“ได้ๆ รู้แล้ว ก็แค่ผ้าผืนเดียวเองไม่ใช่หรือ ตอนนี้ก็ใกล้จะเป็ฤดูใบไม้ผลิแล้ว รอจนข้าล่าเอาหนังดีๆ มาได้ เราค่อยเอาไปแลกผ้ามาสักสองสามพับก็ใช้ได้แล้ว”
ในที่สุดมือของพวกผู้ชายก็ไม่ถูกปัดทิ้งอีก ลมหนาวนอกหน้าต่างแอบฟังเสียงความเคลื่อนไหวภายในห้องนอนพวกเขา ก็พาให้เขินอายจนพากันพัดหนีหายไปในความมืด
บทสนทนาและฉากเช่นนี้คล้ายว่าจะจัดแสดงอยู่ในบ้านเกือบทุกหลังในหมู่บ้านเขาหมีแห่งนี้ เช้าวันรุ่งขึ้นการถกเถียงกันระหว่างแม่สามีและลูกสะใภ้ก็เกิดขึ้นในหลายบ้านดังที่คาดการณ์ไว้
แต่สิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าแม่สามีกับลูกสะใภ้ ต่อให้เป็ยามปกติยังไม่ถูกกันได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงกรณีที่มีอย่างอื่นมาเข้าร่วมด้วย ทุกคนก็เคยชินเสียแล้ว ก็แค่ทะเลาะกันสองสามประโยคเท่านั้น จะอย่างไรก็ต้องใช้ชีวิตร่วมกันต่อไป
ส่วนลู่เสี่ยวหมี่นั้นไม่ได้รู้เื่พวกนี้ แน่นอนว่าต่อให้รู้ก็ทำอะไรไม่ได้ เพราะกระทั่งยุคปัจจุบันที่มนุษย์พัฒนาขึ้นมามีเหตุมีผลแล้วก็ยังแก้ปัญหานี้ไม่ได้เลย
ยามนี้ลู่เสี่ยวหมี่กำลังตั้งหน้าตั้งตารอข่าวคราวจากเถ้าแก่เฉินอยู่ ถึงแม้ชายชราคนนั้นจะมีเส้นสาย เก่งกาจเื่ทำการค้า แต่จะอย่างไรเื่นี้ก็เรียกได้ว่ายังไม่ได้รับบทสรุป นางจึงยังไม่อาจวางใจได้
ผ่านไปเช่นนี้สองวัน ตอนตื่นขึ้นมารับประทานอาหารเช้า เห็นว่าแสงอาทิตย์อบอุ่นขึ้นมาก คนสกุลลู่จึงทำกิจวัตรใหม่ของพวกเขาใน่นี้เป็อย่างแรกก็คือการเปิดให้พืชผักในเพิงเพาะเลี้ยงได้รับแสงแดดเต็มที่ ทำให้พืชผักทั้งสวนอบอุ่นขึ้น เร่งให้พวกมันโตไวยิ่งขึ้น
เพิ่งทำไปได้ครึ่งเดียว บรรดาสะใภ้ในหมู่บ้านก็มารวมตัวกัน
เสี่ยวหมี่เห็นแล้วก็แปลกใจ ถามว่า “พี่สะใภ้ทั้งหลายมาได้อย่างไรเ้าคะ?”
“พวกเรามาช่วยเ้าอย่างไรเล่า เมื่อวานพ่อของเด็กๆ กลับไปบอกว่าผ้าห่มและเสื้อคลุมที่ปิดทับอยู่้านั้นขาดวิ่นเกินไป จะเลิกขึ้นหรือคลุมลงล้วนลำบาก พวกเราจึงเอาเข็มกับด้ายมาช่วยปะให้”
“แหม พวกพี่สะใภ้คิดอะไรได้รอบคอบจริงๆ เ้าค่ะ ข้าแค่รู้สึกว่าใช้ยาก กลับคิดไม่ถึงเื่การปะผ้าที่ขาด”
“สมองเ้าเก็บเอาไว้ขบคิดเื่การหาเงินก็พอแล้ว เื่เล็กๆ พวกนี้ ให้พวกเราจัดการเอง”
พวกผู้หญิงพูดยิ้มๆ จากนั้นก็เริ่มลงมือทำงานกัน
ถึงแม้พระอาทิตย์จะร้อนแรงขึ้นบ้างแล้ว แต่ก็ยังไม่นับว่าอบอุ่นมากมาย ลู่เสี่ยวหมี่กลัวว่าทุกคนจะหนาวตาย จึงกลับเข้าไปต้มน้ำร้อนแล้วยกมาให้พวกเขาดื่มเป็ระยะๆ
เฝิงเจี่ยนช่วยพี่รองลู่โกยดินกลบมุมเพิงผักด้านล่าง ผู้เฒ่าหยางยกน้ำร้อนเข้ามา ยิ้มกล่าวว่า “คุณชาย หมู่บ้านเขาหมีนี้ถึงแม้จะทุรกันดารห่างไกล แต่ชาวบ้านล้วนช่วยเหลือเกื้อกูลกัน ช่างหาได้ยากยิ่งนัก”
เฝิงเจี่ยนพยักหน้า กล่าวเสียงเรียบว่า “การใช้ชีวิตโดยไม่ต้องหวาดระแวง ไม่ต้องสร้างกำแพงขึ้นมาเช่นนี้ก็นับว่าสบายใจนัก”
ผู้เฒ่าหยางกำลังจะตอบรับ ก็ได้ยินเสียงเกาเหรินะโว่า “เสี่ยวหมี่ เสี่ยวหมี่ ตาเฒ่าเฉินมาแล้ว”
“จริงหรือ” เสี่ยวหมี่ะโขึ้นยืนอย่างตื่นเต้น ตอนที่วิ่งผ่านเกาเหรินไปยังไม่ลืมเคาะศีรษะเขา “อย่าลืมสิว่าต้องเรียกพี่ อีกอย่างเถ้าแก่เฉินอายุมากพอจะเป็ปู่เ้าได้แล้ว ห้ามเสียมารยาท”
พูดจบนางก็ไม่สนใจเกาเหรินที่น่าจะโมโหอีกแล้ว รีบวิ่งไปต้อนรับรถม้าของเถ้าแก่เฉิน
เถ้าแก่เฉินรออยู่ข้างรถม้า ไม่มีท่าทีว่าจะเดินไปที่สวนแม้แต่น้อย เห็นเสี่ยวหมี่วิ่งมาหาก็เดินขึ้นหน้าไปสองก้าว พยายามควบคุมเสียงให้ต่ำลง พลางคลี่ยิ้มอย่างสดใสว่า “แม่นางลู่ ยินดีด้วย ยินดีด้วยขอรับ”
ถึงแม้จะไม่รู้ว่าเป็เื่น่ายินดีอะไร แต่ลู่เสี่ยวหมี่ก็รู้สึกวางใจขึ้นมาก
“ยินดีด้วยเช่นกันเ้าค่ะๆ ลำบากเถ้าแก่เฉินต้องวิ่งเต้นแล้ว”
เถ้าแก่เฉินยิ้มตาหยี “พืชผักที่เก็บได้ก่อนหน้านี้ถูกส่งไปที่จวนเ้าเมือง นายท่านผู้นั้นชอบมากจริงๆ ยังบอกว่าเหมาะแก่การต้อนรับฤดูใบไม้ผลิยิ่งนัก จึงตกเงินรางวัล เมื่อคืนนี้มีคนมาหาข้าที่ร้านและจองผักไว้ในราคาสูง เช้านี้ข้าเชิญเขาไปดื่มชาด้วยกัน หลักจากต่อรองกันไปครู่หนึ่งสุดท้ายก็ได้ราคาขายที่พอใจกันทั้งสองฝ่าย ผักโขม ต้นหอมหนึ่งจินหนึ่งตำลึง ส่วนผักชีและผักกาดขาวถูกลงมาหน่อยแค่แปดร้อยอีแปะ”
“ราคาสูงขนาดนี้เชียวหรือ?” เสี่ยวหมี่ตกตะลึงจนตาลุกวาว นางเองก็พอรู้เื่ราคาผักอยู่บ้าง ได้ยินว่าใน่เวลาที่ราคาสูงที่สุด ผักโขมยังขายได้แค่สิบอีแปะต่อหนึ่งจินเท่านั้น ยามที่ถูกหน่อย หนึ่งอีแปะได้สองจินก็มี เช่นนี้เท่ากับว่าราคาสูงขึ้นเป็ร้อยเท่าเห็นจะได้
“ของจะมีราคาเมื่อหายาก” เถ้าแก่เฉินลูบเคราอย่างภาคภูมิใจ “ถึงแม้จะเป็เช่นนี้ ข้ายังไม่คิดจะขายผักอยู่แค่ในเมืองอันโจว ฤดูใบไม้ผลิกำลังจะมาถึงแล้ว ในเมืองมีขบวนพ่อค้าที่จะเดินทางลงใต้มากมาย ข้าตั้งใจจะให้พวกเขานำไปขายที่เมืองข้างเคียงอย่างชิงโจวและเฟิงโจวด้วย ไม่แน่อาจจะได้กำไรงามกว่าเดิม”
“ได้ ฝั่งข้าจะรับผิดชอบปลูกผักให้ดีก็พอ ส่วนเื่ว่าจะขายให้ใคร ราคาเท่าใด ให้ท่านเป็ผู้ตัดสินใจ ส่วนแบ่งสองส่วนของท่านรวมค่าขนส่งและค่าจ้างรถม้า ในแปดส่วนของข้ารวมเงินลงทุนเพาะปลูก ถึงตอนทำบัญชีก็ให้แยกอย่างชัดเจน ไม่ต้องทะเลาะเบาะแว้งกันเพราะเงินตราเป็พอ”
“แน่นอนขอรับ แม่นางลู่โปรดวางใจ”
เมื่อคนทั้งสองสนทนากันเสร็จก็เดินเข้าไปในสวนผัก เมื่อทุกคนได้ยินว่าให้ช่วยกันเก็บเกี่ยวแล้วมอบให้เถ้าแก่เฉินนำไปขายในเมือง ดวงตาทุกคู่จึงจับจ้องไปที่เถ้าแก่เฉิน สายตาของพวกเขาเต็มไปด้วยความเคลือบแคลงและระแวดระวัง แทบอยากจะมองเถ้าแก่เฉินให้ทะลุ กลัวว่าลู่เสี่ยวหมี่จะถูกเขาหลอก
เถ้าแก่เฉินเองก็รู้ดี จึงวางท่าทีเกรงอกเกรงใจเป็ที่สุด ทั้งแนะนำตัวกับทุกคนอย่างชัดเจน “ยินดีที่ได้พบทุกท่านขอรับ ข้าคือเถ้าแก่ร้านอาภรณ์เฉินจี้ ทุกท่านเรียกข้าว่าตาเฒ่าเฉินก็ได้ ก่อนหน้านี้แม่นางลู่มาซื้อผ้าที่ร้านข้า เราจึงได้รู้จักกัน พอดีแม่นางลู่บอกว่า้าขายผัก ข้ารู้จักเถ้าแก่ในโรงเตี๊ยมหลายแห่ง จึงรับงานนี้มาไว้เอง วันหน้าเกรงว่าคงต้องมาที่หมู่บ้านบ่อยๆ ต้องรบกวนท่านทั้งหลายด้วยขอรับ”
“ร้านอาภรณ์เฉินจี้ ร้านใหญ่ใจกลางถนนนั่นน่ะหรือ”
“ใช่ ร้านนั้นนั่นแหละ ข้าเคยเข้าไปซื้อผ้ามาด้วย ราคายุติธรรมดี ตอนที่ออกมา เด็กรับใช้ยังให้เศษผ้าข้ากลับมาทำรองเท้าให้ลูกชายด้วย”
ไม่รอให้พวกผู้ชายพูดอะไร บรรดาผู้หญิงที่ออกไปเดินเลือกซื้อของบ่อยๆ ก็นึกขึ้นได้ว่าร้านอาภรณ์เฉินจี้คือร้านไหน หลายปีมานี้เถ้าแก่เฉินสั่งสมชื่อเสียงอันดีมาโดยตลอด ในที่สุดวันนี้ก็ได้เอามาใช้ พวกผู้หญิงจึงลดความระแวดระวังลงอย่างรวดเร็ว
เมื่อพวกผู้ชายได้ยินเช่นนั้น สีหน้าก็ค่อยๆ ผ่อนคลายลงเช่นกัน อย่างไรเสียอีกฝ่ายก็มีร้านค้าอยู่ในเมืองนี่เอง หากว่าวันไหนเขาหลอกลวงเสี่ยวหมี่ขึ้นมา พวกเขาค่อยไปเรียกร้องความยุติธรรมให้เสี่ยวหมี่ที่นั่นก็แล้วกัน
เด็กรับใช้ของสกุลเฉินที่ติดตามมาด้วย ยามนี้ส่งตะกร้าหวายมาให้ ตะกร้าหวายมีผ้าฝ้ายคลุมไว้ชั้นหนึ่งเพื่อป้องกันความหนาว เมื่อเปิดออกก็เห็นว่าด้านในมีขนมและข้าวพองเคลือบน้ำตาล
เถ้าแก่เฉินยิ้มแย้มแจกจ่ายให้เด็กๆ ไม่แสดงท่าทีรังเกียจแม้ว่าพวกเด็กๆ จะน้ำมูกไหลยืดยาวก็ตาม ทุกคนเห็นว่าเขาเตรียมตัวมาอย่างรอบคอบเช่นนี้ก็พากันเบาใจลง
ผักสดหนึ่งจินราคาหนึ่งตำลึงนับว่าราคาสูงมากจริงๆ เสี่ยวหมี่ห้ามปรามพี่รองลู่ที่อาสามาช่วยตัดผักกับเกาเหรินที่อยากร่วมเล่นสนุก น่าเสียดายที่นางเองก็ใช่ว่าจะถนัดทำสิ่งเหล่านี้นัก
เถ้าแก่เฉินสงสารนางเป็ที่สุด ดีที่พวกท่านป้าหลิวเข้ามารับ่ต่อไปอย่างว่องไว เสี่ยวหมี่เห็นแล้วหน้าแดง
เถ้าแก่เฉินเป็คนฉลาดทั้งยังเก่งเื่ทำการค้า มีชื่อเสียงเื่ความซื่อสัตย์ เขาให้พี่ใหญ่ลู่ช่วยตักน้ำมาถังหนึ่ง เมื่อมัดผักเป็กำๆ เรียบร้อยแล้วก็นำไปจุ่มล้างดินโคลนในถังนั้น ทำเช่นนี้แล้วยิ่งทำให้ผักน่ามองกว่าเดิม ทั้งยังไม่เป็การเอาเปรียบผู้บริโภคสักนิด
ทุกคนเห็นว่าตาเฒ่าคนนี้ดูมีคุณธรรม ก็ยิ่งดีกับเขามากขึ้นอีกสามส่วน
วิธีนี้ของเถ้าแก่เฉินทำให้ลู่เสี่ยวหมี่นึกถึงวิธีรักษาความชุ่มชื่นอย่างง่ายๆ วิธีหนึ่งออกมาได้ ก็เหมือนกับเวลาที่ปักดอกไม้สดไว้ในแจกันที่มีน้ำหล่อเลี้ยงแล้วมันจะบานต่อไปได้อีกหลายวันอย่างไรก็อย่างนั้น ยามตัดผักให้ไว้รากสักนิดแล้วใส่ไว้ในกะละมังที่มีน้ำหล่อเลี้ยงจะทำให้มันสดไปได้อีกสองสามวัน
นางเล่าความคิดของตนให้เถ้าแก่เฉินฟัง เขาก็เห็นด้วยไม่น้อย
รถม้าสกุลเฉินมีตะกร้าหวายใส่ผักวางอยู่เต็ม แม้แต่เถ้าแก่เฉินเองยังต้องเขยิบมานั่งข้างคนขับ ก่อนจะยิ้มแย้มกลับเข้าเมืองไปอย่างอารมณ์ดี
คนในหมู่บ้านบางคนสงสัยอยากจะถามราคาผักที่ขายได้ แต่ขบคิดอยู่สักพักสุดท้ายก็ตัดสินใจไม่ถาม
เช้าวันรุ่งขึ้น เถ้าแก่เฉินมาถึงสวนผักใน่เที่ยง ครั้งนี้เขานำรถม้ามาสองคัน และตะกร้าหวายใส่ผักสิบกว่าใบ
เสี่ยวหมี่เดาว่าเขาคงมาตัดผักสำหรับไปขายที่เมืองข้างเคียง นางจึงเปิดเพิงผักที่สวยที่สุดออกเพื่อเก็บเกี่ยว
ก่อนหน้านี้เก็บผักเกลี้ยงไปสองเพิงแล้ว หลังจากทำการถอนรากพลิกดินแล้วก็ทำการลำเลียงต้นกล้าชุดที่สองออกมาจากเรือนกระจก
ในสวนทุกคนกำลังยุ่ง ส่วนเถ้าแก่เฉินและเสี่ยวหมี่นั้นแยกตัวเข้าไปในเรือนเพื่อคิดค่าผักกัน
พอดีกับที่เฝิงเจี่ยนกำลังเดินออกมาจากเรือนพักฝั่งตะวันออก เสี่ยวหมี่จึงเรียกเขามาด้วยกัน เถ้าแก่เฉินรู้สึกสงสัยในสถานะของเฝิงเจี่ยนเป็อย่างยิ่ง อย่างไรเสียราคาผักก็ไม่ใช่เงินน้อยๆ จะให้คนนอกมาเห็นง่ายๆ ได้อย่างไร
แต่เมื่อเห็นว่าเสี่ยวหมี่สนิทสนมกับเฝิงเจี่ยนเป็อย่างดี เขาจึงไม่พูดสิ่งใดให้มากความ
ผักชุดแรกที่ก่อนหน้านี้นำไปขายให้กับท่านเ้าเมืองถือเป็ใบเบิกทาง ถึงแม้จะได้รับรางวัลจากท่านเ้าเมือง แต่เถ้าแก่เฉินก็มอบให้เป็รางวัลกับผู้ดูแลที่คอยเป็ลูกมือแทน ราคาผักที่จะแบ่งสรรปันส่วนกันจริงๆ ก็คือผักสองสามตะกร้าเมื่อวานนี้ ผักโขมหกสิบจิน กุยช่ายห้าสิบจิน ผักกาดขาวและผักชีห้าสิบห้าจิน ขายได้หนึ่งร้อยเก้าสิบแปดตำลึง
รายได้เป็ของเถ้าแก่เฉินสองส่วน ประมาณสามสิบเก้าตำลึงกับอีกหกอีแปะ เสี่ยวหมี่เพิ่มให้ครบเป็เลขกลมๆ สี่สิบตำลึง
เถ้าแก่เฉินดีใจคลี่ยิ้มออกมา ไม่ใช่เพราะเงินที่นางให้เพิ่มมานี้มากมายแต่อย่างใด แต่เพราะถูกใจนิสัยใจคอของเสี่ยวหมี่ นางปราศจากความตระหนี่ถี่เหนียวคิดเล็กคิดน้อยแบบสาวน้อย ใจกว้างได้อย่างน่าเหลือเชื่อ
ส่วนเสี่ยวหมี่นั้นยิ่งดีใจกว่า ขายผักครั้งแรกก็ได้ส่วนแบ่งถึงหนึ่งร้อยห้าสิบแปดตำลึง ช่างมากมายยิ่งนัก
ต้องรู้ว่าค่าดัดแปลงห้องเรือนกระจก ซื้อผ้าทะเลทำเพิงผัก ต้นทุนของเมล็ดผักในครั้งนี้ทั้งหมดรวมกันแล้วไม่เกินหนึ่งร้อยสามสิบกว่าตำลึงเท่านั้น
ยามนี้กลบต้นทุนได้มิดด้วยการขายในครั้งเดียว วันหน้าไม่ว่าจะขายได้เท่าไร ล้วนเป็กำไร
แน่นอนเมื่ออากาศค่อยๆ อบอุ่นขึ้น ผักของนางก็คงขายไม่ได้ราคาดีถึงเพียงนี้แล้ว แต่กว่าจะถึงเวลาที่คนอื่นสามารถเก็บเกี่ยวพืชผักในสวนของพวกเขาออกมาได้ แตงกวา มะเขือม่วง และถั่วลันเตาในสวนผักสกุลลู่ก็จะสามารถเก็บเกี่ยวได้แล้ว
การนำหน้าคนอื่นๆ หนึ่งก้าวอยู่ตลอดเช่นนี้ เป็วิธีการหากำไรที่ถูกต้องที่สุด
เฝิงเจี่ยนหันไปมองลู่เสี่ยวหมี่ที่ยิ้มปากแทบจะฉีกถึงหูแล้วก็อดยิ้มตามไม่ได้ เดิมทีเขาก็เป็คนหล่อเหลามากอยู่แล้ว เมื่อแย้มยิ้มออกมาเช่นนี้ก็ยิ่งดึงดูดสายตา ทำให้เถ้าแก่เฉินอดทิ้งสายตาบนร่างเขานานขึ้นไม่ได้
เสี่ยวหมี่เก็บตั๋วเงิน ตอนที่นางคิดจะรินน้ำชาเพิ่มให้เถ้าแก่เฉินก็ได้ยินเสียงทะเลาะเบาะแว้งดังมาจากสวนผัก
เถ้าแก่เฉินได้ยินว่าเป็เสียงเด็กรับใช้บ้านตนก็รีบพุ่งตัวออกมา เสี่ยวหมี่เองก็กลอกตา เพราะอีกเสียงหนึ่งที่กำลังะโอยู่นั้นนางก็ฟังออกเช่นกัน นอกเสียจากเ้าคนมุทะลุลู่อู่นั้นยังจะมีใครอื่นอีก
เป็จริงดังคาด ที่สวนผัก ลู่อู่กำลังทะเลาะกับเด็กรับใช้ของเถ้าแก่เฉินหน้าดำหน้าแดง
“ข้าบอกไม่ให้เ้าเด็ดมันเ้ากลับทำ เ้าดูสิ ผักโขมดีๆ กอนี้ถูกมีดเ้าทำลายจนย่อยยับแล้ว กอนี้อย่างน้อยๆ ก็ต้องได้ครึ่งจิน ห้าร้อยอีแปะ เ้าช่างทำเสียของจริงๆ”
เด็กรับใช้รู้สึกเสียดายเสียใจจนแทบจะร้องไห้ออกมา หลายวันมานี้เขาวิ่งเต้นตามหลังเถ้าแก่เฉิน เถ้าแก่บอกพวกเขาแล้วว่า เมื่อการค้านี้สำเร็จลุล่วงจะให้ซองแดงพวกเขาเป็รางวัล ลู่อู่ตัดผักพวกนี้เสียหายก็เท่ากับทำลายเงินทองของพวกเขา
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้