หลังจากเข้าห้องมา กลิ่นหอมของไม้จันทน์อันเบาบางก็โชยเข้ามาในจมูก ให้ความรู้สึกผ่อนคลายแก่ผู้คนอย่างไม่ทันรู้ตัว
ตรงหน้ามีบุรุษที่สวมอาภรณ์สีแดงทั้งร่างยืนหันหลังอยู่ ขณะนี้เขากำลังมองทิวทัศน์งดงามที่นอกหน้าต่างอย่างเลื่อนลอย ราวกับไม่รับรู้เลยว่ามีคนเข้ามา
มู่จื่อหลิงเป็ฝ่ายทำลายความเงียบขึ้นมาก่อน พูดเสียงเบา “ขออภัย ให้ข้ามาด้วยเื่ใด”
บุรุษชุดแดงได้ยินเสียงมู่จื่อหลิง สีหน้าชะงักไปครู่หนึ่ง จึงค่อยๆ หมุนกายมา
น้ำเสียงทุ้มต่ำและทรงเสน่ห์ของบุรุษดังขึ้น “ข้าน้อยเย่จื่อมู่ คราก่อนได้ยินว่าคุณชายต้องตาร้านค้าว่างเปล่าที่อยู่ภายใต้นามของผู้น้อย จึงอยากทำการแลกเปลี่ยนกับคุณชาย”
มู่จื่อหลิงได้ยินประโยคก็แปลกใจ คนผู้นี้รู้ได้อย่างไรว่านาง้าซื้อร้านค้า แล้วเขายังเป็ฝ่ายเข้าหานางก่อนอย่างที่ไม่คาดคิดมาก่อน
เื่นี้มีเพียงวันนั้นที่นางพูดกับหลงเซี่ยวเจ๋อและเสี่ยวหานขณะอยู่บนถนนแค่ครั้งเดียว แล้วก็ไม่มีคนรู้อีกแล้วนี่ หรือเป็หลงเซี่ยวเจ๋อแอบบอก
เป็ไปไม่ได้!
เขามิใช่กล่าวว่าเถ้าแก่ลึกลับผู้นี้แม้แต่องค์ชายอย่างเขาก็ไม่ไว้หน้าหรือ หากเป็เขาจริง จากนิสัยเขาจะไม่มาคุยฟุ้งโอ้อวดเสียจนฟุ้งไปถึง์ต่อหน้านางหรือ และยังเป็บุคคลลึกลับถึงเพียงนี้
เย่จื่อมู่เห็นมู่จื่อหลิงไม่พูดอยู่นานสองนาน ก็เหมือนรู้ว่านางกำลังคิดสิ่งใดอยู่ กล่าวอีกว่า “คุณชายมิต้องแปลกใจ บังเอิญว่าบทสนทนาของคุณชายกับสหายในวันนั้น ข้าน้อยได้ยินเข้าโดยมิเจตนา”
มู่จื่อหลิงยังคงไม่เปิดปากพูด ใอย่างเงียบๆ คนผู้นี้ไปได้ยินอยู่ที่ใดกัน หูเขาได้ยินไกลเป็พันลี้หรือ
วันนั้นบนถนนก็คนเยอะแยะถึงเพียงนั้น ทั้งจ้อกแจ้กจอแจ เขาได้ยินกระทั่งบทสนทนาของพวกนางบนท้องถนน คนผู้นี้แอบสะกดรอยตามพวกนางใช่หรือไม่
และครั้งนั้นเหมือนหลงเซี่ยวเจ๋อยังเรียกนางว่าพี่สะใภ้สาม คนผู้นี้ต้องรู้แน่ว่านางเป็สตรีที่แต่งกายเป็บุรุษ ยามนี้ยังมาทำเป็ไม่รู้ เรียกนางว่าคุณชาย
เกิดเื่อันใดขึ้น? แต่เขาไม่ขายร้านค้ามิใช่หรือ และจะเป็ฝ่ายมาพบนางก่อนได้อย่างไร คนผู้นี้้าสิ่งใดกันแน่
มู่จื่อหลิงยังมิได้เปิดปากกล่าววาจาเช่นเดิม แต่เย่จื่อมู่กลับไม่มีวี่แววหมดความอดทนเลยแม้แต่น้อย ยังกล่าวต่อไปว่า
“ผู้น้อยมีใจอยากขายร้านค้าให้คุณชาย ไม่ทราบว่าคุณชายยัง้าหรือไม่ คุณชายวางใจ ผู้น้อยเพียงอยากขายร้านค้าโดยบริสุทธิ์ใจเท่านั้น ไม่มีจุดประสงค์อื่นใด”
เกรงว่าบริสุทธิ์ครั้งนี้จะมิได้บริสุทธิ์ถึงเพียงนั้นกระมัง มู่จื่อหลิงคิดเช่นนี้เอง
นางมิได้ตอบคำถามของเย่จื่อมู่ เพียงมองดวงตาภายใต้หน้ากากของเขาอย่างชะงักงัน เหมือนนึกสิ่งใดออกขึ้นมา
เนิ่นนาน จึงถามออกไปอย่างไม่รู้ตัว “พวกเรารู้จักกันหรือไม่?”
ครั้งนี้นั้นมองได้ชัดเจนกว่าคราวก่อนนัก ดวงตาของคนผู้นี้ช่างคุ้นเคยเสียจริงๆ ราวกับเคยเห็นที่ไหนมาก่อน
เย่จื่อมู่หลุบตาลงอย่างฉับไวเสียจนทำให้คนไล่จับไม่ทัน
เขาหัวเราะกล่าวว่า “คุณชายล้อเล่นแล้ว เพียงแค่มีวาสนาพบหน้ากันครั้งหนึ่งที่หอสุราอย่างเร่งรีบเท่านั้น ทว่าผู้น้อยกลับเคยพบองค์ชายหก มิทราบว่า ‘พี่สะใภ้สาม’ ที่เขาเรียกก็คือ”
วาจาของเย่จื่อมู่หันเหความสนใจของมู่จื่อหลิงได้สำเร็จ
เขามิได้กล่าวจนจบประโยค แต่มู่จื่อหลิงกลับเข้าใจ
คนผู้นี้รู้จริงๆ ด้วยว่านางเป็สตรีที่ปลอมเป็บุรุษ รู้ฐานะของนางแล้ว ยังมาแสร้งถามอย่างอ้อมค้อมเช่นนี้อีก และก็ไม่ได้เปิดโปงฐานะของนาง คนผู้นี้มีเจตนาดีหรือร้ายกันแน่
นางรู้ว่าครั้งก่อนนี้เป็การพบกับเขาเพียงครั้งเดียว แต่เมื่อเธอพบคนผู้นี้ ในสมองก็มักจะมีความรู้สึกที่คุ้นเคยที่มิอาจบรรยายได้ อาจจะเป็เพราะเ้าของร่างกายคนก่อนเคยพบเขากระมัง
“อาจจะใช่กระมัง!” คนผู้นี้ไม่ได้มีจุดประสงค์้าเปิดโปงนาง นางก็มิจำเป็ต้องสมองทึบตอบรับอย่างโจ่งแจ้ง
“คุณชายคิดอย่างไรกับข้อเสนอของผู้น้อยเมื่อครู่นี้” เหมือนเย่จื่อมู่จะมิได้สนใจฐานะของนางมากนัก จึงย้ายหัวข้อสนทนากลับไปเื่ร้านค้าอีกครั้ง
“แม้ข้าจะถูกใจร้านค้าของท่านมากนัก แต่เหมือนจะได้ยินมาว่าท่านไม่้าขายร้านค้า ด้วยเกรงว่าจะเสียงดังรบกวน ยามนี้ท่านมาขายให้ข้าอย่างไร้เหตุผล เพื่อสิ่งใดกัน พวกเรามิได้รู้จักกันเสียหน่อย”
มู่จื่อหลิงเปิดปากอย่างแปลกใจ แม้นาง้าร้านค้าแห่งนี้อย่างมากก็จริง แต่คนผู้นี้จะตรงเกินไปแล้ว ทำให้นางสงสัยยิ่งนัก
“ข้าน้อยมิได้กลัวเสียงดังรบกวน เพียงแต่ยังหาผู้ซื้อที่เหมาะสมมิได้ ข้าน้อยรู้สึกว่าคุณชายกับผู้น้อยมีวาสนาต่อกันยิ่งนัก ดังนั้นข้าน้อยก็จะช่วยให้สมปรารถนา ขายให้ท่าน” เย่จื่อมู่กล่าวอย่างสง่าผ่าเผย ราวกับเื่ราวก็เป็เช่นนี้เอง ด้วยเหตุนี้จึงมีความประสงค์ที่จะขาย
วาสนาต่อกัน? ช่วยให้สมปรารถนา? เหตุผลที่ดูฝืนๆ เช่นนี้ เขาก็จะขายร้านค้าให้นางอย่างง่ายดายเสียแล้ว คงไม่มีแผนการอันใดใช่หรือไม่
แต่เดิมนางก็มาพบเขาด้วยเื่ของร้านยาอยู่แล้ว การที่เขาเป็ฝ่ายเสนอออกมาก่อน เช่นนั้นตนก็ลดเื่วุ่นวายไปได้มิน้อย
ไม่สนใจอะไรแล้ว จ่ายเงินแลกโฉนดที่ดิน ขอแค่โฉนดที่ดินมีจริง ร้านนี้ก็กลายเป็ของนางแล้ว และนางก็ไม่กลัวว่าภายหลังจะมีคนจับผิด ต่อไปมิต้องอยู่ในจวนอ๋องอย่างเอ้อระเหยแล้ว
มู่จื่อหลิงไตร่ตรองไปหนึ่งตลบแล้วกล่าว “ข้าจะซื้อร้านค้า เื่ราคาจะว่ากันอย่างไร”
“ห้าแสน” เย่จื่อมู่พูดออกมาสั้นๆ
“ห้าแสนตำลึงเงิน ได้ ตกลงซื้อขาย” มู่จื่อหลิงตอบตกลงอย่างรวดเร็ว
ห้าแสนตำลึง ทำเลดีเช่นนี้ ต่อไปเงินคงไหลมาเทมาเหมือนน้ำ
เพียงคิดถึงตรงนี้มู่จื่อหลิงก็รู้สึกว่าช่างสวยงามนัก ราวกับกำลังเห็นตนเองมุ่งหน้าไปสู่เส้นทางของเศรษฐีนี
เพียงแต่นางนั้นจะดีใจเร็วไปหน่อย คำพูดต่อมาของเย่จื่อมู่ ก็เหมือนน้ำในอ่างเย็นๆ สาดใส่นางจนใจเย็นเยียบ
“คุณชายเข้าใจผิดแล้ว เป็ห้าแสนตำลึงทอง มิใช่ตำลึงเงิน”
เย่จื่อมู่เห็นดวงตาทอประกายแวววาวก็รู้ว่านางคิดสิ่งใดอยู่ จึงทำลายความฝันหาเงินได้เยอะๆ อันแสนงดงามจนแตกสลาย
“อะ...อะไรนะ ตำลึงทอง” มู่จื่อหลิงร้องออกมาอย่างไม่รักษาภาพลักษณ์
ชั่วขณะนั้นนางเข้าใจแล้ว คนผู้นี้มิได้พูดถึงวาสนาอะไรนั่น ต้องเป็เพราะร้านค้าแพงเกินไปจนไม่มีคนซื้อแน่ๆ
มิใช่ว่าเพราะเขารู้ฐานะของนางจึงได้ขูดรีดนางเช่นนี้ใช่หรือไม่ แม้นางจะเป็ฉีหวางเฟยที่ไม่ต้องกังวลเื่กินอยู่ แต่นางก็มิได้มีอำนาจควบคุมบัญชีของจวนฉีอ๋องเสียหน่อย
ขณะนี้นอกจากสินเดิมของนางแล้ว หลงเซี่ยวอวี่ก็มิเคยให้เงินนางแม้แต่เหวินเดียว หลังจากซื้อร้านค้านี้ไปแล้วนางก็เป็ยาจกที่ไม่มีเงินสักแดง
เย่จื่อมู่เห็นมู่จื่อหลิงจ้องมาที่ตนเองอย่างระแวง ก็หัวเราะออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ “คุณชายคิดว่าอย่างไร ทำเลนี้เป็ทำเลที่ดีที่สุดในเมืองหลวงเจียหลัวแล้ว ข้าน้อยเองก็เห็นคุณชายมีวาสนาต่อกันจึงยินยอมขายให้ ตอนแรกองค์ชายห้าและองค์ชายหกก็้าซื้อ ให้ราคาเลยจากห้าแสนไปเยอะเลยทีเดียว แต่ข้าน้อยก็ยังไม่ตกลง”
ความคิดมู่จื่อหลิง ‘ไม่ยังไงทั้งนั้น เ้าไม่รีบไปแย่งมาให้เร็วเล่า’
ห้าแสนตำลึงทอง! สินเดิมของนางรวมแล้วทั้งหมดยังไม่รู้ว่าจะถึงสามแสนตำลึงทองหรือไม่
แต่ว่าพวกหลงเซี่ยวเจ๋อเป็องค์ชายที่ร่ำรวย พวกเขามาซื้อ คนผู้นี้กลับไม่ขาย เหมือนเื่ราวจะเป็เช่นนั้นจริง
ทั้งยังไม่เหมือนการขูดรีดนางด้วย หรือว่าจะคิดดูอีกครั้ง แต่จะไปหาเงินมาจากไหน?
“ลดอีกหน่อย ข้าจะคิดดู” มู่จื่อหลิงครุ่นคิด ตกลงซื้อคงจะเป็การดีกว่า
ร้านค้าที่แห่งนี้ช่างดึงดูดคนนัก ต่อไปต้องหาเงินได้เยอะแน่ๆ เื่เงินค่อยคิดวิธีอีกที
“คุณชาย ลดได้มากสุดห้าหมื่น หากยังลดอีก ข้าน้อยก็ขาดทุนแล้ว” เย่จื่อมู่พูดด้วยท่าทางเสมือนว่าเขาเองก็ขาดทุนเต็มที่แล้วจริงๆ
“ได้” มู่จื่อหลิงตอบรับ ได้คืบจะเอาศอก ถามเสียงอ่อยว่า “สามารถแบ่งจ่ายได้หรือไม่” หากสามารถแบ่งจ่ายได้ก็เปิดร้านเสียก่อนแล้วค่อยว่ากัน ทยอยจ่ายไปเรื่อยๆ
“คุณชาย พวกเราค้าขายกันอย่างยุติธรรม มือหนึ่งยื่นเงินตำลึง มือหนึ่งยื่นร้านค้า” ราวกับเย่จื่อมู่มั่นใจว่ามู่จื่อหลิงต้องซื้ออย่างแน่นอน จึงกล่าวอย่างไร้น้ำใจโดยสิ้นเชิง
มู่จื่อหลิงกรอกตาอย่างเงียบๆ เหอะ! ค้าขายกันอย่างยุติธรรมคือสิ่งใดกัน ก็แค่แบ่งจ่ายเป็งวดหรอก ยังจะกลัวนางหนีไปได้อีกหรือไง
ครู่ต่อมานางจึงกัดฟัน “ได้ อีกสองสามวันเตรียมเงินเสร็จแล้วค่อยมาทำข้อตกลง”
“คุณชายแค่ลงนามตรงนี้ ประทับลายนิ้วมือ ถึงเวลานั้นเปลี่ยนตำลึงทองเป็ตั๋วทอง นำมามอบให้ผู้จัดการหอเยวี่ยอวี่ เขาจะนำโฉนดให้ท่าน” เย่จื่อมู่นำสัญญาสองฉบับมาวางไว้บนโต๊ะ
ที่แท้ตานี่ก็เตรียมไว้หมดแล้ว แล้วคาดการณ์ไว้ก่อนหน้าว่านางจะซื้อ
มู่จื่อหลิงเห็นสัญญา ข้อตกลงก็เขียนไว้อย่างชัดเจน ไม่มีปัญหาใด
หยิบดินสอถ่านออกมาจากแขนเสื้อ ลงนาม ‘มู่จื่อหลิง’ สามตัวใหญ่ๆ ลงบนกระดาษทั้งสองแผ่น อย่างไรเสียคนผู้นี้ก็รู้ฐานะของตนเองแล้ว เขามิได้คิดเปิดโปงนาง นางจึงไม่จำเป็ต้องเขียนชื่ออื่น
หลังลงนาม นางจึงแอบดึงเข็มออกมา พูดกับเย่จื่อมู่อย่างเป็จริงเป็จัง “เถ้าแก่เย่คงไม่ถือสาที่จะยื่นมือออกมากระมัง”
เย่จื่อมู่ไม่เข้าใจ แต่ก็ยื่นมือมาทางนาง
มู่จื่อหลิงจับมือของเย่จื่อมู่ ทิ่มเข็มลงไปที่นิ้วชี้ของเขาอย่างรวดเร็วสามครั้ง
จากนั้นบีบเืออกมา ใช้นิ้วโป้งของตนเองถู้า แล้วประทับลงบนสัญญาทั้งสองฉบับ
การกระทำนั้นทำรวดเร็วจนเสร็จลุล่วง หลังจากที่เย่จื่อมู่ยื่นมือออก ก็ไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธอย่างสิ้นเชิง
มู่จื่อหลิงทำทุกอย่างเสร็จสิ้น ก็หัวเราะออกมาโดยไม่มีวี่แววรู้สึกผิดเลยแม้แต่น้อย “ฮ่าๆ ที่นี่ไม่มีหมึก ยืมมืออันสูงส่งของท่านมาใช้คงไม่ถือสากระมัง อย่างไรเสียท่านก็ต้องประทับเหมือนกัน ข้าจึงขอใช้ด้วยเสียเลย ประหยัดแหล่งทรัพยากร” นางไม่มีทางบอกพ่อค้าหน้าเืผู้นั้นว่านางเจตนา เจตนาปะาก่อนแล้วค่อยรายงานทีหลัง
เย่จื่อมู่มองท่าทางเ้าเล่ห์แสนซนของมู่จื่อหลิง และมองนิ้วชี้ตนเองที่ยังมีเืซึมออกมาอยู่ ก็ยิ้มอย่างจนปัญญา
จากนั้นเขาก็หยิบดินสอถ่านมาลงนามของตนเอง แล้วใช้นิ้วโป้งประกบลงบนนิ้วที่เืกำลังไหล ประทับลายนิ้วมือ
เขาหยิบขึ้นมาเก็บไว้เองหนึ่งฉบับ อีกฉบับส่งให้มู่จื่อหลิง ยิ้มอย่างทรงเสน่ห์ให้นาง “ค้าขายรุ่งเรือง”
มู่จื่อหลิงรับสัญญามา ยิ้มแต่ปากไปไม่ถึงดวงตา “ค้าขายรุ่งเรือง”
ไม่รุ่งเรืองเลยแม้แต่น้อย ครู่เดียวก็กลายเป็ยาจกเสียแล้ว สินส่วนตัวอาจจะไม่พอด้วยซ้ำ
นางยังต้องคิดวิธีหาเพิ่มอีกหน่อย ยังดีที่ไม่ต้องเตรียมเงินซื้อยาเข้าร้าน ระบบซิงเฉินล้วนมีครบทุกอย่างแล้ว นางจึงสามารถลดความวุ่นวายไปได้ไม่น้อย
-
ความมืดมิดยามค่ำคืนค่อยๆ ย่างกรายเข้ามา
มู่จื่อหลิงออกมาจากหอเยวี่ยอวี่ พบว่าหลงเซี่ยวเจ๋อลูบท้องใหญ่โต ท่าทางกินอิ่มเสียจนเกียจคร้านอยู่ในรถลาก
นางกลับลืมเสียแล้ว ถ้าหลงเซี่ยวเจ๋อเห็นว่ารถลากยังไม่ไป ย่อมรู้ว่าตนเองยังไม่ได้กลับไป นี่คือรอนางอยู่หรือ?
มู่จื่อหลิงรู้สึกระทมทุกข์เล็กน้อย แต่ก็ยังเดินเข้าไป
หลงเซี่ยวเจ๋อเห็นมู่จื่อหลิงเดินขึ้นมา ชั่วพริบตาเดียวสติก็แจ่มใสขึ้นมา กล่าวเข้าข้างตนเอง “พี่สะใภ้สาม ข้ารู้อยู่แล้วว่าท่านตัดใจทิ้งข้าเดินกลับไม่ลง ยังรอข้ากินข้าวจนเสร็จ”
“มิได้รอเ้า ข้าไปพบเถ้าแก่หอเยวี่ยอวี่ ซื้อร้านค้าสำเร็จแล้ว” มู่จื่อหลิงดับจินตนาการของหลงเซี่ยวเจ๋อ
ทว่าหลงเซี่ยวเจ๋อกลับไม่สนใจเื่ที่มู่จื่อหลิงมิได้รอเขา แต่โดนประโยคของนางทำให้ใ
“อะไรนะ พี่สะใภ้สามท่านใช้วิธีใดทำให้เถ้าแก่ลึกลับผู้นั้นขายให้ท่าน ตอนนั้นพี่ห้ากับข้าชักแม่น้ำทั้งห้ามาพูดก็แล้ว เถ้าแก่ผู้นั้นยังไม่ยอมพบเสียสักครั้ง ท่านออกมาก็พบเขา ข้านับวันยิ่งนับถือท่านนัก”
“เขาเชิญข้าไป จากนั้นไม่รอช้า พวกเราก็ทำสัญญา” มู่จื่อหลิงมองสีหน้าเลื่อมใสของหลงเซี่ยวเจ๋อ พูดอย่างพออกพอใจ
หลังจากที่หลงเซี่ยวเจ๋อได้ยินวาจามู่จื่อหลิงก็ทำหน้าไม่อยากเชื่อ “เป็ไปไม่ได้ พี่สะใภ้สามท่านต้องใช้วิธีอะไรแน่ๆ รีบบอกกับข้า เร็วเข้า”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้