อีกทั้งตอนที่นักฆ่าทั้งสองพุ่งโจมตีพวกนางพร้อมกัน กลับตายอย่างโชคร้ายน่าอนาถทั้งคู่
ยิ่งคิดยิ่งรู้สึกสงสัย เจียงจื่อเฮ่ายังคิดว่าแม่ลูกคู่นี้อาจถูกพวกนักฆ่าส่งมาเพื่อขโมยของของเขา
เขาพยายามอดกลั้นมิให้เผลอยกมือขึ้นจับหน้าอกของตัวเอง เนื่องจากเขาเก็บดอกบัวพันปีที่ได้มาอย่างยากลำบากไว้ตรงบริเวณนั้น
“แม่นาง พวกเ้าสองแม่ลูกมาจากที่ใดกัน ทั้งยังจะไปเมืองหลวงเพื่อพบผู้ใดหรือ? หากเป็ตระกูลใหญ่ ข้า เจียงจื่อเฮ่าที่เกิดในเมืองหลวงอาจจะรู้จัก”
ท่าทางตื่นตระหนกและร่างกายที่ตึงเครียดของเจียงจื่อเฮ่าล้วนตกอยู่ในสายตาของฮวาเหยียนทั้งสิ้น
นางเม้มริมฝีปากเล็กน้อย ไม่สนใจเขา
“เป็เพียงตระกูลเล็กๆ คุณชายเจียงน่าจะไม่รู้จัก”
ฮวาเหยียนเปลี่ยนท่าทางของตน หลับตาลงค่อยๆ เข้าสู่ห้วงนิทรา เห็นได้ชัดว่านางไม่้าจะสนทนากับเขา
เจียงจื่อเฮ่าก็ดูออกเช่นกันว่าฮวาเหยียนไม่สนใจ เขาจึงเอามือลูบจมูกของตน ก่อนจะหันไปคุยกับหยวนเป่าที่อยู่นอกเกวียนลา “เด็กน้อย เ้าช่างเก่งกาจยิ่งนัก รู้เื่พิษห้าประการอย่างแจ่มแจ้งถึงเพียงนั้น ”
“ข้าอ่านเจอจากหนังสือน่ะขอรับ”
เสียงเจื้อยแจ้วของหยวนเป่าดังขึ้น
“เช่นนี้นี่เอง เช่นนั้นเ้าช่างร้ายกาจยิ่งนัก เ้าคงอ่านหนังสือมาไม่น้อยั้แ่เด็กกระมัง”
เจียงจื่อเฮ่าถามขึ้นมาอีกครั้ง
“หยวนเป่า ก่อนออกจากบ้าน แม่พูดกับเ้าว่ากระไร? ”
หยวนเป่ากำลังจะเอ่ยปากพูด พลันได้ยินเสียงะโของฮวาเหยียน
เ้าหนูน้อยแลบลิ้น ยิ้มแหย “ท่านแม่บอกว่ามิให้คุยกับคนแปลกหน้า”
เจียงจื่อเฮ่า “…! ”
ระหว่างทาง ไม่ว่าเจียงจื่อเฮ่าจะพูดอันใด แม่ลูกคู่นี้กลับไม่สนเขาสักประโยค
เจียงจื่อเฮ่ารู้ว่าท่าทางสงสัยและระแวดระวังของตนเองทำให้ฮวาเหยียนไม่พอใจ หากเป็เช่นนั้นก็คงทำได้แค่หุบปากไว้และไม่ทำให้ตนเองอับอายขายหน้าอีก
เส้นทางไปยังเมืองหลวงแห่งอาณาจักรต้าโจวยังอีกยาวไกล หากดูจากความเร็วในการเดินทางของเกวียนลา อย่างเร็วคงต้องใช้เวลาสามวัน แต่ ‘ดอกบัวพันปี’ ที่อยู่ในอกของเขากลับรอไม่ได้แล้ว อีกทั้งอยู่กับสตรีที่เหมือนสุนัขจิ้งจอกเ้าเล่ห์ในเกวียนเดียวกัน สักคำก็ไม่พูด เขาอึดอัดจะตายอยู่แล้ว
“ด้านหน้ามีเมืองเล็กๆ อยู่ แม่นางปล่อยข้าลงที่นั่นเถิด เดี๋ยวข้าจะไปหาม้าเดินทางไปต่อเอง ขอบคุณบุญคุณที่แม่นางช่วยชีวิตข้าเอาไว้ ค่าตอบแทนสองหมื่นตำลึง แม่นางเพียงไปรับที่จวนของท่านแม่ทัพย่อมนับว่าใช้ได้แล้ว”
“ได้”
ฮวาเหยียนพยักหน้า มิได้เอ่ยรั้งอันใด
ในใจของเขาไม่พอใจเป็อย่างยิ่ง สตรีผู้นี้มิใช่คนดี เขากล่าวว่าจะไม่นั่งรถลาแล้ว ทว่าแม่ลูกคู่นี้กลับไม่พูดว่าจะเก็บเงินให้น้อยลงเลยสักนิด
“การพบกันคือพรหมลิขิต ข้าได้บอกชื่อแซ่กับแม่นางไปแล้ว ข้าขอถามนามอันไพเราะของแม่นางสักหน่อยจะได้หรือไม่ ไม่แน่ว่าเราอาจได้พบกันอีกในวันหน้า”
ก่อนลงจากเกวียนลา เจียงจื่อเฮ่าคำนับถาม
ในยามนั้น ฮวาเหยียนลืมตาขึ้นมองไปยังเจียงจื่อเฮ่า ริมฝีปากยกยิ้ม “อยากรู้จักนามของข้าอย่างนั้นหรือ? ”
เจียงจื่อเฮ่ามองรอยยิ้มของฮวาเหยียนอย่างตกตะลึง เขากัดปลายลิ้นไว้ทำให้ตัวเองได้สติ ในใจกลับเพิ่มความระแวดระวัง ในขณะเดียวกันก็คิดว่าสตรีผู้นี้อาจกำลังใช้ความงามเล่นกลกับเขาใช่หรือไม่? เหตุใดทั้งสายตา ทั้งรอยยิ้มถึงพาให้เขารู้สึกมึนงง ใจเต้นรัว อีกทั้งไร้เรี่ยวแรงได้เล่า?
เฮอะ...
ยังดีที่เขายังมีสติ มิเช่นนั้นคงอดใจไว้ไม่อยู่จริงๆ ที่เขาถามชื่อแซ่ของสตรีผู้นี้ก็เพื่อที่จะสะดวกในการตามหานางหลังจากนี้ต่างหาก
“ต้องรบกวนแม่นางแล้ว”
เจียงจื่อเฮ่ากล่าว เมื่อสิ้นคำก็เห็นเพียงฮวาเหยียนที่ยิ้มเล็กๆ จนตาหยี
“นามของหญิงสาว มิใช่สิ่งที่จะบอกกันง่ายๆ ได้ตามอำเภอใจ มีเพียงแค่สามีในอนาคตถึงจะได้รับสิทธิ์นั้น อีกทั้งข้าเองก็พูดไปแล้ว เ้าไม่ใช่แบบที่ข้าชอบ”
หลังจากที่ฮวาเหยียนพูดเช่นนั้น ใบหูและใบหน้าของเจียงจื่อเฮ่าพลันแดงก่ำ ทั้งยังรู้สึกว่าตัวเองล้ำเส้นเกินไปแล้ว
ในวินาทีถัดมา กลับได้ยินฮวาเหยียนเอ่ย “ข้าคนนี้ แซ่ห่าว ชื่อพยางค์เดียวอักษรเหมย มาจากตระกูลห่าวในเมืองหลวงอาณาจักรต้าโจว หากคุณชายเจียงไม่รังเกียจก็มาจิบชาที่จวนตระกูลข้าได้”
คำพูดนี้ช่วยคลายความกระอักกระอ่วนของเจียงจื่อเฮ่าได้ เขารีบยกมือขึ้นประสานคำนับ “ที่แท้ก็เป็แม่นางตระกูลห่าวนี่เอง ข้าย่อมไปแน่ขอรับ”
ทว่าในใจกลับรู้สึกสับสน ตระกูลห่าวหรือ? เขาไม่เคยได้ยินมาก่อน คงมิใช่ตระกูลที่ใหญ่อันใด
ฮวาเหยียนพยักหน้าพร้อมกับทำสีหน้าไร้เดียงสา
ยามที่เจียงจื่อเฮ่าทำท่าจะะโลงจากเกวียนลา ร่างกายพลันทรงตัวไม่ค่อยอยู่ จู่ๆ ก็ล้มเอนไปทางฮวาเหยียน ดวงตาของนางเป็ประกายเล็กน้อย พลันยื่นแขนออกไปประคองเขาไว้ ทำให้เขาสามารถยืนได้อย่างมั่นคง มือของเจียงจื่อเฮ่าเลื่อนผ่านเอวของฮวาเหยียนไปอย่างรวดเร็วไร้ร่องรอย คิดเอาเองว่าไม่น่ามีผู้ใดรู้
“แม่นางห่าว ขออภัย เป็เพราะพิษที่ยังหลงเหลืออยู่ไม่ได้ถูกกำจัด ร่างกายจึงยังฟื้นฟูได้ไม่เต็มที่ เมื่อครู่จึงไม่สามารถยืนได้อย่างมั่นคง ล่วงเกินแม่นางแล้ว ”
“มิเป็ไร”
ฮวาเหยียนตอบ
“เราคงได้พบกันอีกวันหลัง”
“อืม”
หลังจากที่เจียงจื่อเฮ่ากล่าวจบ เขาก็มองไปที่หยวนเป่าที่ยืนอยู่ข้างๆ ใบหน้านั้นช่างไร้เดียงสา เด็กน้อยโบกมือลาเขาด้วยความน่ารัก ในตอนนั้นเขารู้สึกว่าตัวเองใจแคบยิ่งนัก แม่ลูกคู่นี้ดูๆ ไปก็ใจกว้างดี มองแล้วไม่น่าเกี่ยวข้องอันใดกับชายชุดดำสองคนนั้นเลย เป็เขาเองที่คิดมากไป
มือของเขากำแน่น ในนั้นมีป้ายหยกประจำตัวที่เขาเพิ่งฉกมาจากฮวาเหยียนเมื่อครู่อยู่ เพื่อยืนยันตัวตนของนาง
“ลาก่อนท่านลุง”
หยวนเป่าโบกมือไปทางเจียงจื่อเฮ่า
“เ้าหนู ลาก่อน”
เจียงจื่อเฮ่ายิ้มอย่างกระอักกระอ่วน โบกมือไปมาแล้วค่อยหันหลังเดินจากไป ท้ายที่สุดแล้วก็ไม่ได้คืนป้ายหยกประจำตัวที่ขโมยมาจากฮวาเหยียน
จนกระทั่งตัวเขาค่อยๆ เลือนหายไปจากสายตาของสองแม่ลูก หยวนเป่าถึงยิ้มและส่งเสียงออกมา “ท่านแม่ ท่านลุงคนนั้นโง่จริงๆ แม่นางห่าว ห่าวเหมย [1] หญิงสาวที่ดี ที่งดงามยิ่ง...”
ฮวาเหยียนเดินไปตรงหน้าหยวนเป่า ก่อนจะค่อยๆ ดีดหน้าผากของเขาเบาๆ หนึ่งครั้ง สายตาเต็มไปด้วยความรักและเอ็นดูที่ไม่สามารถปิดซ่อนเอาไว้ได้ “เ้าเด็กนิสัยไม่ดี ดูสิว่านี่อะไร? ”
ฮวาเหยียนพูดพลางคุกเข่านั่งลงเบื้องหน้าหยวนเป่า นางดีดนิ้ว ทันใดนั้นก็มีกล่องไม้ปรากฏขึ้นอยู่ในมือ
“ท่านแม่ นี่คืออะไร? ”
หยวนเป่าถาม
ฮวาเหยียนยิ้มอย่างมีเลศนัยจากนั้นก็จึงเปิดกล่อง
“ว้าว...”
ภายในกล่องกระเบื้องเคลือบมีดอกบัวเจ็ดกลีบสีขาวบริสุทธิ์วางอยู่ ตรงกลางของมันมีเกสรตัวผู้สีชมพูกำลังแย้มบานอย่างสงบ กลิ่นหอมฟุ้งกำจายไปทั่ว หอมสดชื่นยิ่งนัก บนเกสรมีหยดน้ำเกาะรวมตัวกันเป็หยดใสและโปร่งแสง
“ดอกบัวพันปี”
หยวนเป่าร้องอย่างใ เด็กน้อยตื่นตระหนกจนหันไปมองทางฮวาเหยียน
ฮวาเหยียนซ่อนยิ้มในแววตา พยักหน้าลง สายตาจิ้งจอกเ้าเล่ห์เป็ประกายเล็กน้อย “เป็อย่างไร แม่เก่งหรือไม่? ”
“ร้ายกาจ ร้ายกาจ ท่านแม่ไปได้มาจากที่ใด? ”
หยวนเป่ากะพริบตาไถ่ถาม ทันใดนั้นก็หันศีรษะมองไปทางที่เจียงจื่อเฮ่าเพิ่งจากไป “คงมิใช่ท่านลุงเจียงหรอกกระมัง? ”
ฮวาเหยียนพยักหน้า “ลูกรัก เ้าฉลาดยิ่ง เป็คนแซ่เจียงคนนั้นนั่นแหละ”
“ท่านแม่ ท่านลุงคนนั้นมอบให้ท่านหรือ? ” หยวนเป่าถาม
เขานั่งอยู่ด้านหน้าเกวียน ภายในเกวียนเกิดเื่อะไรขึ้นบ้างเขาย่อมไม่ทราบ เมื่อเห็นดอกบัวพันปีที่อยู่ตรงหน้าก็คิดไปเองว่าเป็ฮวาเหยียนที่ซื้อมันมา
แววตาของฮวาเหยียนเป็ประกาย หยวนเป่าไม่ทราบเื่ที่นางเป็จอมโจร นางเองก็ไม่คิดที่จะพูดอะไรมาก จึงพยักหน้าไป “ใช่แล้ว เขารู้สึกสำนึกในบุญคุณของเราสองแม่ลูกที่ช่วยชีวิตเขาเอาไว้จึงให้แม่มา”
“เช่นนี้นี่เอง ท่านลุงเจียงคนนั้นช่างใจกว้างเสียจริง ทั้งเขียนสัญญาหนี้สองหมื่นตำลึง ทั้งยังให้ดอกบัวพันปีอีก ดอกบัวพันปีนี้เป็ยาอายุวัฒนะที่ยากจะหาพบเชียวนะขอรับ”
ฟังหยวนเป่าพูดจบ ฮวาเหยียนพลันหรี่ตาลง ถึงแม้ว่านางจะเป็เทพแห่งการขโมย แต่ก็มีกฎของตัวเองอยู่คือนางจะขโมยอย่างมีคุณธรรม ดังนั้นนางจึงไม่ขโมยคนที่ไม่มีความผิดใด ไม่ขโมยคนพิการ คนเจ็บและคนแก่
แต่เจียงจื่อเฮ่านี่กลับแหกกฎของนาง นางช่วยชีวิตเขาและพาเขาไปส่ง เขาตอบแทนนางด้วยเงินสองหมื่นตำลึง ใช้เงินแลกบุญคุณก็ถือว่าจบกันไป
แต่คนนี้กลับไม่รู้ดีชั่ว เสี้ยมเื่ความสัมพันธ์ของนางกับหยวนเป่า นี่คือข้อแรก ข้อสองก็คือหลังจากที่เขาถามชื่อแซ่ของนางแล้ว กลับฉวยโอกาสตอนล้มขโมยป้ายหยกประจำตัวของนาง
นี่เป็การฝ่าฝืนข้อห้ามใหญ่ของนาง
ดังนั้น ดีมาดีกลับ ร้ายมาก็ร้ายกลับ เขาขโมยป้ายหยกประจำตัวนาง เช่นนั้นนางก็ขโมยดอกบัวพันปีในอกเขา นับว่ายุติธรรมแล้ว ถึงแม้ว่านางจะซื้อป้ายหยกนั้นมาตอนที่เดินผ่านตลาดก็ตาม
“ลูกรัก รีบกินเถิด ดอกบัวนี่วางไว้ได้ไม่นาน...”
เชิงอรรถ
[1] ห่าวเหมย ชื่อที่ฮวาเหยียนตั้ง พ้องเสียงกับคำว่า แม่นางที่ดี งดงามยิ่ง 好美
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้