ห้องข้างๆ เหมือนจะเป็พ่อบ้านในจวนจวนหนึ่ง ทางหนึ่งบ่นว่าเ้านายปรนนิบัติรับใช้ยาก ทางหนึ่งก็บ่นว่าเมืองหลวงไม่หรูหราเท่าเจียงหนาน ซื้อหาของดีๆ ไม่ได้เลย
เฉินซิ่นรู้สึกรำคาญ จึงขมวดคิ้วเตรียมจะลุกหนี
แต่สุดท้าย ประโยคถัดไปที่คนทั้งสองพูดกลับรั้งเขาเอาไว้
“เ้าคิดว่าจวิ้นจู่ [1] จะชอบของขวัญแบบไหนกัน ได้ยินว่าปีที่แล้วมีคนถวายผ้ากังต้วน [2] สุดท้ายแม่นางน้อยถึงกับไปฟ้องต่อหน้าพระพักตร์ คนผู้นั้นไม่เพียงไม่ได้รับคำชม ยังถูกริบตำแหน่งพ่อค้าประจำราชวงศ์ไปด้วย”
“นั่นน่ะสิ แม่นางน้อยอายุห้าหกขวบ นิสัยดื้อรั้นดุร้าย แต่กลับเป็ที่โปรดปรานของฮ่องเต้และองค์หญิงน้อย ยามปกติก็ปรนนิบัติรับใช้ยากมากพออยู่แล้ว ถึงวันงานเลี้ยงวันเกิดหากเรายังหาของดีๆ ไปให้ไม่ได้เกรงว่าเราจะต้องเสียงานกันแล้ว”
คนทั้งสองสนทนากันอย่างกลัดกลุ้ม
คิดไม่ถึงยามนี้จะมีคนมาเคาะประตู ไม่รอให้คนทั้งสองเอ่ยปากถาม ประตูก็ถูกเปิดออก
เฉินซิ่นยอมหน้าหนาเดินเข้ามาเอง เขากล่าวขอโทษขอโพยเป็ลำดับแรก “พี่ชายทั้งสอง ข้าน้อยเสียมารยาท รบกวนพวกท่านแล้วๆ”
เฉินซิ่นปิดประตูลงจากนั้นก็ยิ้มแย้มกล่าวต่อไปว่า “พี่ชายทั้งสองอาจไม่ทราบ ข้านั่งอยู่ที่ห้องข้างๆ นี่เอง เมื่อครู่ได้ยินว่าพี่ชายทั้งสองกำลังหาของขวัญวันเกิดให้จวิ้นจู่น้อย บังเอิญข้าได้ของเล่นแปลกๆ มาจากทางเหนือ เกรงว่าจะเป็ของที่เหมาะสมไม่เลว จึงบุกเข้ามาเองโดยพลการ เสียมารยาทแล้วจริงๆ”
สองพ่อบ้านสบตากันทีหนึ่ง ต่างตกตะลึงกันเล็กน้อย แต่เื่ราวมาถึงขั้นนี้แล้ว และพวกเขาก็หาของดีๆ ไม่เจอแล้วจริงๆ จึงอนุญาตให้เฉินซิ่นนั่งลง
สุดท้ายเมื่อสนทนากันไปครู่หนึ่งคนทั้งสองก็ยิ่งวางใจ ถึงแม้สกุลถังจะเป็ตระกูลพ่อค้า แต่เพราะมีความสัมพันธ์กับเว่ยหย่วนโหวจึงมีหน้ามีหน้าตาในเมืองหลวง เฉินซิ่นเป็ผู้ดูแลร้านค้าสกุลถัง จึงไม่ต้องกลัวว่าเขาจะมีอุบายอะไรแอบแฝง
เฉินซิ่นเองก็พอใจที่พ่อบ้านทั้งสองคุยด้วยง่าย ครู่หนึ่งก็ะโเรียกเด็กรับใช้ให้มาเติมชาให้พ่อบ้านทั้งสอง จากนั้นก็ขอตัวออกจากโรงน้ำชาไป
ก่อนหน้านี้เขาได้เตรียมการเอาไว้แล้ว เขาจ้างรถม้าแยกอีกคันให้นำกล่องทั้งสิบหกใบนั้นไปเก็บไว้ที่บ้านส่วนตัวของเขาก่อน ไม่ได้เอาไปเก็บไว้ที่บ้านสกุลถัง ยามนี้จะเอาออกมาก็ง่าย เขาสั่งให้ลูกน้องนำกล่องหนึ่งใบไปที่โรงน้ำชา
สองพ่อบ้านเมื่อเปิดกล่องออก ดวงตาต่างปรากฏความประหลาดใจ เมื่อตรวจสอบกันรอบหนึ่งก็พบว่าไม่มีอะไรผิดปกติ ปรึกษากันอยู่ครู่หนึ่งสุดท้ายก็ตัดสินใจรับไว้
หนึ่งในสองพ่อบ้านล้วงหยิบเงินสิบตำลึงออกมา เฉินซิ่นกลับห้ามไว้ พ่อบ้านคนนั้นโบกมืออย่างรำคาญ กล่าวว่า “พวกเราคนจวนองค์หญิงไม่คิดติดค้างใคร หากมากไปก็ถือเสียว่าเป็รางวัลให้เ้า”
คิดไม่ถึงว่าเฉินซิ่นจะมีสีหน้ากระอักกระอ่วน กล่าวเสียงเบาว่า “ไม่ใช่ขอรับ พี่ชายทั้งสอง ของเล่นชิ้นนี้ข้าเองก็เอามาขายแทนผู้อื่น เ้าของกล่าวไว้แล้วว่า หนึ่งกล่องนี้...อย่างน้อยต้องราคาห้าสิบตำลึง”
“อะไรนะ ห้าสิบตำลึง”
สองพ่อบ้านถลึงตาอยากส่งเสียงด่ายิ่งนัก อย่าว่าแต่ตุ๊กตากระต่ายตัวเดียว ต่อให้เป็กระต่ายจริงๆ แพงแค่ไหนก็ไม่มีทางถึงห้าสิบตำลึง
แต่ก่อนหน้านี้พวกเขาก็รับปากไปแล้ว อีกทั้งครั้งนี้พวกเขารับคำสั่งจากท่านราชบุตรเขยให้มาหาของขวัญให้บุตรสาว เื่เงินจึงไม่จำกัด จึงกัดฟันหยิบตั๋วเงินจำนวนห้าสิบตำลึงออกมา
“ไป กลับจวน หากว่าเ้าสิ่งนี้ไม่เข้าตาจวิ้นจู่ ดูสิว่าเราจะจัดการเ้าอย่างไร”
คนทั้งสองเรียกให้เด็กรับใช้มายกกล่องไป แล้วมุ่งหน้ากลับจวนองค์หญิง
เฉินซิ่นเช็ดเหงื่อบนหน้าผาก กำตั๋วเงินในมือแน่น สุดท้ายก็ถอนหายใจโล่งอกออกมา
บางครั้งเมื่อโอกาสมาถึงแล้วก็ไม่มีใครรู้หรอกว่าจะเป็โชคดีหรือโชคร้าย แต่หากไม่รีบคว้าเอาไว้ อาจจะต้องเสียใจภายหลังก็ได้...
หนึ่งวันหนึ่งคืนเป็เพียงระยะเวลาสั้นๆ แต่ใจของเฉินซิ่นที่เป็กังวล ทำให้รู้สึกว่ายาวนานกว่าปกติ
ในที่สุดก็มาถึงเช้าวันงานวันเกิดของจวิ้นจู่น้อย สุดท้ายเฉินซิ่นก็ทนไม่ไหว ออกไปตรวจตราร้านผ้าแต่เช้า เขาไปนับสินค้าในคลังพร้อมกับเด็กรับใช้ จากนั้นก็ช่วยเลือกผ้าให้กับลูกค้าที่คุ้นเคยอีกสองสามคน ในที่สุดพระอาทิตย์ก็เคลื่อนไปอยู่กลางท้องฟ้าพอดิบพอดี
เฉินซิ่นหิวจนแทบทนไม่ไหว กำลังจะเดินทางไปร้านบะหมี่ก็พอดีเจอเข้ากับคุณชายรองของตนที่บุกเข้ามา
“เฉินซิ่น เ้ารีบไสหัวออกมาเดี๋ยวนี้”
เด็กรับใช้ที่นี่ย่อมจำคุณชายรองได้ รีบวิ่งไปตามหาเฉินซิ่นทันที เฉินซิ่นรีบวิ่งออกมาต้อนรับ ยังไม่ทันได้พูดอะไรก็ถูกตบไปหนึ่งที
“บ่าวสุนัข เ้าไปล่วงเกินอะไรจวนองค์หญิงเข้า? รีบบอกมา หากเ้ากล้าทำให้สกุลถังของเราติดร่างแหไปด้วย ก็ระวังชีวิตครอบครัวของเ้าเอาไว้ให้ดี”
เฉินซิ่นถูกตบจนวิงเวียนศีรษะ ได้ยินประโยคนี้เข้าก็โกรธจนอยากจะฆ่าคน แต่ตอนนี้เขาทำอะไรไม่ได้นอกจากอดทน จึงคุกเข่าโขกศีรษะ “คุณชายรองโปรดระงับโทสะ โปรดอธิบายเื่ราวอย่างละเอียด ผู้น้อยจะได้เล่าให้ฟังได้ถูกขอรับ”
“ได้ เมื่อครู่องค์หญิงส่งคนมาที่บ้าน บอกให้เ้าไปเข้าเฝ้า ข้าลองซื้อขันทีที่มารายงานจึงได้ความมาว่า จวิ้นจู่น้อยมีโทสะเพราะของขวัญชิ้นหนึ่ง และของชิ้นนั้นพ่อบ้านในจวนองค์หญิงซื้อมาจากเ้า”
คุณชายรองถังพูดไปก็ยิ่งมีโทสะ เขาเตะเฉินซิ่นไปสองสามที แล้วถึงได้ด่าด้วยเสียงเบาลง “บ่าวสุนัข บอกมาว่าเ้าขายอะไรให้พวกเขาไปกันแน่”
เฉินซิ่นคิดไม่ถึงจริงๆ ตุ๊กตากระต่ายหนึ่งตัวกับกล่องใส่อุปกรณ์เข้าชุดทำจากไม้และฟางหนึ่งชุดจะไปทำให้จวิ้นจู่น้อยโกรธได้อย่างไร เขาคิดว่าต่อให้จวิ้นจู่น้อยไม่ชอบก็คงไม่ถึงขั้นมีโทสะมากนัก
“คุณชายรอง ก่อนหน้านี้ตอนที่ข้าน้อยกลับมาจากอันโจว ถูกคนไหว้วานให้เอาตุ๊กตามาขาย วันนั้นบังเอิญได้ยินว่าพ่อบ้านจวนองค์หญิงกำลังหาของขวัญให้จวิ้นจู่น้อยจึงขายให้พวกเขาไปตัวหนึ่ง ไม่รู้ว่าตุ๊กตาตัวนั้นไปสร้างความไม่พอใจอันใดให้จวิ้นจู่น้อย?”
“ดี เ้าเองก็ทำงานอยู่ในสกุลถังข้ามาสิบปี การนำของมาขายเองเช่นนี้ถือเป็ข้อห้ามร้ายแรง เ้าคงรู้ว่าควรทำเช่นไรกระมัง”
คุณชายถังลังเลเล็กน้อย แต่หางตาหันไปเห็นเด็กรับใช้ที่ทำสัญลักษณ์มือสุดท้ายเขาก็หักใจไล่คนออกไป
เฉินซิ่นดวงหน้าซีดขาว ถึงแม้เขาจะรู้อยู่แล้วว่าเื่นี้มีความเสี่ยง แต่ก็ไม่คิดว่าจะถึงขั้นต้องเสียงานที่ทำมาเป็สิบปีไป
แต่เขาเองก็เป็เถ้าแก่คนหนึ่ง จึงไม่ถึงกับไร้ศักดิ์ศรีเกินไปนัก
“ขอรับ ข้าเฉินซิ่นทำผิดกฎสกุลถัง ยินดีลาออกจากการเป็เถ้าแก่ดูแลร้านค้าประจำสกุลถัง วันหน้าไม่ว่าสุขทุกข์จะไม่ขอยุ่งเกี่ยวกับสกุลถังอีก บุญคุณตลอดหลายปีมานี้ของคุณชายรอง เฉินซิ่นจะหาโอกาสตอบแทน”
คุณชายรองโบกมือ “ยามปกติเ้าเป็คนที่ทำอะไรรู้จักหนักเบา ไม่จำเป็ต้องชำระบัญชีกัน ออกจากประตูจวนสกุลถังไปแล้วก็ใช้ชีวิตต่อไปให้ดีเถิด”
เฉินซิ่นยืนขึ้นปัดฝุ่นที่ไม่มีอยู่บริเวณหัวเข่า จากนั้นก็เดินออกไป
นอกประตู ขันทีจากจวนองค์หญิงและเด็กรับใช้รออยู่นานจนแทบจะหมดความอดทนแล้ว ครั้นเห็นว่าเฉินซิ่นเดินออกมาในสภาพน่าอนาถเช่นนั้นก็ใไม่น้อย
ยังไม่ทันให้เขาพูดอะไร คุณชายรองถังกลับรีบเข้ามาเอ่ยปากกับเขาด้วยสีหน้ายิ้มแย้มว่า “ใต้เท้า ทำให้ท่านต้องรอนานแล้ว บ่าวสุนัขคนนี้ข้าพบระหว่างเดินทาง เนื่องจากเห็นว่าไม่โง่เขลานักจึงรับมาใช้งานที่จวน ไม่ได้ลงนามในสัญญาซื้อขายตัวก็รับเข้ามาอยู่ในสกุลถังแล้ว คิดไม่ถึงว่าเขาจะแอบขายของเองอย่างลับๆ ทำให้จวิ้นจู่น้อยไม่พอใจ ข้าได้ขับไล่เขาออกจากสกุลถังแล้ว ขอให้ท่านนำความไปบอกองค์หญิงด้วย จะจัดการอย่างไรก็ทำได้ตามพระทัยเลยขอรับ ไม่ต้องคำนึงถึงสกุลถัง”
ขันทีคนนั้นฟังจบก็มีสีหน้าประหลาดใจยิ่งนัก เหมือนจะขำขันแต่สักพักกลับรู้สึกสงสาร สุดท้ายเขาก็ไม่พูดอะไรออกมา พยักหน้าแล้วพาเฉินซิ่นจากไป
ไม่รู้เพราะเหตุใดจู่ๆ คุณชายรองถังก็รู้สึกว่าหัวใจเขาเต้นแรงมาก หรือเขาทำความผิดพลาดครั้งใหญ่อะไรลงไป?
เด็กรับใช้ข้างกายของเขาเอ่ยขึ้นว่า “คุณชาย ถึงแม้จวนองค์หญิงจะได้รับความโปรดปรานจากฝ่าาเป็อย่างมาก แต่สกุลถังของเราดองกับจวนเว่ยหย่วนโหว จะอย่างไรก็ไม่ถึงกับต้องเกรงกลัวจวนองค์หญิงถึงขั้นนี้...”
“หุบปาก เ้าโง่” คุณชายรองถังถลึงตาดุดัน กดเสียงต่ำดุด่าลูกน้องของตน “สกุลถังดองกับจวนเว่ยหย่วนโหวก็จริง แต่ฮูหยินของเว่ยหย่วนโหวเป็ป้าของเ้าสามเพียงคนเดียว ไม่ใช่ป้าของข้า หากทำให้จวนองค์หญิงไม่พอใจ ฮูหยินเว่ยหย่วนโหวจะออกหน้าปกป้องข้าได้อย่างไร? ไม่เหยียบซ้ำช่วยเ้าสามกำจัดศัตรูก็นับว่าดีมากแล้ว”
เด็กรับใช้ใจนหดคอลงน้อยๆ ถอยไปหลบอยู่เื้ัทันที กลับเป็คุณชายรองถังที่กล่าวขึ้นมาอีกว่า “ไป รีบไสหัวไปที่จวนองค์หญิง ดูว่าจุดจบของเฉินซิ่นเป็อย่างไร เสร็จแล้วรีบกลับมารายงานข้า”
“ขอรับ คุณชาย”
ทางด้านเฉินซิ่นกำลังตามขันทีคนนั้นไปยังจวนองค์หญิง เห็นว่าขันทีผู้นี้สนทนากับเขาอย่างเกรงอกเกรงใจ ไม่คล้ายว่าจะเอาเขาไปสังหาร เขาก็รู้สึกสงสัยเล็กน้อย เอวที่ค้อมต่ำมาตลอดทางก็ค่อยๆ ยืดตรงขึ้น ตอนที่คิดจะลองหยั่งเชิงก็มาถึงจวนองค์หญิงเสียแล้ว
จวิ้นจู่น้อยเป็บุตรีคนเล็กขององค์หญิงใหญ่ เพราะได้รับพระเมตตาจากฮ่องเต้เป็ล้นพ้น ในวันเกิดจึงมีบุคคลชั้นสูงในเมืองหลวงแห่กันมามอบของขวัญให้นาง
จวนองค์หญิงประดับประดางดงามหลากสีสัน แเื่มากมาย นางกำนัลขันทีเดินกันขวักไขว่ ดูครึกครื้นเป็อย่างยิ่ง
เนื่องจากเฉินซิ่นเป็บุรุษอื่น เมื่อถูกพาเข้าไปถึงเรือนหลังจึงถูกปิดตา เขาจึงรู้สึกวิงเวียนเล็กน้อย
ในที่สุดก็เดินมาถึงเสียที เขาคุกเข่าลงเพียงไม่นานก็ได้ยินเสียงครึกครื้นดังขึ้นข้างหู
ไม่รู้เป็เสียงสาวน้อยบ้านไหนดังสอดประสานกันไม่หยุดรอบตัวเขา “นี่คือพ่อค้าที่ขายกระต่ายคนนั้นน่ะหรือ? ก็ดูไม่หยาบกระด้างแต่อย่างใด?”
“แน่นอนอยู่แล้ว คนที่ทำของมหัศจรรย์เช่นนั้นออกมาได้จะเป็คนหยาบกระด้างได้อย่างไร”
“แหม พวกเ้าคุยอะไรกันอยู่ รีบถามเขาสิว่ายังมีกระต่ายตัวนั้นอีกหรือไม่ ข้าต้องซื้อเก็บไว้สักชุด”
“ข้าจะเอาด้วย เอาด้วย”
“ชุดแรกต้องยกให้จวิ้นจู่ก่อน เพราะของนางถูกจิ่วเหลียนจวิ้นจู่เหยียบจนสกปรกแล้ว กำลังโมโหอยู่เลย”
หูของเฉินซิ่นแทบจะชี้ชันขึ้นมาเหมือนกระต่าย เมื่อฟังจนจบเขาก็วางใจแล้ว
แม่นางน้อยคุยกันได้ไม่นานก็ถูกเสียงเกียจคร้านของสตรีนางหนึ่งขัดขึ้น
“มิน่าเล่าที่ศาลาชมบุปผาถึงเงียบสงบ ที่แท้มาอยู่กันที่นี่นี่เอง”
แม่นางน้อยทั้งหลายพากันยอบกายคารวะ จากนั้นก็เริ่มออดอ้อน “องค์หญิงเพคะ พวกเราอิจฉาจวิ้นจู่ที่มีตุ๊กตาตัวนั้น อยากมาดูว่าใครกันที่นำของพิสดารเช่นนั้นมาขาย ถึงได้...”
“พวกเ้านี่นะ ดีที่ขันทีเกาจัดการอย่างรอบคอบ รีบนั่งลงเถอะ”
“ขอบพระทัยองค์หญิง”
เฉินซิ่นพบว่าเสียงรอบตัวเงียบลงแล้ว จึงรีบโขกศีรษะ “กระหม่อมเฉินซิ่นถวายพระพรองค์หญิงและคารวะคุณหนูทุกท่านขอรับ”
เชิงอรรถ
[1] จวิ้นจู่(郡主)ตำแหน่งท่านหญิงเชื้อพระวงศ์ลำดับที่สามของราชวงศ์
[2] ผ้ากังต้วน (贡缎)คือผ้าซาติน
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้