หนิงมู่ฉือได้ฟังรู้สึกโมโหยิ่งนัก ลุกขึ้นยืนชี้หน้านายอำเภอ “ท่านก็เลยให้ข้าไปเสี่ยงอันตราย เสียดายนักที่ข้านึกว่าท่านเป็ขุนนางที่ดี” เอ่ยจบนางก็เดินออกไป นายอำเภอมีสีหน้าไม่พอใจยิ่งนักที่ถูกชี้หน้าต่อว่า จึงสั่งหัวหน้าหน่วยลาดตระเวน “ขวางนางไว้”
หนิงมู่ฉือเห็นหัวหน้าหน่วยลาดตระเวนมายืนขวางหน้านาง ในใจนึกดูแคลนนัก คนพวกนี้เผยโฉมหน้าที่แท้จริงของตัวเองออกมาแล้ว
นายอำเภอผู้มีรูปร่างผ่ายผอมเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้านาง “หากเ้าช่วยรักษาข้าให้หายดี ข้าถึงจะปล่อยเ้าไป”
อย่างไรนางก็คือคนที่เคยเรียนวิทยายุทธมาก่อน นางเบี่ยงตัวหลบจากนายอำเภอออกมาได้ ทว่าวิทยายุทธของนางมีจำกัด เอาตัวรอดจากคนได้แค่คนเดียว เมื่อสายตานางเห็นข้ารับใช้มากมายกำลังตรงมาทางนี้ ในใจประหวั่นยิ่งนัก
ที่นางคิดไม่ถึงก็คือ ผู้ที่จะมาช่วยนางคือม้าตัวหนึ่ง
ม้ารูปลักษณ์สง่างาม ขนเป็เงาวับตัวหนึ่งยกขาหน้าขึ้นพร้อมกับร้องฮี้ วิ่งฝ่าข้ารับใช้ทั้งหลายตรงเข้ามาหานาง นางรู้สึกดีใจยิ่งนัก รีบะโขึ้นไปบนหลังม้าแล้วกระตุกบังเหียนให้ม้าวิ่งออกไป
นางแลบลิ้นปลิ้นตาให้ทุกคนด้วยความสะใจ ก่อนจะบังคับม้าให้วิ่งออกจากจวนแห่งนี้
ที่หนิงมู่ฉือไม่รู้ก็คือ หลิงอวิ๋นและหลิงเฉินคอยช่วยนาง รั้งข้ารับใช้ของจวนนายอำเภอเอาไว้ให้ เพื่อที่นางจะได้หนีไปได้
ครั้นเห็นว่าตัวเองพ้นจากจวนมาแล้ว นางลูบแผงคอม้าพร้อมกับยิ้ม “เ้าช่างรู้ใจข้านัก เ้าม้าที่น่ารัก”
บนท้องถนน นางเห็นภัตตาคารแห่งหนึ่งซึ่งกิจการไปได้ดีมาก ชื่อของร้านก็น่าสนใจ ร้านอาหารไหลฝู
นางที่ยังไม่ได้ทานอะไร ท้องจึงส่งเสียงร้องโครกครากออกมา นางจูงม้าไปผูกไว้ข้างๆ ร้าน ก่อนจะเดินเข้าไปในร้าน วางเงินลงบนโต๊ะเสียงดัง
เสี่ยวเอ้อร์ของร้านเห็นท่าทางของหนิงมู่ฉือก็รู้ทันทีว่าคือคนมีเงิน ยิ้มประจบพร้อมกับรีบเข้าไปต้อนรับ “แม่นาง ทานอะไรดีขอรับ”
นางยิ้มพร้อมกับเอ่ยตอบ “อาหารขึ้นชื่อของร้านเ้ามีอะไรบ้าง”
เสี่ยวเอ้อร์ทำท่าขบคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยแนะนำ “อาหารขึ้นชื่อของร้านเรามีหลากหลายอย่าง เช่นเนื้ออบแป้ง ปลาไนน้ำแดง กระดูกหมูเปรี้ยวหวาน ปลานึ่ง เนื้อน้ำแดง กุ้งสะดุ้งน้ำมัน…”
นางได้ฟังก็ปวดศีรษะยิ่งนัก ยกมือห้ามก่อนจะเอ่ยว่า “เอาอาหารขึ้นชื่อของเ้าทั้งหมดมา ข้ามีเงินมากมาย จ่ายไหวอยู่แล้ว”
เสี่ยวเอ้อร์ได้ยินเช่นนั้นยิ้มกว้างออกมาพร้อมกับตอบรับ “ได้เลยแม่นาง” ก่อนจะรีบวิ่งไปหาเถ้าแก่
ขณะที่นางดื่มน้ำรออาหารอยู่นั้น นางได้ยินบุรุษร่างกายกำยำใหญ่โตซึ่งนั่งอยู่ไม่ไกลพูดคุยกันว่า “งานคุ้มกันครานี้ของพวกเราเป็งานสำคัญ ได้ยินว่าคนที่อยู่เื้ัเป็ผู้มีอำนาจคนหนึ่ง”
นางเงี่ยหูฟังอย่างตั้งใจ คนในกลุ่มนั้นเอ่ยออกมาอีกครา “สินค้าครั้งนี้ถูกควบคุมอยู่ที่ชายแดนใต้ หนทางยังอีกยาวไกล ทุกคนต้องระวังตัวให้ดี”
เมื่อนางได้ยินคำว่าชายแดนใต้ นางรู้สึกสนอกสนใจขึ้นมาทันที ต่อมาชายรูปร่างใหญ่โตผู้มีรอยสักไปทั้งตัวดื่มสุราเข้าไปหนึ่งจอกก่อนจะเอ่ยออกมา “ทุกคนจะกังวลไปไย ยังมีข้าอยู่มิใช่หรือ มีข้าคอยคุ้มครอง ไม่มีปัญหาเกิดขึ้นแน่นอน หากเจอกับคนร้ายระหว่างทาง ข้าจะถลกหนังของมันออกมาให้ทุกคนย่างกินเอง”
นางกัดเล็บด้วยความเครียด ครั้นเห็นเสี่ยวเอ้อร์นำอาหารยกมาวางบนโต๊ะ นางส่งยิ้มให้อีกฝ่ายเป็การขอบคุณ
ทว่าต่อมานางถึงกับปวดศีรษะเมื่อเห็นกุ้งสะดุ้งน้ำมันที่วางอยู่บนโต๊ะ ก่อนจะเอ่ยรั้งเสี่ยวเอ้อร์ที่กำลังจะหมุนตัวเดินจากไปด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ “เดี๋ยวก่อน นี่คือกุ้งสะดุ้งน้ำมันหรือ”
เสี่ยวเอ้อร์กลอกตามองบน ก่อนจะเอ่ยตอบ “ใช่ขอรับ แม่นางมีปัญหาใดหรือไม่”
นางมองจานกุ้งสะดุ้งน้ำมันที่ในจานมีน้ำมันเยิ้ม เห็นแล้วไม่รู้สึกอยากทานเลยแม้แต่น้อย ทว่านางไม่อยากหาเื่ใส่ตัวจึงทำได้แค่ยิ้มอ่อนส่งไปให้ “ไม่มีอะไร ข้าแค่ถามเท่านั้น เ้าไปทำงานต่อเถิด”
เสี่ยวเอ้อร์หมุนตัวเดินจากไป นางมองอาหารที่ถูกยกมาวางบนโต๊ะเยอะขึ้นเรื่อยๆ ด้วยจิตใจที่ไม่สงบนัก นางมองอาหารพวกนี้แล้วไม่รู้สึกอยากทานเลย สายตานางเอาแต่จ้องไปยังโต๊ะที่มีบุรุษรูปร่างใหญ่โตกำยำนั่งอยู่
บุรุษร่างกายใหญ่โตทั้งหลายรับรู้ได้ถึงสายตาของหนิงมู่ฉือที่จ้องมองมา หนึ่งในนั้นเขย่าแขนผู้เป็หัวหน้าซึ่งมีรอยสักอยู่บนแขน พร้อมกับเอ่ยอย่างระแวดระวัง “พี่สอง ดูแม่นางโต๊ะนั้นสิ เอาแต่จ้องมองพวกเราั้แ่เข้ามาในร้านแล้ว”
สิ้นเสียง ทุกคนในโต๊ะแกล้งส่งเสียงหัวเราะออกมา หนิงมู่ฉือเหลือบมองโต๊ะชายกำยำผาดหนึ่งก่อนจะยกอาหารไปวางบนโต๊ะไม้ตรงหน้าเถ้าแก่ “นี่หรือคืออาหารที่เ้าบอกว่าเป็อาหารขึ้นชื่อของร้านเ้า”
เถ้าแก่ลูบเคราของตัวเองขณะมองหนิงมู่ฉืออย่างดูแคลน น้ำเสียงเจือแววดูถูก “แล้วอย่างไร หรือแม่นางไม่เคยทาน?”
นางมองเถ้าแก่ซึ่งมีสีหน้าดูิ่ จึงยกยิ้มมุมปากพร้อมกับเอ่ยว่า “เ้ารู้หรือไม่ว่าสิ่งสำคัญในการทำกุ้งสะดุ้งน้ำมันคือสิ่งใด คือน้ำมันต้องร้อนได้ที่และไฟก็ต้องได้ที่เช่นกัน ข้าไม่เคยเห็นร้านอาหารใดที่จะเหยียบย่ำอาหารได้เท่าร้านอาหารของเ้าเลย ถึงกับทำกุ้งสะดุ้งน้ำมันออกมาได้หน้าตาน่าเกลียดเช่นนี้”
เถ้าแก่ได้ยินเช่นนั้น มองหนิงมู่ฉืออย่างไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเอง นึกว่าอีกฝ่ายจงใจมาหาเื่ จึงเอ่ยว่าเสียงดัง “หากเ้าอยากกินก็กินทาน หากไม่อยากกินก็อย่ามาหาเื่ เชื่อหรือไม่ว่า…”
นางยัดกุ้งตัวหนึ่งใส่ปากเถ้าแก่ เถ้าแก่จ้องเขม็งมายังนางด้วยแววตาเคียดแค้น นางกล่าวกับเถ้าแก่เ้าของร้านด้วยน้ำเสียงเหยียดหยาม “วันนี้เ้ามาเจอข้าถือว่าเ้าดวงซวย พาข้าไปที่ห้องครัวประเดี๋ยวนี้ ข้าจะแสดงฝีมือให้เ้าดู”
เ้าของร้านทำตาม เดินนำไปยังห้องครัวอย่างโง่งม หนิงมู่ฉือมองพ่อครัวที่ทำอาหารผาดหนึ่ง ก่อนที่สีหน้าจะเปลี่ยนเป็ลำบากใจ
นางหยิบกุ้งขึ้นมามองอย่างไม่อยากจะเชื่อ “ก็ไม่แปลกที่กุ้งของเ้าจะมีกลิ่นคาว แม้แต่ขี้ก็ไม่ยอมดึงออก” เอ่ยจบนางทำความสะอาดกุ้งจนสะอาดเอี่ยม ทุกคนที่อยู่ในห้องครัวตาค้างอย่างตกตะลึง
นางใส่น้ำมัน ต้นหอม ขิงและกระเทียมลงไปผัดในกระทะจนหอมก่อนจะใส่กุ้งลงไป เปลี่ยนแค่กรรมวิธีง่ายๆ ก็ทำให้ห้องครัวเต็มไปด้วยกลิ่นหอม ต่อมานางใส่เครื่องปรุงรสลับของตัวเองลงไป เพียงเท่านี้อาหารก็ส่งกลิ่นหอมโชยไปทั่วแล้ว
เถ้าแก่ตาโตมองกุ้งสะดุ้งน้ำมันที่อยู่ในกระทะอย่างไม่เชื่อสายตาตัวเอง “แม่นางใส่สิ่งใดลงไป เหตุใดกลิ่นถึงได้หอมน่าทานถึงเพียงนี้”
นางมองเถ้าแก่ที่ลอบกลืนน้ำลายขณะตักกุ้งใส่จาน ก่อนจ ะลงมือทำอาหารต่ออีกหลายอย่าง เพียงไม่นานบนโต๊ะในห้องครัวก็เต็มไปด้วยอาหารหลากหลายอย่าง
เถ้าแก่กุมมือนางอย่างดีใจขณะเอ่ย “แม่นางช่างเก่งกาจราวกับเทพเซียนเหลือเกิน”
เถ้าแก่ใช้ตะเกียบคีบอาหารเข้าปาก อร่อยจนน้ำตาไหล ก่อนจะเอ่ยออกมาว่า “ตระกูลข้าเปิดภัตตาคารมาทุกรุ่น แต่ข้ายังไม่เคยทานอาหารที่อร่อยเท่านี้มาก่อนเลย”
เถ้าแก่คุกเข่าลงตรงหน้าหนิงมู่ฉือ “แม่นาง ช่วยสอนข้าทำอาหารได้หรือไม่”
นางยิ้มออกมา มองเถ้าแก่อย่างเ้าเลห์ “เมื่อครู่ข้าก็สอนเ้าไปแล้วไม่ใช่หรือ ข้าสอนแค่รอบเดียวเท่านั้น อีกเดี๋ยวข้าจะจดวิธีทำให้ แต่เ้าต้องรับปากข้าเื่หนึ่ง”
“แม่นางเชิญพูดมาได้เลย” เถ้าแก่มองอย่างเลื่อมใส
“อาหารที่ข้าสั่งข้างนอกเ้าต้องไม่คิดเงิน อีกอย่างต้องเอาอาหารไปให้ม้าของข้าที่อยู่นอกร้านด้วย”
“ข้าก็นึกว่าเื่อันใด แม่นางวางใจเถิด” เถ้าแก่ที่คิดว่าตัวเองได้เจอโชคลาภครั้งใหญ่หัวเราะขณะเดินออกไปด้านนอก
หนิงมู่ฉือยกจานกุ้งสะดุ้งน้ำมันและผัดผักกาดขาวเดินออกไปด้านนอก เมื่อนางเดินออกไป กลิ่นหอมก็โชยไปทั่วทั้งภัตตาคาร คนไม่น้อยหันมองมาทางนาง นางรู้สึกเขินอายยิ่งนัก จึงส่งยิ้มน้อยๆ ให้ทุกคน
โต๊ะของชายรูปร่างกำยำใหญ่โตก็มองมาทางหนิงมู่ฉือเช่นกัน หนึ่งในนั้นเป็ชายที่มีรูปร่างผอมแห้งเอ่ยกับพี่สองว่า “พี่สอง สตรีผู้นั้นรูปร่างหน้าตาดีใช้ได้ ไม่สู้…”
พี่สองมองชายผอมแห้งผู้พูดเขม็ง พร้อมกับเอ่ยว่าเสียงดัง “เ้านี่ในสมองจะไม่มีเื่อื่นเลยใช่หรือไม่!”
เอ่ยจบมองอาหารที่อยู่บนโต๊ะหนิงมู่ฉือ ก่อนจะหันมามองอาหารบนโต๊ะตัวเอง จากนั้นถอนหายใจออกมา เอ่ยกับคนที่อยู่ในโต๊ะเดียวกันว่า “พวกเ้ารู้สึกหรือไม่ว่าอาหารของพวกเรากับของแม่นางผู้นั้นแตกต่างกัน เหตุใดอาหารของแม่นางผู้นั้นถึงดูน่ากินกว่า”
ครั้นหนิงมู่ฉือนั่งลงที่โต๊ะก็หันไปส่งยิ้มให้กลุ่มชายกำยำเ่าั้ ทำเอาบางคนถึงกับเคลิ้มไป
นางเอ่ยด้วยเสียงหวานนุ่ม “ข้าขอทานอาหารร่วมโต๊ะกับพวกท่านได้หรือไม่”
ชายรูปร่างใหญ่โตเหล่านี้ทำงานเป็ผู้คุ้มกัน นานแล้วที่ทุกคนไม่ได้เห็นสตรี อีกทั้งยังมีรูปร่างหน้าตางดงาม ทุกคนจึงพยักหน้าด้วยสีหน้าโง่งม บางคนถึงกับมองอาหารในมือหนิงมู่ฉือไม่ละสายตา
นางมองคนเหล่านี้ที่แบ่งที่ให้นาง นางนั่งเบียดกับทุกคนก่อนจะวางอาหารไว้ตรงกลางโต๊ะ ทุกคนมองอาหารของนางตามันวาว
นางมองทุกคนแย่งกันตักอาหารของนางยกใหญ่ นางพูดอย่างไรก็ไม่ได้ผล รอจนทุกคนทานเสร็จ นางยิ้มออกมาพร้อมกับเอ่ย “พี่ชายทุกท่าน พวกท่านจะเดินทางไปชายแดนใต้ใช่หรือไม่”
ได้ยินเช่นนั้น ทุกคนมีท่าทีระแวดระวังขึ้นมาทันที นางยิ้มก่อนจะเอ่ยต่อ “พี่ชายวางใจเถิด ข้าแค่จะไปเยี่ยมญาติที่เยี่ยนฉือ หนทางยังอีกยาวไกล ข้าเป็ผู้หญิงตัวคนเดียว…” นางเอ่ยยังไม่ทันจบก็แสร้งร่ำไห้ออกมา บุรุษเหล่านี้เห็นแล้วรู้สึกปวดใจและสงสารยิ่ง
นางเอ่ยกับทุกคนต่อว่า “ข้าแค่อยากจะถามว่า ขอข้าเดินทางไปกับพวกท่านด้วยได้หรือไม่ หากได้ข้าจะขอบคุณพวกท่านมาก”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้