อยู่มายี่สิบปี เฝิงเจี่ยนไม่เคยตกอยู่ในสภาพอเนจอนาถเช่นนี้มาก่อน เขาคิดจะยื่นมือไปเช็ดน้ำตา ทำลายหลักฐานความโง่เง่าของตนเอง แต่ก็นึกขึ้นได้ว่าไม่มีประโยชน์ สุดท้ายจึงไปหาอ่างน้ำล้างหน้าแทน
ครั้นหันกลับไปมองลู่เสี่ยวหมี่ที่กำลังหัวร่องอหาย เขารู้สึกอยากเอาคืนแบบเด็กๆ ขึ้นมาอย่างนานทีมีหน เขาใช้มือปาดแก้มของตนเองเสร็จแล้วจึงไปป้ายใบหน้าของเสี่ยวหมี่ต่อ
เสี่ยวหมี่คิดไม่ถึงว่าตนเองที่หัวเราะผู้อื่นอยู่ดีๆ จะถูกเอาคืนเช่นนี้ฟ
นางรีบยกมือขึ้นเช็ดแต่ยิ่งเช็ดก็ยิ่งสกปรก เดิมทีเป็เขม่าดำแค่ที่แก้ม ตอนนี้กลับดำไปเกือบทั้งหน้า
“ฮ่าฮ่า” เฝิงเจี่ยนทนไม่ไหวหัวเราะออกมา
เสี่ยวหมี่โกรธจนกระทืบเท้า แต่ครั้นเงยหน้ามองเฝิงเจี่ยน ก็หัวเราะออกมาอีกครั้ง
ในห้องครัวขนาดเล็กมีคนหน้าดำสองคนยืนอยู่แต่กลับไม่ได้ดูมืดครึ้มน่ากลัว เสียงหัวเราะที่ลอยออกมากลับทำให้ทั่วทั้งห้องสดใส
ฤดูใบไม้ผลิใกล้เข้ามาเรื่อยๆ...
พี่รองลู่วิ่งกลับเข้ามาในบ้านด้วยสีหน้าเหนื่อยล้า ได้ยินเสียงจึงวิ่งมาที่ห้องครัว “น้องสาว ไม่ต้องเตรียมอาหารเช้าแล้ว ทุกคนกลับไป...”
พูดออกมาได้ครึ่งหนึ่งก็ต้องใเพราะใบหน้าของเฝิงเจี่ยนและเสี่ยวหมี่ สุดท้ายก็ะเิเสียงหัวเราะออกมา
“ฮ่าฮ่า ขำจะตายแล้ว เกิดอะไรขึ้นกับพวกเ้า เข้าไปคลุกในเตาไฟมาหรือ?”
ถูกคนพบเห็นเข้าในสภาพน่าสมเพชเช่นนี้ ทำเอาลู่เสี่ยวหมี่เขินอายหน้าแดง ยังดีที่ตอนนี้หน้าเปื้อนเขม่าจึงดูไม่ออก
นางรีบตักน้ำอุ่นใส่กะละมัง เร่งรัดให้เฝิงเจี่ยนรีบล้างหน้า จากนั้นตั้งใจล้างหน้าล้างตาของตัวเอง แล้วถึงได้เงยหน้าถามพี่รองลู่ “ทุกคนไปกันหมดแล้วหรือ เหตุใดท่านไม่รั้งไว้เล่า หนาวกันมาทั้งคืน อย่างน้อยก็ต้องกินโจ๊กสักถ้วยแล้วค่อยไปสิ”
“ข้าจะรั้งไว้ได้อย่างไร เ้านั่นแหละ เหตุใดถึงตกอยู่ในสภาพนั้นได้?”
พี่รองลู่เป็คนไม่มีความคิดลึกซึ้ง เขาไม่ััถึงบรรยากาศแปลกๆ ระหว่างคนทั้งสอง เพียงสงสัยว่าคนทั้งสองเจออะไรมากันแน่?
เสี่ยวหมี่กัดฟัน กล่าวว่า “เพราะฟืนชื้นเกินไป เตาไฟก็เลยะเิควันออกมา อีกเดี๋ยวท่านเข้าเมือง เมื่อกลับมาแล้ว ท่านอย่าลืมไปทำความสะอาดปล่องควันด้วย”
ในที่สุดพี่รองลู่ก็เข้าใจแล้ว เขาหัวเราะขบขันพลางวิ่งออกไปเตรียมรถ เสี่ยวหมี่ไล่ตามไปที่ประตูกำชับให้เขาเก็บเป็ความลับ ไม่รู้ว่าเขาจะฟังเข้าใจหรือไม่...
ร้านอาภรณ์เฉินจี้ คือร้านที่ครั้งก่อนลู่เสี่ยวหมี่มาซื้อผ้าทะเลไป ไม่รู้ว่าร้านนี้มีใครอยู่เื้ั ถึงได้ทำเลที่ดีที่สุดบนถนนการค้าไปครอง
ก่อนหน้านี้ลู่เสี่ยวหมี่เองก็สงสัยที่มาที่ไปของเถ้าแก่เฉินผู้นี้ แต่เมื่อเห็นว่าเขาไม่คิดร้ายต่อสกุลลู่ หากนางตั้งใจขุดคุ้ยเื่ของผู้อื่นมากไปจะไม่เป็การดี
ครั้งนี้ที่จะนำผักเข้ามาขาย นางขบคิดอยู่นาน สุดท้ายก็ตัดสินใจแวะร้านอาภรณ์เฉินจี้ก่อน เผื่อจะได้ซื้อผ้าและฝ้ายจำนวนหนึ่งกลับไปเพิ่ม
เมื่อคืนนี้คนในหมู่บ้านเสียสละเสื้อคลุมและผ้าห่มบ้านตัวเองมาให้พวกนาง ดูแล้วยังต้องอีกสองสามวันกว่าหิมะจะละลาย ถึงตอนนั้น จะปล่อยให้ผู้อื่นนำผ้าห่มเสื้อคลุมที่เลอะดินเปียกหิมะไปใช้ต่อก็คงไม่ได้
ไม่สู้เก็บเอาไว้คลุมเพิงผักเช่นนี้แหละ ส่วนนางจะมอบผ้าและฝ้ายจำนวนหนึ่งให้ทุกบ้าน ให้พวกผู้หญิงเย็บปักกันเอง นับว่าเป็การชดเชยเล็กๆ น้อยๆ จากสกุลลู่
ฤดูใบไม้ผลิใกล้จะมาถึงแล้ว ถึงแม้อากาศจะยังเย็นอยู่มาก ทุกหนทุกแห่งยังมีสีขาวปกคลุมไร้ซึ่งสีเขียวขจี แต่บรรดาสตรีที่รักสวยรักงามมาแต่กำเนิดต่างอดใจกันไม่ไหวอีกต่อไป พากันเดินขวักไขว่เต็มถนนเลือกซื้อเสื้อผ้าอาภรณ์เครื่องประดับและผงชาดแป้งร่ำ
วันนี้บนถนนจึงครึกครื้นเสียยิ่งกว่า่ล่าเยว่เสียอีก
เถ้าแก่เฉินสวมอาภรณ์สีเทาเข้มเนื้อผ้าปักลายดอกไม้เล็กๆ ยังคงยิ้มแย้มสนทนากับลูกค้าเช่นเดิม ไม่ว่าลูกค้าจะจัดการยากเพียงใด รอยยิ้มบนใบหน้าเขาก็ไม่จางลงไปเลย เป็รอยยิ้มงดงามและเต็มใจให้บริการอย่างแท้จริง
ครั้นเห็นว่าลู่อู่และลู่เสี่ยวหมี่เดินเข้าร้านมาพร้อมกัน รอยยิ้มบนใบหน้าของเถ้าแก่เฉินก็ยิ่งสดใสขึ้นไปอีก เขาเรียกเด็กรับใช้ให้มาเชิญสองพี่น้องไปนั่งรอที่หลังร้านสักครู่ ส่วนมือก็รีบเลือกผ้าให้ลูกค้าตรงหน้าอย่างรวดเร็ว
เสี่ยวหมี่ดื่มชาไปแค่ครึ่งถ้วย เถ้าแก่เฉินก็รีบร้อนเดินเข้ามา ประสานมือคารวะมาแต่ไกล “แหมๆ ละเลยแม่นางลู่แล้ว”
“เถ้าแก่เฉินเกรงใจแล้ว พวกเราคนกันเอง รอนานสักหน่อยไม่เป็ไรหรอกเ้าค่ะ อย่าละเลยลูกค้าคนอื่นเพราะข้าเลย”
เสี่ยวหมี่เข้าอกเข้าใจผู้อื่น พูดปลอบใจเถ้าแก่เฉิน เขารีบถามขึ้นว่า “แม่นางลู่ที่บ้านคงยุ่งมากกระมังขอรับ วันนี้มาเยี่ยมเยียนร้านเล็กๆ ของข้าด้วยเื่ใดกันขอรับ”
“ไม่มีเื่ใหญ่อะไรหรอกเ้าค่ะ แค่ที่บ้าน้าผ้าฝ้ายและฝ้ายจำนวนหนึ่งนำไปทำผ้าห่ม จึงต้องลำบากเถ้าแก่เฉินแล้ว”
เถ้าแก่เฉินได้ยินเสียงเงินดังมาแต่ไกล รีบดันจานของว่างเข้าใกล้ลู่เสี่ยวหมี่อีกนิด “ขอบคุณแม่นางลู่ที่คิดถึงร้านเล็กๆ ของข้า นี่คือของว่างที่เพิ่งซื้อมาใหม่เมื่อเช้านี้ ท่านลองชิมดู พวกเรากินไปพลางสนทนากันไปพลางเถิดขอรับ”
ลู่เสี่ยวหมี่หยิบขนมดอกท้อขึ้นมาชิม คลี่ยิ้มพลางบอกจำนวนของที่้าไป
เถ้าแก่ลู่ได้ยินก็แย้มยิ้มไปถึงดวงตา ขบคิดครู่หนึ่งแล้วกล่าวว่า “หากแม่นางลู่คิดจะทำผ้าห่มใช้ในบ้าน ฝ้ายย่อมต้องเป็ฝ้ายชั้นดี แต่สำหรับผ้าคงไม่ต้องเข้มงวดมากกระมัง? ในคลังของร้านข้ายังมีผ้าฝ้ายเก่าเก็บของปีก่อนอยู่ เอามาใช้ทำผ้าห่มเหมาะยิ่งนัก แม่นางลู่ลองไปดูก่อนดีหรือไม่ขอรับ? หากเห็นแล้วไม่พอใจ ข้าค่อยเลือกหาแบบใหม่ๆ มาให้ท่าน”
“ได้ ลำบากเถ้าแก่แล้วเ้าค่ะ”
เถ้าแก่เฉินเรียกเด็กรับใช้ เพียงไม่นานพวกเขาก็ยกผ้าฝ้ายมาสี่ห้าพับ เสี่ยวหมี่ยกมือขึ้นลูบเบาๆ ผ้าพวกนี้หนาแต่ไม่แข็ง ถึงแม้สีสันและลวดลายจะไม่เป็ที่นิยมแล้ว แต่ก็นับว่างดงาม ซื้อไปมอบให้คนในหมู่บ้านทำผ้าห่มก็นับว่าดีพอ
“ได้ เถ้าแก่เฉิน ข้า้าผ้าฝ้ายเช่นนี้ลายละสองผืน บวกกับผ้าฝ้ายสีงาช้างอีกแปดผืน ฝ้ายอีกร้อยจิน”
“ได้ ได้ แม่นางลู่รับเอาผ้าเก่าจากร้านข้าไปนับว่าเป็การช่วยข้าอย่างมาก ข้าคิดแค่ราคาทุนเท่านั้นพอขอรับ”
“ขอบคุณเถ้าแก่เฉินมากเ้าค่ะ”
ลู่เสี่ยวหมี่แย้มยิ้มขอบคุณ หันไปบอกให้ลู่อู่ส่งตะกร้าหนึ่งในสองใบมา
“เถ้าแก่เฉิน ก่อนหน้านี้ข้าหาซื้อผ้าทะเลได้จากร้านท่าน เมื่อนำกลับไปแล้วได้เอาไปใช้ทำงานใหญ่จริงๆ นี่คือผักสดชุดใหม่จากสวนบ้านข้า ให้ท่านลองชิมดูเ้าค่ะ”
“ผักสด?” เถ้าแก่เฉินกับเด็กรับใช้สองคนที่เตรียมจะก้าวออกไป เมื่อได้ยินประโยคนี้ก็หันมามองลู่เสี่ยวหมี่เป็ตาเดียวว่านางพูดผิดหรือไม่
ลู่เสี่ยวหมี่ยิ้มอย่างมีลับลมคมใน นางไม่อธิบาย เพียงเลิกผ้าที่คลุมตะกร้าออก
ด้านในตะกร้าหวายเล็กๆ มีผักอยู่สี่ชนิด ต้นหอม ผักโขม ผักกาดขาวและผักชี
ผักสี่ชนิดรูปลักษณ์ต่างกันแต่มีอย่างหนึ่งที่เหมือนกันคือสีสัน
สีเขียวมรกตเช่นนั้น เมื่อถูกแสงแดดนอกหน้าต่างส่องกระทบ ยิ่งดูสดใสเปล่งประกายกว่าความเป็จริง...
เถ้าแก่เฉินและบ่าวทั้งสองเห็นแล้วถึงกับสูดลมหายใจเข้าลึก ร้านทั้งร้านราวกับจะสดใสขึ้นมาเพราะผักน้อยๆ สี่อย่างนี้
“นี่...เพิ่งจะเดือนหนึ่งเท่านั้น ท่านเอาผักสดพวกนี้มาจากไหน?”
เถ้าแก่เฉินคิดจะยื่นมืออกไปจับผักต้นน้อยตรงหน้า แต่จู่ๆ ก็คิดขึ้นได้ว่าเป็การเสียมารยาทเกินไป จึงหันไปมองลู่เสี่ยวหมี่อย่างตื่นตะลึง
ลู่เสี่ยวหมี่จึงตัดสินใจเด็ดออกมาใส่มือเถ้าแก่เฉิน “เถ้าแก่ลองชิมดู ข้าใช้เวลานานมากทีเดียวกว่าจะปลูกได้สำเร็จ นี่เป็ครั้งแรกที่เอามาให้ผู้อื่นได้เห็น ออกจากร้านท่านไปแล้ว ข้าว่าจะไปเสาะหาลูกค้าตามโรงเตี๊ยมต่างๆ”
เถ้าแก่เฉินโยนผักใบเขียวใส่ปากแล้วเคี้ยว รสชาติอันคุ้นเคยที่ห่างหายไปนานทำเอาเขาตื่นเต้นไม่น้อย
“น่าเหลือเชื่อจริงๆ ในฤดูกาลเช่นนี้ เกรงว่าแม้แต่ฝ่าาคงไม่อาจได้เสวยผักสดเช่นนี้เป็แน่ แม่นางลู่ท่านช่าง...ร้ายกาจยิ่งนัก”
เสี่ยวหมี่ได้ยินเช่นนี้ก็ภาคภูมิใจอย่างยิ่ง แต่ใบหน้าไม่ปรากฏรอยยิ้มแม้แต่น้อย ทั้งยังทำท่าทีเหมือนรีบร้อนจะจากไปเสียด้วย
“ในเมื่อเถ้าแก่เฉินชอบ วันหน้าข้าเข้าเมืองมาแล้วจะนำมาฝากท่านอีกนะเ้าคะ อีกไม่กี่วันคาดว่าแตงกวา มะเขือม่วง และถั่วลันเตาที่บ้านข้าก็น่าจะเด็ดได้แล้ว ข้าขอตัวก่อน รบกวนเถ้าแก่เฉินช่วยรีบเตรียมผ้ากับฝ้ายและคิดเงินด้วยเ้าค่ะ”
“แหมๆ แม่นางลู่อย่าเพิ่งรีบร้อน”
ดวงตาทั้งคู่ของเถ้าแก่เฉินเปล่งประกายแวววาว แทบจะลวกผักในตะกร้าจนสุกเสียแล้ว นี่เรียกว่าตะกร้าผักที่ไหนกันเล่า นี่มันตะกร้าสมบัติชัดๆ หากว่าบริหารให้ดีการค้านี้คงได้กำไรดีกว่าขายผ้าเป็ร้อยพับ
“คือว่านะ...แม่นางลู่ จะว่าไปข้าผู้นี้ก็อายุห้าสิบกว่าปีเข้าไปแล้ว เห็นแม่นางลู่เป็เหมือนลูกหลานในบ้านข้า ข้าขอพูดอะไรสักสองสามประโยค” เถ้าแก่เฉินแอบถูมืออยู่ในแขนเสื้อ ยิ้มแย้มอย่างมีเมตตายิ่งกว่าเดิม “โรงเตี๊ยมทุกแห่งในเมืองนี้เื้ัล้วนมีตระกูลใหญ่ๆ อยู่ทั้งสิ้น บ้างก็เป็ถึงญาติของท่านเ้าเมือง ผักสดนี่ถือเป็ของแปลกในหน้านี้ หากเอาไปขายให้พวกเขาโต้งๆ ไม่เพียงแต่จะเจรจาไม่สำเร็จ แต่อาจจะถูกหลอกลวงและแย่งชิงไปก็เป็ได้”
“ถูกหลอกลวงและแย่งชิง?” ไม่รอให้ลู่เสี่ยวหมี่พูดอะไร พี่รองลู่ก็เข้าใจทันที “เถ้าแก่หมายความว่า มีคนคิดจะแย่งพืชผักของเรา ใครกล้า? ข้าจะตีหัวมันให้แหลกละเอียด”
พี่รองลู่ไม่กินของว่างแล้ว ทุบโต๊ะเสียงดังทันที ทำเอากาน้ำชาสั่นะเื ก่อนจะกลิ้งหลุนๆ ตกลงพื้นแตกละเอียด
ลู่เสี่ยวหมี่ถลึงตาใส่เขาอย่างโมโห ดุเขาเสียงเบา “พี่รอง ที่นี่ไม่ใช่บ้านเรา ท่านอย่าสร้างปัญหาให้มากนัก”
พี่รองลู่กวาดสายตามองกาน้ำชาที่แตกละเอียดบนพื้น สีหน้ากระอักกระอ่วนขึ้นมาเล็กน้อย แต่ก็ยังยืนกรานจะกล่าวว่า “ข้ารู้ แต่ไม่ว่าใครก็ห้ามมาแย่งผักของเราไปเด็ดขาด”
เสี่ยวหมี่หมดปัญญากับเขาแล้วจริงๆ จึงรีบขอโทษขอโพยเถ้าแก่เฉินแทนเขา
เถ้าแก่เฉินเห็นเช่นนั้นก็มุมปากกระตุกเล็กน้อย รู้สึกโชคดีที่เขาทำการค้าอย่างสุจริตไม่เคยคิดเอาเปรียบล่วงเกินสกุลลู่มาก่อน ไม่เช่นนั้นกระดูกเปราะๆ ของเขาคงต้านทานแรงพ่อหนุ่มคนนี้ไม่ไหว
“ไม่เป็ไรๆ เมื่อครู่เป็ข้าเองที่ไม่พูดให้ชัดเจน” เขาโบกมือและบอกให้เด็กรับใช้มาเก็บกวาด จากนั้นก็รินน้ำชาให้ลู่เสี่ยวหมี่ใหม่
ครั้งนี้เขาไม่พูดอ้อมค้อมอีก “ไม่ขอปิดบังแม่นางลู่ ข้าคิดอยากจะรับการค้าครั้งนี้เอาไว้เอง แม่นางลู่อาจไม่ทราบ ลูกชายข้าทำหน้าที่เป็พ่อบ้านรองอยู่ที่บ้านสกุลถังในเมืองหลวง สกุลถังเป็ตระกูลพ่อค้าผ้าที่ใหญ่ที่สุดในแถบนี้ นายหญิงสกุลถังเป็ท่านน้าของเว่ยหยวนโหว ทั่วทั้งเมืองหลวงไม่มีใครกล้ารังแกพวกเขา
ข้าเองก็พลอยได้ดีเพราะบุตร จึงเปิดร้านนี้ขึ้นมาได้ คนในเมืองอันโจวนี้ก็ไว้หน้าสกุลถังอยู่มาก ถึงได้ทำการค้าอย่างสงบมาได้หลายปี ยามปกติก็คบค้ากับคนมีหน้ามีตาอยู่บ้าง หากว่าแม่นางลู่เชื่อใจข้า ไม่สู้ยกผักพวกนี้ให้ข้าขายเป็อย่างไร?”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้