บทที่ 60 สินค้าที่สูญหายอย่างปริศนา
วันเปิดตลาดนอกเมืองเทียนตู ผู้คนจากที่ต่างๆ ล้วนมารวมตัวกันนอกเมือง และกลายเป็ตลาดชั่วคราวใหญ่โตมโหฬารลากยาวร้อยกว่าลี้ จนแทบจะบดบังถนนทางเข้าออกเมืองเทียนตูอยู่แล้ว
ขบวนรถของหอการค้าตระกูลว่านกับหอการค้าอีกสองแห่งกำลังค่อยๆ เคลื่อนตัวผ่านตลาดที่แออัดนี้ ตลอดทั้ง่เช้าก็เดินหน้าได้เพียงยี่สิบสามสิบลี้เท่านั้น สุดท้ายจนกระทั่งฟ้ามืดก็ยังไม่มีโอกาสได้เข้าเมืองอยู่ดี
หลังจากประตูเมืองปิด พวกเขาก็ทำได้แค่หาที่พักในตลาดอันแสนอลหม่านนี้อีกครั้ง หลังจากตลาดปิดท่ามกลางความวุ่นวายกลับมีกระท่อมที่ปลูกขึ้นชั่วคราวไม่น้อย ถ้ายืนอยู่บนกำแพงสูงของเมืองเทียนตูแล้วกวาดมองลงมายังทั้งสี่ทิศ หลังจากปิดตลาดขยะที่เหลือทิ้งไว้ก็กระจัดกระจายอย่างกับกลีบดอกไม้ที่ร่วงหล่นลอยเคว้งอยู่เหนือผิวน้ำในทะเลสาบ
กำแพงเมืองที่แข็งแกร่งบนพื้นที่ราบเรียบโล่งเตียน ค่ำคืนภายใต้แสงดารา สามารถมองเห็นแสงดาวเป็ดวงๆ ลอยเด่นขึ้นมาได้ไม่ยาก บรรดาพ่อค้าที่ลำบากมาทั้งวันก็ทำรั้วป้องกันอย่างง่าย จากนั้นนำสินค้าที่ยังขายไม่หมดเก็บไว้ด้านใน ส่วนประชาชนในหมู่บ้านใกล้เคียงส่วนใหญ่จะเร่งฝีเท้าเดินทางกลับบ้านแม้ฟ้าจะมืดแล้วก็ตาม ทำให้ตลาดเกือบร้อยลี้แห่งนี้ดูว่างเปล่าไปถนัดตา
ลั่วถูรีบเดินตามกลุ่มหอการค้าทั้งสาม เพราะเมื่อประตูเมืองปิดลง ก็เข้าเมืองไม่ได้แล้ว ดังนั้นก็ทำได้เพียงตั้งค่ายอยู่นอกเมือง ติดตั้งอาคมอย่างง่าย คนของกลุ่มก็ตั้งค่ายเช่นกัน หอการค้าทั้งสามมีสินค้าจำนวนมาก แต่หากนับรวมจำนวนของทหารรับจ้างก็มีไม่น้อยทีเดียว อีกทั้งที่นี่ก็อยู่ใกล้เมืองเทียนตู จึงไม่ต้องกังวลว่าจะเกิดปัญหาขึ้น ขอแค่ฟ้าสว่างเมื่อไร ก็พาคนและม้าเข้าเมืองได้ทันทีแล้ว
……
ใน่เวลากลางดึก ลั่วถูและเจียงิ่กลับถูกเสียงรบกวนบางอย่างปลุกจนตื่น สถานการณ์นอกค่ายสับสนวุ่นวายอย่างมาก ทั่วทั้งค่ายชั่วคราวราวกับจะะเิออกมาอย่างไรอย่างนั้น เขารีบคลุมเสื้อให้เจียงิ่อย่างรวดเร็ว ราวกับรู้ว่าด้านนอกเกิดเื่บางอย่างขึ้นแล้ว
“คุณชายลั่ว... ” คนรับใช้คนหนึ่งของตระกูลว่านยกคบเพลิงขึ้นเมื่อเห็นว่าลั่วถูเดินออกมา พลางเอ่ยเรียกออกมาด้วยสีหน้าขาวซีดเล็กน้อย
“พี่ว่านซื่อ เกิดเื่อะไรขึ้นหรือ?” ลั่วถูได้แต่ถามด้วยความใ
“เมื่อคืนเกิดเื่แล้ว นายท่านให้พวกเราไปค้นหาทุกกระโจม” สีหน้าของว่านซื่อย่ำแย่เสียจนดูไม่ได้ พลางกล่าวด้วยเสียงแหบแห้ง
“อะไรนะ? เกิดอะไรขึ้น?” ลั่วถูกับเจียงิ่เดินออกมา และที่จริงแล้วกระโจมของพวกเขาไม่มีของเท่าไรนัก นอกจากของเล็กน้อยที่ซื้อมาเมื่อวานไม่กี่ชิ้น ของอย่างอื่นมองปราดเดียวก็เห็นหมด มิหนำซ้ำเพราะว่าเป็ฤดูร้อนแม้แต่ผ้าห่มสักผืนก็ไม่มี มีแค่เสื้อขนสัตว์สองตัวก็แทบจะเรียกได้ว่าเป็สัมภาระทั้งหมดแล้ว แน่นอนว่าดาบของลั่วถูก็วางอยู่ข้างเสื้อขนสัตว์เช่นกัน
“สินค้าของพวกเราถูกขโมยไปหมดแล้ว...”
“อะไรนะ สินค้าของพวกเราถูกขโมย... ” ลั่วถูกับเจียงิ่แทบจะถามออกมาพร้อมกันด้วยความตกตะลึง จากนั้นไม่สนใจท่าทางของว่านซื่อรีบรุดหน้าไปยังที่ตั้งสินค้าของหอการค้าทั้งสาม เมื่อพวกเขารีบไปถึง ก็มีคนมุงดูอยู่เต็มไปหมดแล้ว ผู้รับผิดชอบของหอการค้าทั้งสามมาถึงกันพร้อมหน้า แถมยังมีทหารรับจ้างประสบการณ์โชกโชนหลายคน กำลังสำรวจที่เกิดเหตุเพื่อตามหาเบาะแส แน่นอนว่าคนอื่นๆ ก็เริ่มออกค้นหาเบาะแสที่น่าสงสัยจากทั่วทุกสารทิศเช่นกัน และสิ่งที่ลั่วถูได้เห็นคือสินค้าที่เดิมที่มีอยู่เต็มยี่สิบกว่าคันรถกลับหายไปทั้งหมด บนพื้นมีสินค้าที่ตกหล่นอยู่บ้างชิ้นสองชิ้น
“เป็อย่างนี้ไปได้อย่างไร?” เจียงิ่กล่าวกับตัวเองอย่างช่วยไม่ได้
“เถ้าแก่ว่าน เกิดอะไรขึ้นกันแน่? มีเบาะแสอะไรหรือไม่?” ลั่วถูเบียดกลุ่มคนออกมาและเอ่ยถามออกไปอย่างใ
สีหน้าของว่านเจียฉายปรากฏแววเครียดขมึง สินค้าในครั้งนี้ เขาทุ่มเทจ่ายค่าตอบแทนไปมากเพื่อนำเข้าจากเมืองเว่ยยาง ถ้าสินค้าครั้งนี้หายไปจริง เกรงว่าครั้งนี้ทั้งหอการค้าคงเสียหายหนักเอาการเป็แน่ เขาคิดไม่ถึงเลยว่า หลังจากเอาชนะโจรที่คิดดักปล้นครั้งที่แล้วไปได้ พวกเขากลับต้องถูกขโมยสินค้าพร้อมกันถึงสามหอการค้าที่นอกเมืองเทียนตูเช่นนี้
“สินค้าของพวกเราถูกคนขโมยไปทั้งหมด... ” ในสายตาของว่านเจียฉายแฝงไว้ซึ่งจิตสังหารอันเข้มข้น บนพื้นมีศพอยู่หลายศพทั้งร่างเป็สีดำสนิท ราวกับถูกพิษชนิดพิเศษบางอย่าง เป็ศพของพี่น้องที่รับหน้าที่เฝ้าสินค้าเมื่อคืนไม่ผิดแน่ ทหารรับจ้างที่เฝ้าสินค้ากลุ่มนี้ตายอย่างไร้สุ้มเสียงยิ่งนัก
“คนร้ายหนีไปทางไหน?” ลั่วถูถามอย่างใ
“หัวหน้ากู้พาคนตามไปหมดแล้ว เหลือไว้แต่ศพไม่กี่ศพ”
ลั่วถูนึกประหลาดใจขึ้นมาอย่างเฉียบพลัน เขาพบว่าม้าทั้งหมดในค่ายถูกวางยาพิษทั้งหมด ไม่มีม้าให้ใช้ได้อีก พอเห็นกลุ่มคนที่เหลืออยู่ในค่าย ก็เข้าใจขึ้นมาทันทีว่าเหตุใดคนเหล่านี้ถึงไม่อาจตามไปพร้อมกันได้ เกรงว่าคนร้ายเ่าั้คงรีบขี่ม้าเร็วหนีไปทั้งหมด ในเมื่อไม่มีม้าให้ใช้ ก็ไม่มีทางไล่ตามอีกฝ่ายทัน
“นายท่าน บนร่างของพวกเขาพบสิ่งนี้ขอรับ!” คนรับใช้คนหนึ่งของตระกูลว่านส่งป้ายชื่อหน้าตาพิลึกพิลั่นให้ผู้เป็นาย เพียงแต่ป้ายชื่อนี้เขาก็จนปัญญาจะเปิดมัน!
“สิ่งของตัวแทนบนร่างของคนร้าย เป็ไปได้ว่าจะเป็ป้ายประจำตัว แต่เกรงว่าป้ายชื่อนี้กลับ้าสายเืพิเศษของผู้สืบทอดเท่านั้นถึงจะเปิดได้”
“แกร๊ก... ” ว่านเจียฉายลูบคลำไปบนลวดลายประหลาดบนป้ายชื่อนี้ ผ่านไปครู่หนึ่ง ป้ายชื่อนั้นอยู่ดีๆ ก็เปิดออกเองเสียอย่างนั้น ตัวอักษรขนาดเล็กถูกทำขึ้นอย่างประณีตบนด้านในของป้ายปรากฏสู่สายตาทันที
“ลั่วฉวินอิง!” สีหน้าของว่านเจียฉายเ็าขึ้นทันที
“คนนี้ข้าเคยได้ยิน เหมือนจะเป็อัจฉริยะตระกูลลั่วในสำนักจ๋าเสวีย!” ตอนนี้สายตาของคนแทบทั้งหมดจับจ้องมาที่ลั่วถูเป็ตาเดียว เพราะพวกเขารู้ดีว่าลั่วถูเองก็มาจากตระกูลลั่ว!
ลั่วถูโบกมือเป็พัลวันพลางกล่าวว่า “ตระกูลลั่วมีคนที่ชื่อลั่วฉวินอิงคนหนึ่งจริง เพียงแต่หลายปีมานี้ข้าไม่เคยพบเขาสักครั้ง ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาหน้าตาเป็อย่างไร แต่ป้ายชื่อนี้มีเพียงคนตระกูลลั่วที่เปิดิญญาสำเร็จเท่านั้นจึงจะมีได้ ข้าเป็เพียงขยะคนหนึ่ง บางที่หลายปีนี้ ตระกูลลั่วคงลืมขยะอย่างข้าแล้วไปแล้ว”
ท่าทีของว่านเจียฉายเ็าเหลือเกิน หากเื่นี้เกี่ยวข้องกับตระกูลลั่วจริง เขาก็ยากจะทำใจเชื่อว่าเื่นี้ไม่เกี่ยวกับลั่วถู ต่อให้ลั่วถูจะเป็เพียงคนธรรมดาที่ยังไม่เปิดิญญาก็ตาม แต่เื่ที่บอกว่าเ้าเด็กนี่เป็เพียงขยะ พวกเขาไม่มีวันเชื่อแน่นอน ตลอดทางนับสิบกว่าวันมานี้ การแสดงออกของลั่วถูทำให้พวกเขาได้รู้ว่าเด็กหนุ่มตรงหน้าไม่ใช่ธรรมดาเลย โดยเฉพาะการคาดเดาเื่การลอบโจมตีในคืนนั้น ลั่วถูถึงกับสังหารยอดฝีมือที่อย่างน้อยเป็ถึงศิษย์าขั้นสี่ได้ด้วยตัวเอง
“แต่ถ้าเื่นี้เกี่ยวข้องกับตระกูลลั่วจริง ข้าพอจะรู้สถานที่ตั้งค่ายนอกเมืองของตระกูลลั่วทั้งสองแห่ง ในเมื่อฝ่ายตรงข้ามขโมยสินค้าขนาดใหญ่ ต้องไม่มีทางขนเข้าเมืองได้แน่ ก่อนฟ้าสาง เกรงว่าพวกเขาคงต้องนำสินค้าไปที่ค่ายเพื่อเตรียมคัดแยกของ ถึงข้าจะเป็คนตระกูลลั่ว แต่หากพวกเขาทำเื่เช่นนี้จริง เช่นนั้นข้าขอความกรุณาเถ้าแก่ว่านโปรดมอบหน้าไม้ให้ข้าสักหนึ่งคัน ข้าไม่รังเกียจหากต้องสังหารญาติของตัวเองเพื่อความชอบธรรม” ลั่วถูกล่าวอย่างจริงจัง
“เช่นนั้นเชิญน้องลั่วนำทางเถอะ!” ว่านเจียฉายกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักอึ้ง เขาหวังเหลือเกินว่าลั่วถูจะไม่ใช่คนทำเื่นี้ ดูจากท่าทีของลั่วถู ก็เหมือนจะไม่เกี่ยวข้องกับเื่นี้จริงดังว่า และก็จริงของลั่วถู หากคนกลุ่มนั้นขโมยของไปมากขนาดนี้ ต้องไม่มีทางเข้าเมืองในตอนกลางคืนได้แน่ เช่นนั้นก็มีแต่ต้องพักอยู่ที่ค่ายเท่านั้น ถ้าพรุ่งนี้ถึงเวลาเปิดตลาด ก็เป็ไปได้มากทีเดียวที่พวกนั้นจะนำของไปขายที่ตลาดได้ในเวลาสั้นๆ เมื่อถึงเวลานั้น ต่อให้พวกเขาคิดตามหาสินค้าของตัวเองคงยากขึ้นหลายเท่าตัวนัก แต่ตอนนี้เขากลับสงสัยลั่วถูอยู่อย่างหนึ่ง เป็ไปได้ไหมว่าจะเป็คนในร่วมมือกับคนนอก ทว่าถ้าเป็เช่นนี้จริง ลั่วถูคงตามก็ควรจะพวกนั้นหนีไปแล้ว จะมานอนอยู่ในค่ายอย่างสบายใจได้อย่างไร อย่างน้อยก็คงไม่มีทางนิ่งสงบได้ถึงเพียงนี้
เมื่อออกจากค่าย ลั่วถูก็เห็นศพอยู่บนพื้นหลายศพ ส่วนเจียงิ่พอมองไปที่ศพเหล่านี้ นางก็ได้แต่กลอกตาไปมาอย่างห้ามไม่ได้... ศพเหล่านี้นางรู้จักดี เพราะศพพวกนี้คือศพที่เมื่อวานตอนกลางวันลั่วถูบอกว่าให้เก็บไว้เพราะยังมีประโยชน์อยู่บ้าง เพียงแต่ในตอนนี้พอทั้งหมดปรากฏอยู่นอกค่าย ดูๆ ไปแล้ว ก็เหมือนกับถูกทหารที่ไล่ตามมายิงตายตอนกำลังหลบหนี
“พวกหัวหน้ากู้ก็ตามรอยไปทางนี้หรือ?” ลั่วถูถามกับคนข้างตัว
“มิผิด!”
“เช่นนั้นพวกเรารีบเข้าหน่อยเถอะ ตระกูลลั่วมีค่ายอยู่ทางนี้จริง ถ้าเป็ฝีมือพวกเขา บางทีพวกเราอาจเอาสินค้ากลับมาทัน... ” สีหน้าของลั่วถูเปลี่ยนไปเล็กน้อย จากนั้นยกคบเพลิงขึ้นแล้วเริ่มออกวิ่ง ตอนนี้ม้าทุกตัวในค่ายดูเหมือนจะถูกพิษกันทั้งหมด พวกเขามีแต่ต้องวิ่งอย่างรวดเร็วแทน
……
ในตลาดนอกเมืองเทียนตู มหาอำนาจมากมายของเผ่ามนุษย์ล้วนตั้งค่ายอยู่ที่นี่ เพราะในสนามรบฝานเหรินมีสินค้ามากมายกลับมา ด้วยเหตุนี้เหล่ามหาอำนาจถึงได้ตั้งค่ายเพื่อแย่งรับซื้อสินค้าที่มาจากสนามรบฝานเหรินก่อนหนึ่งก้าว บางทีก็ใช้โอกาสนี้ขายสินค้าจำนวนมากออกไปก็มี ถึงได้ตั้งค่ายไว้ด้านนอก จนเรียกได้ว่าเป็โกดังขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง
ทุกวันที่หนึ่งและสิบห้าของเดือนนอกเมืองเทียนตูจะมีการตั้งตลาด แม้ส่วนมากจะมาจากประชาชนมนุษย์ในหมู่บ้านใกล้ๆ รอบตัวเมือง พวกเขาอาจไม่ได้ร่ำรวย แต่ด้วยคนจำนวนมหาศาลนี้ ก็สามารถสร้างการหมุนเวียนเงินตราครั้งใหญ่ขึ้นได้ เงินที่หาได้ในวันเปิดตลาดสองวันนี้มักจะมากกว่ารายได้ปกติหลายเท่าเท่าตัว การค้าขายเช่นนี้จึงมีผู้คนหลั่งไหลไปร่วมตลาดไม่น้อย
าระหว่างเผ่าในสนามรบฝานเหริน ก็เป็่เวลาทองเช่นกัน เหล่าค่ายของมหาอำนาจต่างๆ นอกเมืองก็ยิ่งสำคัญมากขึ้น กลุ่มที่กลับมาจากเมืองเว่ยยางมักเป็ลูกค้าของบรรดามหาอำนาจเหล่านี้ คนเหล่านี้ไม่้าจ่ายภาษีเข้าเมืองที่ราคาสูง การขายของเสียั้แ่นอกเมืองจึงเป็ทางเลือกที่ดีที่สุด! และนอกจากค่ายแล้วก็มีพวกหมู่บ้านเล็กๆ โดยรอบเพิ่มมากขึ้นเช่นกัน
แน่นอนว่า ค่ายนี้สามารถป้องกันตัวเองได้ในระดับหนึ่ง แต่ไม่มีทางเทียบค่ายทหารในสนามรบได้
ค่ายของตระกูลลั่วไม่นับว่าใหญ่นัก กินพื้นที่ราวสิบหมู่[1] มีกำแพงดินซึ่งทำขึ้นจากดินเหนียวและฟางล้อมรอบ เหลือไว้เพียงประตูเข้าออกสองทาง กำแพงนอกสูงสองจั้งกว่า กว้างห้าฉื่อ แข็งแรงดีเยี่ยม ส่วนด้านในมีเรือนที่ทำขึ้นจากก้อนหินและไม้ดูแล้วประณีตกว่ามาก ห้องจำนวนมากพวกนี้คือโกดัง นับว่าเป็การรักษาความปลอดภัยชั้นเลิศทีเดียว
ตอนที่ลั่วถูพาว่านเจียฉายและคนอื่นๆ ตามมาก็พบกับกู้อวิ๋นเซียวเข้ากลางทาง สาเหตุเป็เพราะม้าของกู้อวิ๋นเซียวพอไล่ตามมาถึงกลางทางก็คลาดกับเป้าหมายเสียแล้ว ทำได้เพียงตามรอยเส้นทางที่คนร้ายหลบหนีไปเท่านั้น การที่พวกเขาคิดจะหารอยเท้าม้าและรอยรถในกลางคืนนั้นไม่ใช่เื่ง่าย จึงเดินได้ช้าไม่เหมือนกับลั่วถูและคนอื่นๆ ที่รู้ทิศทางของเป้าหมายแล้ว จึงวิ่งตรงมาที่เป้าหมายได้ทันที ถึงได้ตามมารวมตัวกันอยู่บนถนนเส้นนี้นั่นเอง
“ค่ายของตระกูลลั่ว?” กู้อวิ๋นเซียวมองที่ลั่วถูอย่างมึนงง จากนั้นมองไปยังค่ายตระกูลลั่วที่เป็เงาดำทะมึนอยู่ตรงหน้า ราวกับฉุกคิดอะไรบางอย่างได้
“เถ้าแก่ว่านพบของตัวแทนของตระกูลลั่วบนร่างผู้ตาย เพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตระกูลลั่ว ข้าจึงพาพวกเขามายังค่ายตระกูลลั่ว ถ้าที่นี่ไม่มีของ เช่นนั้นบางทีอาจมีคนใส่ร้าย แต่ถ้าเป้นฝีมือของคนตระกูลลั่วจริง ข้าจะลองโน้มน้าวคนในตระกูลให้เอาของคืนมาดู เถ้าแก่ว่านดูแลลั่วถูมาตลอดทาง ลั่วถูไม่ใช่คนเนรคุณเช่นนั้น” ทางด้านลั่วถูพอเห็นสายตาของกู้อวิ๋นเซียว ก็กล่าวออกมาอย่างชอบธรรมและน่าเกรงขาม
“ดีมาก! ตามที่เ้ากล่าวมานี้ ข้าแช่กู้ยอมรับเ้าเป็สหายคนหนึ่ง!” กู้อวิ๋นเซียวหัวเราะขึ้นอย่างอดไม่ได้
“พี่ใหญ่กู้ไม่เห็นต้องกล่าวเช่นนี้เลย ข้าจะไปเคาะประตูเอง!” ลั่วถูหัวเราะอย่างจริงใจ จากนั้นเดินไปทางประตูใหญ่ที่ทำจากไม้หนาฉื่อกว่าบานนั้นทันที
[1] หมู่ (亩) เป็หน่วยวัดที่จีนของจีน โดย 1หมู่ = 1/15 เฮกตาร์ หรือประมาณ 0.417ไร่
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้