมขื่น
“ขนาดข้าไม่มีวุฒิใดๆ ก็ยังมีคนให้เกียรติข้าเช่นนี้ แม้แต่ตัวข้าเองยังใแทบตายแล้ว!”
[1] ตัวตรงไม่หวั่นเงาเอียงเอน หมายถึงหากไม่ได้ทำผิดก็ไม่ต้องหวาดกลัวสิ่งใด
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้