ฟู่ซินหลางเพิ่งพูดจบ ประโยคต่อมายังไม่ทันได้เอ่ย เหมยเหนียงก็ได้ยินเสียงเอะอะดังมาจากหน้าประตูห้องพัก ดูเหมือนมีคนร้องอุทานเรียกชื่อฟู่ซินหลาง ฟู่ซินหลางได้ยินก็รีบเดินออกไปจากห้องพัก เพียงครู่เดียวเขาก็พาใครบางคนเข้ามาด้วย
คังอิงยังคงนอนแน่นิ่งอยู่บนเตียงคนไข้ โดยมีท่อออกซิเจนเสียบอยู่ที่จมูกและสายน้ำเกลือเจาะอยู่ที่แขน ซึ่งดูไปมาเหมือนคนตายไม่มีผิด
“ที่แท้ก็เป็คังอิงที่เข้าโรงพยาบาลหรอกเหรอ? แสดงว่าเพื่อนร่วมชั้นของฉันคงบอกผิด เธอเป็พยาบาลที่นี่ เธอบอกฉันว่าคุณป่วยเข้าโรงพยาบาล ฉันเลยใแทบแย่” เสียงหญิงสาวดังขึ้น
“ฮวนฮวน เธอช่างดีจริงๆ แค่ได้ยินว่าฉันมีเื่ ก็รีบมาทันที” เสียงของฟู่ซินหลางอ่อนโยนและอ่อนหวานอย่างที่ไม่เคยเป็ เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงออดอ้อน “ฉันกำลังปรึกษากับแม่ว่า พอคังอิงฟื้นจะหย่ากับหล่อน แล้วแต่งงานกับเธอแทน ตอนนี้ฉันสอบเข้าวิทยาลัยได้แล้ว พ่อแม่ของเธอต้องยินยอมแน่นอน”
คังอิงฟังคำสารภาพของฟู่ซินหลางจนอยากจะอาเจียนออกมา ภรรยาหลวงยังนอนอยู่ตรงนี้แท้ๆ ไม่คิดว่าเขาจะมารำลึกความหลังกับแฟนเก่าอยู่ตรงนั้น
จากความทรงจำของเ้าของร่างเดิม หญิงสาวตรงหน้ามีชื่อว่า อู๋ฮวน แฟนสาวของฟู่ซินหลางตอนที่เขาเรียนอยู่ชั้นมัธยมปลาย ก่อนหน้านี้ที่พวกเขาเลิกรากันไป เพราะฟู่ซินหลางสอบเข้ามหา’ลัยไม่ได้
“ไม่ได้นะ ตอนนี้แกจะหย่ากับคังอิงไม่ได้”
ไม่นึกว่าเหมยเหนียงจะเป็คนแรกที่ออกหน้าคัดค้าน ทำให้คังอิงที่กำลังนอนอยู่บนเตียงตกตะลึง ยายแก่คนนี้ไม่ใช่ว่าเกลียดคังอิงมากหรอกหรือ? ทำไมถึงได้ช่วยเหลือเธอ?
“ทำไมซินหลางจะหย่ากับคังอิงไม่ได้คะ? ตอนนั้นฉันกับซินหลาง เรารักกันมาก แต่เพราะเขาสอบเข้ามหา’ลัยไม่ได้ พ่อแม่ฉันก็เลยไม่ยอมรับเขา ต่อมาเขามุ่งมั่นที่จะเรียนซ้ำชั้นเพื่อความรักของพวกเรา แต่ตอนนั้นคุณป้ากลับบังคับให้เขาแต่งงานกับผู้หญิงคนอื่น นี่คุณป้าจงใจแก้แค้นครอบครัวของฉันหรือเปล่าคะ” ดูเหมือนว่าอู๋ฮวนจะทนไม่ไหว จึงขึ้นเสียงใส่เหมยเหนียง
เหมยเหนียงแค่นเสียง ฮึ ในลำคอ ดวงตาขุ่นมัวทั้งสองข้างจ้องมองไปที่อู๋ฮวนแล้วกล่าวว่า “เธอคิดว่าฉันไม่รู้งั้นเหรอว่า เธอเป็ลูกสาวคนเดียวในครอบครัว แถมยังเอาแต่ใจมาั้แ่เด็กๆ บ้านเราจน ซินหลางจะไปเรียนมหา’ลัยยังต้องพึ่งพาให้คังอิงทำงานหาเงินมาเป็ค่าใช้จ่ายให้ หากไม่มีคังอิง ซินหลางคงไม่มีเงินแม้แต่จะไปเรียนมหา’ลัยด้วยซ้ำ พ่อแม่ของเธอจะยอมควักเงินออกมาจ่ายค่าเล่าเรียนและค่าครองชีพให้ซินหลางหรือเปล่าล่ะ? แน่นอนว่าไม่ยอมแน่ๆ ไม่ใช่หรือไง?”
ทันใดนั้นอู๋ฮวนก็พูดไม่ออก พ่อแม่ของเธอเอาแต่ดูแคลนฟู่ซินหลางและภูมิหลังครอบครัวของเขา เวลานี้หากฟู่ซินหลางคิดจะกินข้าวนิ่ม [1] พวกเขาคงไม่ยอมแน่ๆ
“อีกอย่าง เธอเองก็บอบบางมาก ฉันเองก็สุขภาพไม่ค่อยดี ปกติแล้วใครจะเป็คนชงชา ทำอาหาร ทำงานบ้าน และดูแลสุขภาพของฉัน ทุกเื่พวกนี้คังอิงทำได้หมด แล้วเธอทำได้ไหม? ซินหลางไปเรียนมหา’ลัย เขาคงไม่มีเวลาอยู่บ้านและคอยดูแลฉันหรอกนะ ดังนั้นภาระหน้าที่ในการดูแลฉันก็จะตกเป็ของลูกสะใภ้ เธอทำเื่พวกนี้ได้ไหมล่ะ?”
เป็อีกครั้งที่อู๋ฮวนก็พูดไม่ออก เธอ้าความรักก็จริง แต่การชงชา ทำอาหาร และการดูแลแม่สามีพวกนี้หนักหนาเกินไป ใบหน้าของเธอเริ่มซีดเผือด
ฟู่ซินหลางเห็นคนที่ตนเองหมายปองกำลังลำบากใจ เขาก็รีบหันไปพูดกับแม่ของตนว่า “แม่ครับ ถ้าจะโทษก็ต้องโทษบ้านของเราที่ยากจน ผมพยายามสอบเข้ามหา’ลัย ก็เพราะอยากให้แม่มีชีวิตที่ดีขึ้น แล้วก็อยากแต่งงานกับอู๋ฮวน ชาตินี้หากแต่งงานกับเธอไม่ได้ ต่อให้ผมตายก็คงไม่สงบสุขแน่ๆ”
เหมยเหนียงแค่นเสียงอีกครั้ง แล้วกล่าวว่า “ฉันไม่ได้หมายความว่าจะขัดขวางไม่ให้พวกแกอยู่ด้วยกันสักหน่อย แต่อย่างน้อยก็ทนใช้คังอิงไปอีกสามปีก่อน ให้หล่อนหาเลี้ยงแกจนกว่าจะเรียนจบมหา’ลัย ให้อาการป่วยของแม่ดีขึ้นก่อน พอแกเรียนจบแล้วได้งานทำ ค่อยหย่ากับคังอิงก็ยังไม่สาย”
กล่าวจบ เหมยเหนียงก็หันไปมองอู๋ฮวนด้วยสายตาดุดัน
เมื่ออู๋ฮวนคิดว่าตนเองต้องดูแลยายแก่หัวแข็งอารมณ์แปรปรวนแบบนี้ เธอก็รู้สึกปั่นป่วนในใจขึ้นมา เธอหดตัวลงโดยไม่กล้าพูดอะไรอีก
พอเห็นสถานการณ์ดังกล่าว ฟู่ซินหลางก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากถอนหายใจยาว ก่อนพูดรวดเดียวว่า “ฮวนฮวน ครั้งนี้ทำให้เธอลำบากใจแล้ว ทนรออีกสามปีนะ อย่างไรฉันก็ไม่เคยหลับนอนกับคังอิงมาก่อน แต่ก่อนไม่เคย ต่อไปก็จะไม่เคย จิตใจและร่างกายของฉันเป็ของเธอคนเดียว วางใจเถอะ!”
คังอิงที่กำลังนอนอยู่บนเตียงคนไข้ได้ยินบทสนทนาของคนทั้งสามก็โกรธมาก พวกเขาเห็นคังอิงเป็ตัวอะไร? ทาสรับใช้ หรือแม่บ้านทำงานฟรี? พวกเขาใช้การแต่งงานเป็กรงขังเธอเอาไว้ เพื่อเอารัดเอาเปรียบเธอ ซ้ำยังจะให้เธอทำงานหาเงิน และดูแลแม่สามีอีก...
ผู้หญิงโง่เขลาคนนี้ทนมาสามปี แล้วยังไม่ยอมหย่าอีกงั้นหรือ ไม่ได้การ พอเธอขยับตัวได้ สิ่งแรกที่เธอจะทำก็คือหย่าขาดกับฟู่ซินหลาง
คังอิงหลับไปอย่างสะลึมสะลือภายใต้ฤทธิ์ยา เธอไม่ได้ยินสิ่งที่พวกเขากำลังปรึกษาหารือกันอีก
จนกระทั่งเธอตื่นขึ้นมาก็เห็นพยาบาลคนหนึ่งกำลังเปลี่ยนถุงน้ำเกลือให้เธอ พอพยาบาลก้มหน้าลงก็เห็นว่าคังอิงลืมตาขึ้นมาแล้ว จึงกล่าวอย่างดีใจ “คุณฟื้นแล้วเหรอ? ฉันคิดว่าต้องใช้เวลาสักพักหนึ่งกว่าคุณจะฟื้น คุณหมอบอกว่าอาการาเ็ที่สมองของคุณอันตรายมาก อาจจะกลายเป็เ้าหญิงนิทราได้ แต่ไม่คิดเลยว่าคุณจะฟื้นเร็วขนาดนี้!
พยาบาลรู้สึกตื่นเต้นจนรีบไปตามหมอกลุ่มหนึ่งให้มาตรวจอาการของเธออย่างละเอียด คุณหมอพูดซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่านี่เป็ปาฏิหาริย์อย่างแท้จริง เธอไม่เพียงแต่จะฟื้นตัวอย่างรวดเร็วหลังจากได้รับาเ็สาหัสขนาดนั้น แต่สติสัมปชัญญะของเธอยังอยู่ครบอีกด้วย ช่างโชคดีเสียจริง
หลังจากที่คังอิงฟื้นขึ้นมา เธอก็ฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว หมอบอกว่าให้นอนพักดูอาการที่โรงพยาบาลอีกสองสามวัน หากไม่มีอะไรผิดปกติก็สามารถออกจากโรงพยาบาลได้
พอฟู่ซินหลางกับเหมยเหนียงได้ยินว่าคังอิงฟื้นแล้ว พวกเขาก็มาเยี่ยมเธอแค่ครั้งเดียว จากนั้นก็หายไปเลย
แต่เดิมคังอิงก็ไม่ได้อยากเจอแม่ลูกน่ารังเกียจคู่นี้ พอพวกเขาไม่มาเยี่ยมที่โรงพยาบาล เธอก็ยิ่งรู้สึกสบายใจมากขึ้นไปอีก
คืนนั้นคังอิงถามพยาบาลจนรู้ว่า จูปั๋วิซึ่งเป็แพทย์เ้าของไข้เธอเข้างานกะดึก วันนั้นพอจูปั๋วิว่าง่สองทุ่มกว่าๆ เธอจึงไปหาเขาที่ห้องทำงาน
เมื่อจูปั๋วิเห็นคังอิงปรากฏตัวในห้องทำงานของตนด้วยสีหน้าไม่สบายใจ เขาจึงเอ่ยถาม “คังอิง เป็อะไรหรือเปล่า? รู้สึกไม่สบายตรงไหนไหม?”
“คุณหมอจู คุณช่วยเขียนใบรับรองให้ฉันหน่อยได้ไหมคะ?” คังอิงกล่าวถึงจุดประสงค์ของการมาที่นี่
“ใบรับรองอะไร?” จูปั๋วิผงะไป
“ตอนที่ฉันเข้าโรงพยาบาล ไม่ใช่ว่าบนตัวฉันมีรอยแผลเต็มไปหมดหรอกหรือคะ? รวมถึงอาการาเ็ที่กะโหลกและสมองของฉันทั้งหมด ก็เป็เพราะฟู่ซินหลางที่เป็สามีทำร้ายทั้งนั้น ฉันอยากให้คุณหมอช่วยเขียนใบรับรองให้ฉันหน่อยค่ะ”
คำพูดของคังอิงทำให้คุณหมอเงียบไปชั่วขณะ เขารู้ดีว่าาแพวกนั้นเกิดขึ้นได้อย่างไร แต่ก่อนหน้านี้เหมยเหนียงเคยถือเหล้าเจี้ยนหนานชุน [2] มาเยี่ยมเขาที่บ้าน และบอกให้เขาช่วยปิดเื่นี้เอาไว้ จูปั๋วิจึงตัดสินใจไม่ได้ในตอนนี้
พอเห็นท่าทางของคุณหมอ คังอิงก็รู้ทันทีว่าเขาถูกซื้อตัวไปแล้ว เธอจึงเอ่ยขึ้นว่า “คุณหมอจู ตอนที่ฉันได้รับาเ็ มีคนในโรงพยาบาลเห็นตั้งเยอะแยะ ตามกฎหมายความปลอดภัยสาธารณะ หากทางโรงพยาบาลพบผู้ป่วยที่ต้องสงสัยว่าได้รับาเ็จากการใช้ความรุนแรง พวกคุณจะต้องรายงานต่อตำรวจไม่ใช่หรือคะ?
่นี้ฉันเอาแต่รอตำรวจมาหา แต่ก็ไม่มีวี่แววเลย ทางโรงพยาบาลปกปิดเื่นี้ไว้เหรอคะ? ถึงตอนนั้นหากเกิดเื่อะไรขึ้นกับฉันละก็ พวกคุณจะต้องถูกดำเนินคดีข้อหาปกปิดความผิด ซึ่งมันจะส่งผลกระทบต่ออนาคตของคุณนะคะ!”
จูปั๋วิได้ยินดังนั้นก็พลันตัวสั่นเทิ้ม เขาเป็ปัญญาชนที่รักษาหน้าตาของตนเอง แถมยังรู้กฎหมายอยู่บ้าง แต่เขานึกไม่ถึงว่าคังอิงจะรู้กฎหมายเช่นกัน ท่าทางของเธอไม่เหมือนผู้หญิงที่ไม่มีความรู้อะไรเลย อันที่จริงเขาก็เห็นใจคังอิงอยู่ไม่น้อย หลังจากที่ลังเลใจอยู่สักพักหนึ่ง เขาก็เอ่ยขึ้น
“แม่สามีของคุณบอกว่า พรุ่งนี้จะมาทำเื่พาคุณออกจากโรงพยาบาล ผมกำลังเขียนบันทึกการรักษาของคุณอยู่ ที่นี่ไม่ใช่หน่วยงานตรวจสอบทางกฎหมาย ผมไม่สามารถออกใบรับรองใดๆ ให้คุณได้ เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน เดี๋ยวผมจะถ่ายเอกสารบันทึกการรักษาให้คุณหนึ่งชุด แต่คุณอย่าบอกใครว่าผมเป็คนให้คุณก็แล้วกัน”
คังอิงพยักหน้ารับ ขอเพียงเธอมีหลักฐานก็พอแล้ว หากเธอไม่ได้บันทึกการรักษาตอนนี้ เหมยเหนียงคงไม่ปล่อยให้เธอได้เห็นมันอีก
เชิงอรรถ
[1] กินข้าวนิ่ม หมายถึง ผู้ชายที่เกาะผู้หญิงกิน
[2] เหล้าเจี้ยนหนานชุน คือ หนึ่งในสิบยอดสุราของจีน กล่าวว่า หลี่ไป๋ กวีเอกสมัยราชวงศ์ถังถึงกับขายเสื้อคลุมขนสัตว์เพื่อนำไปซื้อสุรานี้ เจี้ยนหนานชุนเป็สุราขาว ดื่มแล้วซ่านในปาก แต่ไม่กัดลิ้น กลิ่นหอมแรงเย้ายวน ดีกรีของสุราอยู่ที่ 52 และ 60
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้