ตึง ตึง ตึง
สิ้นเสียงเล็กของเด็กน้อยก็ตามมาด้วยเสียงโขกหนักดังสามครั้ง เด็กหญิงโขกศีรษะอย่างจริงจัง ซ้ำการเคลื่อนไหวนั้นก็เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ฮวาเหยียนกำลังประคองหญิงชราแต่กลับไม่สามารถพยุงนางขึ้นมาได้ ครั้งนี้เด็กน้อยโขกศีรษะจนเกิดเป็รอยเขียวช้ำบนหน้าผาก ซึ่งนั่นแสดงถึงการที่นางโขกศีรษะอย่างรุนแรง
"สาวน้อย ลุกขึ้นเถิด"
ฮวาเหยียนรีบประคองเด็กหญิงตัวน้อยขึ้นมา มองไปที่รอยบวมปูดบนหัวของเด็กน้อยแล้ว ในใจของนางพลันเ็ปแทนนางเหลือเกิน สาวน้อยคนนี้ซื่อตรงเกินไปแล้ว
เด็กน้อยถูกฮวาเหยียนประคองขึ้นมา ก่อนจะก้มหัวลงควานหาของในถุงผ้าของตนเองอย่างละเอียด จากนั้นจึงหยิบสิ่งที่ห่อด้วยผ้าลายดอกไม้ออกมาเปิดอย่างระมัดระวัง หยิบสิ่งที่เด็กน้อยคนนี้มองว่าเป็สมบัติออกมา ซึ่งแท้จริงแล้วมันคือดอกไม้แกะสลักสีแดงดอกเล็ก
ลักษณะของดอกไม้มองแล้วดูธรรมดายิ่งนัก ฝีมือก็ไม่ละเอียดอ่อนสักเท่าไหร่ ทว่าดอกไม้เล็กๆ ดอกนี้กลับถูกเด็กสาวที่อยู่ข้างหน้าใช้ผ้าลายดอกไม้ที่ดูประณีตและสะอาดกว่าเสื้อผ้าบนร่างกายของนางห่อของชิ้นนั้นไว้ สายตาของนางถือว่าสิ่งนี้เป็สมบัติล้ำค่า เมื่อเห็นท่าทางระมัดระวังและความคาดหวังของเด็กน้อย หัวใจของฮวาเหยียนพลันอบอุ่นขึ้นมาทันใด สำหรับเด็กหญิงคนนี้บุปผาสีชาดดอกเล็กนี้คงมีค่ายิ่งนักกระมัง
นางชูบุปผาสีชาดดอกเล็กๆ ขึ้นด้วยใบหน้าเคารพเทิดทูน ก่อนยื่นส่งให้ฮวาเหยียน
"ขอบคุณพี่สาวที่ช่วยข้ากับท่านย่าไว้ ของสิ่งนี้...ขอมอบให้พี่สาวเ้าค่ะ"
เด็กหญิงเอ่ยปากกล่าว ดวงตาคู่นั้นเป็ประกายระยิบระยับ
ฮวาเหยียนทนกับแววตาเปล่งประกายของเด็กหญิงไม่ได้ นางจึงยื่นมือออกไปเพื่อรับของมา
“ขอบคุณเ้ามาก ข้าจะเก็บรักษาสิ่งนี้ไว้เป็อย่างดี”
ั้แ่นางยอมรับหยวนเป่ามาเป็บุตรชาย และการปฏิบัติต่อเด็กเล็กนี้เองทำให้หัวใจของนางอ่อนโยนขึ้นอย่างไม่สามารถอธิบายได้
ในยามนั้นเองนางพลันได้ยินเสียงของมู่เอ้าเทียนที่ส่งเสียงประหลาดใจออกมา ฮวาเหยียนหันศีรษะไปมอง มู่เอ้าเทียนเลิกคิ้วและจ้องมองไปที่บุปผาสีชาดดอกเล็กในมือของนางด้วยความประหลาดใจ
“ดอกพุดสีแดง? เ้าเป็ลูกศิษย์ของผู้เฒ่าฟู่หรือ? ”
ฮวาเหยียนกะพริบตาก่อนจะมองมู่เอ้าเทียนสลับกับเด็กหญิงด้วยความไม่เข้าใจ บุปผาสีชาดนี่มีความหมายอันใดด้วยหรือ? ผู้เฒ่าฟู่คือผู้ใดกัน?
เมื่อได้ยินคำถามของมู่เอ้าเทียน ดวงตาของเด็กหญิงตัวน้อยพลันเปล่งประกายวาววับ หลังของนางตั้งตรงพร้อมกับพูดอย่างมั่นใจว่า “ยามนี้ยังไม่ใช่ แต่อีกไม่นานย่อมเป็แน่เ้าค่ะ! ”
เมื่อได้ยินคำพูดของเด็กน้อย มู่เอ้าเทียนก็ดูเหมือนจะเข้าใจอะไรบางอย่าง เขายิ้มบางพลางพยักหน้าให้กับเด็กน้อยก่อนจะกล่าวว่า "สาวน้อยไม่เลวเลย พยายามต่อไปเล่า"
เมื่อได้รับคำชมจากมู่เอ้าเทียน เด็กหญิงก็มีความสุขยิ่งนัก นางรีบตอบกลับด้วยเสียงอันดัง
“ข้าจะพยายาม ขอบคุณเ้าค่ะท่านลุง”
มู่เอ้าเทียนพยักหน้า
เด็กหญิงโค้งคำนับฮวาเหยียนและหยวนเป่าอีกครั้ง “ขอบคุณพี่สาวสำหรับบุญคุณที่ช่วยชีวิตข้าเอาไว้ รอข้าโตแล้ว จะต้องตอบแทนท่านอย่างแน่นอน”
ในวัยเด็กไม่ถ่อมตัวเกินงามหรือหยิ่งผยองเกินตัว ไม่ถอยหนีเมื่อเผชิญอำนาจและยังเป็เด็กดีที่รู้คุณคน
ลูกศิษย์ของผู้เฒ่าฟู่หรือ? อาจารย์ที่สามารถสอนลูกศิษย์ที่มีคุณธรรมเช่นนี้ได้ ดูแล้วคงจะมิใช่คนธรรมดาแน่นอน
ฮวาเหยียนลูบหัวของเด็กหญิงและเอ่ยอย่างชื่นชม "ไม่ต้องตอบแทนหรอก พี่สาวอวยพรให้เ้าได้เป็ลูกศิษย์ของผู้เฒ่าฟู่ผู้นั้นโดยเร็ววัน"
“ขอบคุณพี่สาว ข้าจะตั้งใจมากกว่าเดิมแน่นอน”
เมื่อเด็กหญิงได้รับกำลังใจ ดวงตาของนางพลันเปล่งประกายในทันที ท่าทางลอยฟุ้งเหมือนจะเต็มไปด้วยแรงจูงใจและความหวังไม่รู้จบ แต่หัวใจของฮวาเหยียนกลับมีประกายของความอิจฉาวาบผ่าน
เด็กคนนี้มีเป้าหมายที่ชัดเจนและความตั้งใจศรัทธาที่จะพยายามอย่างหนัก นั่นช่างเป็เื่ที่พาให้ผู้คนอิจฉาเสียจริง
...
ในเวลานั้นเอง เพราะการขอบคุณจากเด็กหญิงและท่านย่าของนาง ทำให้มู่เอ้าเทียนได้ทราบสาเหตุและผลลัพธ์ของเื่ทั้งหมด ในยามนั้นเขาพลันมองไปที่ฉู่หลิวซวงด้วยสายตาที่เ็า นางยืนอยู่ด้านข้างด้วยสีหน้าไม่สู้ดี ส่วนผู้ใต้บังคับบัญชาคนนั้นที่ตั้งใจขี่ม้าชนฮวาเหยียนอย่างโเี้ก็ย่อตัวหลบอยู่ข้างหลัง ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรง
“บุตรสาวของเปิ่นหวางมีจิตใจที่งดงาม อ่อนโยนสง่างาม ไม่เคยทำชั่วต่อผู้อื่น ั้แ่เด็กจนโต แม้แต่มดสักตัวนางยังไม่กล้าหักใจเหยียบมันจนตาย เมื่อสี่ปีก่อน นางถูกคนทรยศลอบทำร้าย ข่าวลือแพร่สะพัดไปทั่ว บีบบังคับให้บุตรสาวของข้าต้องหนีออกจากบ้านเกิดไปไกลแสนไกล ทว่ายามนี้ที่บุตรสาวของข้าหวนคืนกลับมา กลับถูกขวางกั้นให้หยุดอยู่แค่ประตูเมือง เปิ่นหวางขอถามว่านี่มันคือเื่อันใดกัน? ที่แท้แล้วกลับกลายเป็ว่านางถูกคนของจวิ่นจู่หลิวซวงขี่ม้าป่วนถนน กวาดแผงขายของ ชนคนที่สัญจรไปมา บุตรสาวของข้าปะทะกับเ้าเพื่อช่วยชีวิตคน แต่จวนคังกลับลอบเลี้ยงดูลูกน้องมือดีเอาไว้ ดูเหมือนว่าพรุ่งนี้เปิ่นหวางควรไปหาองค์ชายคังเพื่อถามไถ่พูดคุยเื่ราวนี้เสียแล้ว"
มู่เอ้าเทียนพูดจนใบหน้าของฉู่หลิวซวงซีดจนกลายขาว เหลือเพียงแค่กระอักเืออกมาเท่านั้น
ได้เลย มู่เอ้าเทียน จะยังไม่จบเท่านี้ใช่หรือไม่?
นางถอยหลบไปด้านข้าง ทว่าเขานอกจากจะไม่ยอมปล่อยนางไปแล้ว ซ้ำยังเสียดสีบิดาของนางอีกด้วย
มองดูมู่เทียนที่กล่าวด้วยท่าทางอันชอบธรรม และยกย่องบุตรสาวของตัวเองอย่างชัดเจนแล้ว นางมีจิตใจที่งดงามหรือ? อ่อนโยนสง่างามหรือ? ถุ้ย เมื่อกี้ใครกันที่เป็คนจัดการบุตรชายมือขวาเสนาบดีฝ่ายทหารด้วยฝ่ามือเดียว! คงไม่ใช่ตาบอดไปแล้วกระมัง
เื่น่าอายเมื่อสี่ปีที่แล้วยังกล้ายกขึ้นมาพูดได้ หน้าไม่อาย!
...
ฮวาเหยียนที่อยู่อีกด้านหนึ่ง ยามที่ได้ยินคำพูดของมู่เอ้าเทียน นางพลันทนไม่ไหวจนถึงกับต้องเอามือลูบหูไปมา คำว่าจิตใจงดงาม อ่อนโยนและสง่างามนั้น นางไม่สามารถรับได้จริงๆ ดังนั้นหากนางต้องกลายมาเป็คุณหนูใหญ่แห่งตระกูลมู่ กลายมาเป็บุตรสาวของมู่เอ้าเทียน นางต้องเป็มู่อันเหยียนในรูปแบบนั้นหรือ?
ไม่ ไม่ ไม่
นางทำไม่ได้นี่นา
ทว่าคำพูดของมู่เอ้าเทียนยังไม่จบ เขาเปิดปากพูดอีกครั้งว่า “วันนี้ เปิ่นหวางจะพูดเอาไว้ตรงนี้ หลังจากนี้หากผู้ใดกล้าพูดจาเพ้อเจ้อเกี่ยวกับบุตรสาวของเปิ่นหวาง กล้าแตะต้องคุณหนูแห่งตระกูลมู่ ตระกูลมู่จะไม่ยอมปล่อยไปอย่างเด็ดขาด!”
ตึง!
หอกยาวพู่แดงในมือกระแทกพื้นด้วยความรุนแรง
เสียงทุ้มหนาแผ่กระจายไปถึงหูของทุกคนด้วยพลังสยบ [1]
เดิมทีคนที่อยู่โดยรอบเพราะเหตุผลเื่ตำแหน่งที่ห่างไกล คนเ่าั้จึงมองเห็นเพียงการเคลื่อนไหวของยายหลานเท่านั้น ทว่ามิได้ยินการสนทนาของพวกเขา ครั้งนี้ได้ยินเสียงของมู่เอ้าเทียนจึงทำให้เข้าใจเื่ราวได้ทันที
ดังนั้น หลังจากเงียบไปชั่วครู่ เสียงโห่ร้องะโก้องจึงดังขึ้นจากฝูงชน “สนับสนุนคุณหนูใหญ่ตระกูลมู่ สนับสนุนท่านอ๋องมู่”
จากนั้น ก็มีเสียงที่ดังก้องขึ้นมาอีก
“คุณหนูมู่เป็คนดี”
“พวกเราเชื่อคุณหนูใหญ่ตระกูลมู่”
“ตระกูลมู่เป็ขุนนางตงฉิน ภักดีต่อฮ่องเต้ รักชาติ ปกป้องประชาชน ท่านอ๋องมู่จงเจริญ”
“คุณหนูใหญ่ตระกูลมู่ พวกเราเชื่อในตัวท่าน ยินดีต้อนรับกลับบ้าน”
เสียงะโจากเหล่าประชาชนดังก้องขึ้นอีกครั้ง ยิ่งพูดก็ยิ่งดัง
ใบหน้าของฉู่หลิวซวงมืดครึ้มลง นางไม่สามารถอยู่ได้นานกว่านี้อีกต่อไป หญิงสาวถ่ายทอดคำสั่ง พาผู้ใต้บังคับบัญชาที่สลบล้มลงและาเ็กลับไปทันที
ทันทีที่นางจากไป ไม่รู้ว่าผู้ใดเป็คนนำ จู่ๆ ก็เกิดเสียงปรบมือดังขึ้น
เสียงปรบมือดังสนั่น เป็นานก็ยังไม่สลายหายไป
สายตาที่เต็มไปด้วยความชั่วร้าย วิพากวิจารย์ก่อนหน้านั้น ในยามนี้กลับเต็มไปด้วยความอบอุ่นและความไว้วางใจ
หัวใจของฮวาเหยียนสั่นไหวอย่างรุนแรงขึ้นมาอีกครั้งเพราะความรักจากมู่เอ้าเทียน ความรักของบิดาที่ไร้ที่สิ้นสุด ก่อนจะมองไปที่ยายหลานสองคนที่มองดูนางด้วยสายตาซาบซึ้ง คนหนึ่งแก่อีกคนยังเด็ก บอบบางไร้เรี่ยวแรง ทว่ากลับรู้จักทดแทนบุญคุณ ไม่เกรงกลัวอำนาจ คนเช่นนี้ทำให้ฮวาเหยียนเคารพนับถือ หัวใจของนางพลันอบอุ่นขึ้นมาอย่างน่าประหลาดใจ
“ท่านย่า หากวันหน้ามีคนมาหาเื่ท่านอีก ท่านจงไปยังจวนท่านอ๋องหลู่หนานเพื่อแจ้งเื่แก่ข้า”
ฮวาเหยียนกลัวว่าฉู่หลิวซวงจะตามไปแก้แค้น และโยนเื่หนี้แค้นที่ทำให้นางต้องอับอายขายหน้าไว้บนศีรษะของสองยายหลาน
“ขอบคุณคุณหนูใหญ่ตระกูลมู่”
"ขอบคุณนะพี่สาว"
หญิงชราและเด็กหญิงตัวน้อยขอบคุณพวกเขาอีกครั้ง
ฮวาเหยียนไม่ชินกับเื่พวกนี้ นางจึงรีบร้อนโบกมือไปมา
...
"ออกเดินทางกันเถิด ลูกรัก กลับบ้านของเรากัน”
มู่เอ้าเทียนอุ้มหยวนเป่าขึ้น ประคองฮวาเหยียนขึ้นบนหลังม้า คิดอยากกลับบ้านเร็วๆ ในยามนั้นพ่อบ้านของตระกูลมู่ในที่สุดก็ตามมาทัน ชายชราคารวะฮวาเหยียนทั้งน้ำตา เมื่อได้ยินคำสั่งให้ไปลากเสี่ยวฮวาลูกลาน้อยที่ลากเกวียนของฮวาเหยียน เขาก็จัดการลาก ก่อนจะเดินทางกลับจวนไปพร้อมกัน
เหล่าประชาชนบริเวณประตูเมืองล้วนถอยหลังเพื่อหลีกทางให้มู่เอ้าเทียนและฮวาเหยียน
ฮวาเหยียนหันมองรอบกาย เห็นเพียงประกายตาที่จ้องมองส่งจากระยะไกลๆ สองยายหลานเองก็ยิ่งโบกมือแรงขึ้น
ฮวาเหยียนเหลือบมองไปที่หน้าผากของเด็กหญิงตัวน้อยที่บวมนูน เพราะก่อนหน้านี้ที่โขกศีรษะให้นางด้วยความรุนแรง หัวใจนางพลันอ่อนยวบลง ฮวาเหยียนเอนตัวไปข้างหูของหยวนเป่า ก่อนจะพูดว่า “ลูกรัก หน้าผากของเด็กหญิงาเ็เพราะโขกศีรษะ เ้าช่วยส่งยาขี้ผึ้งที่มีสรรพคุณช่วยให้เืหมุนเวียนให้นางที”
เชิงอรรถ
[1] พลังสยบ มักหมายถึงอำนาจในการใช้กำลังหรืออำนาจเพื่อทำให้อีกฝ่ายรู้สึกหวาดกลัว
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้