ยามที่ฮวาเหยียน ท่านพ่อและท่านพี่ใหญ่ตระกูลมู่ออกจากจวนไท่จื่อ ท้องฟ้าก็เกือบจะมืดแล้ว พระจันทร์ครึ่งดวงแขวนอยู่บนท้องฟ้า เงาของคนสองสามคนก็ถูกลากให้ทอดยาว
มู่เอ้าเทียนเอง เมื่อออกจากจวนไท่จื่อก็ไม่ได้ปริปากเอ่ยอันใด เขาเดินไปข้างหน้าคนเดียว ส่วนฮวาเหยียนก็มองออกว่าท่านพ่อจะต้องโกรธเข้าแล้วเป็แน่
ในใจนางรู้สึกไม่ดีนัก นางพยายามครุ่นคิดไตร่ตรอง นางไม่ใช่มู่อันเหยียนแห่งตระกูลมู่ตัวจริง ดังนั้นจึงไม่ได้เป็อย่างสตรีผู้นั้นที่รอบรู้และนิ่งสงบ นางรู้ดีว่าการแสดงออกของนางในวันนี้ เกรงว่าจะทำให้ท่านพ่อและท่านพี่ใหญ่ประหลาดใจเข้าแล้ว
อย่างไรก็ตาม นางไม่อยากปิดบัง
เดิมที นางตัดสินใจที่จะเป็บุตรสาวผู้เพียบพร้อมและกตัญญูแทนหญิงสาวที่ตายไปแล้ว โดยคิดว่านี่คือสิ่งที่ดีที่สุดของทั้งสองฝั่ง นางเก่งเื่การแสดง นางสามารถแสร้งแกล้งทำเป็อ่อนแอได้ นางสามารถแสร้งทำเป็ว่าสดใสได้ และั้แ่อยู่ในตระกูลมู่ นางก็ยังไม่เคยแสดงพิรุธอันใดออกมา
ทว่าั้แ่ที่นางเข้าสู่ตระกูลมู่ ท่านพ่อทำให้นางรู้สึกซาบซึ้งใจจึงทำให้นางอยากจะเผชิญหน้ากับพวกเขาโดยการที่แสดงตัวตนที่แท้จริงออกมา
เป็ครั้งแรกที่นางมีความรู้สึกว่าเป็การปฏิบัติต่อกันด้วยหัวใจ
เ้าปฏิบัติต่อข้าด้วยความจริงใจ ดังนั้นข้าจึงตอบแทนเ้าด้วยความใจจริงเช่นเดียวกัน
ดังนั้นในจวนไท่จื่อ นางจึงปล่อยตัวตนที่แท้จริงของนางออกไปจนหมดสิ้น
แม้ว่าท่านพ่อและท่านพี่จะประหลาดใจแต่ก็ปกป้องและดูแลนางไม่น้อยลงไปเลย สิ่งนี้ทำให้ใจนางร้อนลวกตลอดเวลา นางเปี่ยมเต็มไปด้วยพลังยามที่ต้องต่อสู้กับองค์รัชทายาทตี้หลิงหาน แต่เมื่อออกจากจวนไท่จื่อแล้ว ท่านพ่อกลับไม่เอ่ยกับนางสักคำ
ฮวาเหยียนรู้สึกอึดอัดเล็กน้อย นางรู้ว่าท่านพ่อโกรธเข้าแล้วจริงๆ
อารมณ์ของนางดิ่งลง นางจึงเดินตามหลังเพื่อให้คนอื่นๆ เดินนำหน้าไปก่อน
หยวนเป่าถูกมู่เสวียนเย่อุ้มเอาไว้มาโดยตลอด ความรู้สึกไม่ดีของฮวาเหยียนล้วนตกอยู่ในสายตาของพวกเขาทั้งสอง หยวนเป่ารู้สึกเ็ปกับท่านแม่จึงกระซิบที่ข้างหูมู่เสวียนเย่ "ท่านลุงใหญ่ โปรดวางข้าลงก่อนเถิด ข้าจะไปหาท่านแม่ขอรับ”
หยวนเป่าเอ่ย
มู่เสวียนเย่พยักหน้าและวางหยวนเป่าลง
เด็กน้อยวิ่งไปหาฮวาเหยียนและจับมือท่านแม่ของเขา "ท่านแม่ ท่านกังวลและไม่มีความสุขเพราะเื่เงินสามล้านตำลึงใช่หรือไม่ขอรับ"
ฮวาเหยียนส่ายหัว เมื่อเทียบกับเงินสามล้านตำลึงแล้ว นางใส่ใจความคิดความรู้สึกของท่านพ่อมากกว่า
นางส่ายหัว “ไม่ใช่เื่นั้น ดูเหมือนท่านตาของเ้าจะโกรธเข้าแล้ว”
ฮวาเหยียนถอนหายใจและกระซิบเบาๆ
หยวนเป่าพยักหน้าอย่างรู้ทัน เดิมทีเขาเป็เด็กฉลาดรู้ความ ยามที่ได้ยินคำกล่าวของฮวาเหยียน เขาก็ปล่อยมือของนางลง "ท่านแม่ ถ้าอย่างนั้นหยวนเป่าจะเกลี้ยกล่อมท่านตาเอง"
ทันทีที่สิ้นเสียง เขาก็วิ่งไปหามู่เอ้าเทียน
เด็กตัวน้อยมีขาและฝีเท้าที่ว่องไว ทันทีที่เขาเอ่ยจบก็วิ่งไปทางมู่เอ้าเทียน และฮวาเหยียนเองก็ไม่ได้หยุดเขาเอาไว้
...
หยวนเป่าวิ่งไปทางมู่เอ้าเทียนและทิ้งมู่เสวียนเย่กับฮวาเหยียนเอาไว้ด้านหลัง
“พี่ใหญ่ ข้าขอโทษเ้าค่ะ”
มู่เสวียนเย่ยืนข้างฮวาเหยียนและไม่เอ่ยอันใด ฮวาเหยียนเป็คนเอ่ยออกมาก่อนเพราะสิ่งที่เกิดขึ้นในจวนไท่จื่อในวันนี้
"เด็กโง่ คนบ้านเดียวกันจะเอ่ยเื่เกรงใจไปใย มาเอ่ยขอโทษไปทำไมกัน”
มู่เสวียนเย่กล่าว
เขารอเสียงขานเรียกว่าพี่ใหญ่ รอมาถึงสี่ปีแล้ว
แต่เขาแสดงความรู้สึกไม่ค่อยเก่ง อารมณ์ก็นิ่ง พูดก็ไม่เก่ง ใบหน้าก็เ็า ต่อให้ได้ยินเสียงขานเรียกว่าพี่ใหญ่ซึ่งหายไปเนิ่นนานแล้ว แม้ใจจะเต้นแรงเพียงใด แต่ใบหน้ากลับเป็เช่นเดิมคือไร้ซึ่งรอยยิ้ม
“ไม่เป็ไร สำหรับเงินสามล้านตำลึง ท่านพ่อกับพี่ใหญ่จะคิดหาหนทาง เ้าไม่ต้องห่วง”
เมื่อเห็นว่าอารมณ์ของฮวาเหยียนยังคงเต็มไปด้วยความมืดมน เขาจึงเปิดปากเอ่ยเพื่อปลอบโยนนาง
หลังจากที่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็ยกมือขึ้นลูบหัวของฮวาเหยียน นี่เป็ท่าทางที่พี่ชายมักใช้ปลอบโยนน้องสาวของเขาในอดีต
มือใหญ่หนาที่อยู่บนหัวของนางช่างอบอุ่นและแสดงออกถึงความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ทุกคนในตระกูลมู่ปฏิบัติต่อนางเป็อย่างดี ดังนั้นในใจนางก็ยิ่งเศร้า อันที่จริงนางไม่ได้หดหู่ใจเพราะเงินสามล้านตำลึง เื่นี้ตัวนางเองสามารถคิดหาวิธีการแก้ไขได้ แม้ว่าสุดท้ายแล้วหากนางหาเงินไม่ได้ นางก็จะคิดหาวิธีที่ทำให้ไม่ต้องเข้าไปอยู่ในจวนไท่จื่อได้อยู่ดี
"ข้าไม่ได้กังวลเื่นั้นเ้าค่ะ”
ฮวาเหยียนตอบ
แต่ใบหน้าก็ยังไม่มีความสุข
มู่เสวียนเย่ก้มมองนาง “ถ้าเช่นนั้นแล้วเป็เพราะอันใดเล่า?”
เขาไม่เข้าใจ
ฮวาเหยียนสูดลมหายใจเข้าลึกๆ “เป็เพราะท่านพ่อเ้าค่ะ ท่าพ่อโกรธข้า อาจจะเป็เพราะเขาผิดหวังในตัวข้า”
ฮวาเหยียนกล่าว ในใจของนางรู้สึกแย่เหลือเกิน
ทั้งๆ ที่นางเคยอยู่ในโลกของหัวขโมย นางซึ่งเป็เทพีแห่งการขโมย เป็ราชินีตัวจริง หญิงสาวที่มีความสามารถและมีสติปัญญาที่โดดเด่น ชื่อเสียงก้องฟ้าสะท้านพิภพ ไม่มีใครที่ไม่รู้จัก
ทว่าในเวลานี้ นางรู้สึกว่านางไม่ใกล้เคียงกับมู่อันเหยียนแห่งตระกูลมู่ที่ล่วงลับไปแล้วแม้แต่น้อย สตรีคนนั้นในความอ่อนโยนกลับแฝงวามเข้มแข็งเอาไว้ อุปนิสัยที่โดดเด่น มีทั้งสติปัญญาและความดื้อรั้น นางเป็หญิงสาวผู้ทรงคุณธรรมที่เป็ความภาคภูมิใจในสายตาของท่านพ่อและพี่น้องตระกูลมู่
แล้วนางเล่า?
เฮ้อ... คุณหนูในห้องหอ ตัวอักษรเหล่านี้ไม่เชื่อมโยงกับนางเลยสักนิด
ฮวาเหยียนผู้ซึ่งรู้สึกดีกับตัวเองอยู่เสมอและรู้สึกว่านางเป็คนที่ยอดเยี่ยมและร้ายกาจเป็อย่างยิ่ง นี่เป็ครั้งแรกที่นางรู้สึกไม่พอใจในตัวเอง เพียงเพราะท่านพ่อที่นางห่วงใยกำลังโกรธนาง
"เด็กโง่"
มู่เสวียนเย่คิดไม่ถึงว่าฮวาเหยียนจะเอ่ยประโยคนี้จึงหัวเราะออกมาเล็กน้อย
เขาหันมาพิจารณาฮวาเหยียนเป็เวลาเนิ่นนาน เป็การมองอย่างจริงจังยิ่งนัก ชายหนุ่มมิได้เอ่ยเป็เวลานานเช่นกัน
มู่เสวียนเย่มองไปที่ใบหน้าของฮวาเหยียนเ นางลูบหน้าตัวเอง จงใจถามว่า "พี่ใหญ่ บนหน้าข้ามีอะไรติดอยู่หรือเ้าคะ?”
นางถาม
ท่านพี่ใหญ่จ้องมองนางอยู่นาน
มู่เสวียนเย่ส่ายหัว ก่อนจะตอบในทันทีว่า “น้องหญิง ดูเหมือนเ้าจะแตกต่างออกไป เหมือนเป็คนละคน”
หัวใจของฮวาเหยียนเต้นผิดจังหวะ
นางเงยหน้าขึ้นและมองไปที่มู่เสวียนเย่
แสงจันทร์นั้นช่างน่าหลงใหลและเงาของต้นไม้ก็ร่ายรำระบำพลิ้ว
ใบหน้าของมู่เสวียนเย่ในยามราตรีกลับดูไม่ชัดเจนอยู่เล็กน้อย ฮวาเหยียนไม่อาจมองเห็นแววตาของเขาได้ เป็เพราะคำกล่าวของมู่เสวียนเย่ หัวใจของนางพลันดำดิ่งลงไปเรื่อยๆ เขารู้แล้วหรือ? พี่ใหญ่รู้แล้วหรือ แม้ว่าเขาจะไม่ค่อยเอ่ยอันใดแต่ก็เป็คนที่ใส่ใจในรายละเอียดยิ่ง เขารู้แล้วหรือว่านางมิใช่มู่อันเหยียนแห่งตระกูลมู่ตัวจริง?
่เวลาเดือนหกนั้นร้อนหาใดเปรียบ ทว่าฮวาเหยียนกลับรู้สึกหนาวสั่น
ในเวลานี้ จิตใจของนางยุ่งเหยิง นางลืมไปได้อย่างไร? การปล่อยตัวตนของนางออกมาอาจทำให้ท่านพ่อและท่านพี่ใหญ่เกิดความสงสัย
ฮวาเหยียนอ้าปากพะงาบๆ เอ่ยอันใดไม่ออก
“น้องหญิง ใน่สี่ปีที่ผ่านมาเ้าต้องทนทุกข์ทรมานมามากสินะ ท่านพ่อบอกว่าเ้าสูญเสียความทรงจำ อุปนิสัยก็เปลี่ยนไป แต่พี่ใหญ่กลับรู้สึกดีเหลือเกิน เ้าที่เป็เช่นนี้ดียิ่งนัก...”
ในยามที่ฮวาเหยียนไม่รู้ว่าจะเอ่ยอันใด มู่เสวียนเย่ก็เปิดปากพูดขึ้นมาอีกครั้ง
ในยามนั้น ฮวาเหยียนสามารถมองเห็นความรู้สึกในแววตาของเขาได้อย่างชัดเจน มันเป็แววตาของการให้อภัยและอ่อนโยน
“เมื่อก่อนเ้าสง่างามและอ่อนโยนและเป็สตรีสูงศักดิ์ตามแบบฉบับของอาณาจักรต้าโจว พี่ใหญ่รู้ว่าเ้าเหนื่อย แต่ยามนี้ดียิ่งนัก เ้าคิดเช่นไรก็เอ่ยออกมาเช่นนั้น ไม่ต้องสนใจผู้ใด ไม่ว่าเื่อันใดเ้ายังมีพี่ใหญ่อยู่ด้วยเสมอ เ้าเพียงใช้ชีวิตอย่างมีความสุขก็พอ”
หายากที่มู่เสวียนเย่จะเป็คนเปิดบทสนทนา เมื่อมองฮวาเหยียนตรงหน้า เขาก็เอ่ยสิ่งที่เขาเก็บเอาไว้ในใจเป็เวลานาน
ฮวาเหยียนใเป็อย่างยิ่ง
“ท่านพี่ใหญ่ ท่านไม่เกลียดนิสัยของข้าในวันนี้หรือเ้าคะ? ”
ฮวาเหยียนถามด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง นางไม่คิดว่าพี่ชายใหญ่จะเอ่ยเช่นนี้กับนาง ความรู้สึกมากมายไหลตีรวนย้อนกลับ นางไม่สามารถซ่อนความสุขในใจของนางได้
“เด็กโง่ เ้าเอ่ยอันใดกัน หากเอ่ยว่าแต่ก่อนเ้านิสัยเหมือนท่านแม่ ในตอนนี้ก็สามารถเอ่ยได้ว่าเ้านิสัยเหมือนท่านพ่อตอนยังหนุ่มก็แค่นั้น เป็เช่นนี้นั้นดีเหลือเกิน ตระกูลมู่ของเราไม่แสวงหาความมั่งคั่งและเกียรติ ปรารถนาเพียงการอยู่อย่างมีความสุข"
มู่เสวียนเย่เน้นคำสี่คำ "อยู่อย่างมีสุข" หลายครั้ง ฮวาเหยียนซาบซึ้งอย่างมาก ปรากฏว่านางปล่อยตัวตามธรรมชาติของนางเองแต่กลับดูเหมือนเป็คนตระกูลมู่มากกว่า
“พี่ใหญ่... ท่านดีเหลือเกินเ้าค่ะ...”
ฮวาเหยียนรู้สึกซาบซึ้งใจจนขอบตาเริ่มกลายเป็สีแดง นางอยากกอดชายตรงหน้าที่ดูเหมือนจะเ็าทว่าจริงๆ แล้วในใจของเขานั้นช่างอบอุ่นเหลือเกิน
มู่เสวียนเย่ถูกคำกล่าวของฮวาเหยียนประโยคนั้นพาให้ร้องไห้ไม่ได้หัวเราะไม่ออก น้องหญิงคนนี้เรียนรู้ที่จะทำตัวออดอ้อน ในใจก็ยิ่งรักและทะนุถนอมนางมากขึ้นไปอีก นางลืมอดีตไปแล้ว เป็ธรรมดาที่จะลืมไปแล้วว่าเหล่าพี่ชายของนางให้ความสำคัญกับนางมากแค่ไหน
“น้องรัก ไม่ว่าเ้าจะผ่านอันใดมาหรือต้องทนทุกข์ทรมานมากเพียงใด ทั้งหมดล้วนเป็ส่วนหนึ่งของชีวิตเ้า เมื่อเ้าลืมอดีตไปสิ้นแล้วก็ไม่จำเป็ต้องไปนึกถึงมัน ขอเพียงจำไว้ว่าทุกคนในตระกูลมู่รักเ้า ท่านพ่อ ข้า รวมถึงพี่รองและพี่สามด้วย...”
“พี่รอง พี่สาม...”
ฮวาเหยียนรู้ว่าสิ่งที่มู่เสวียนเย่กล่าวมาจากมุมมองของพี่ชายที่ห่วงใย เข้าใจนาง หลังจากนั้นค่อยบอกนางว่าญาติพี่น้องในตระกูลมู่ล้วนรู้สึกแบบเดียวกัน
“พี่รองของเ้ามู่เหลย ยามนี้อยู่ชายแดนที่ห่างไกลเพื่อปกป้องอาณาเขตของต้าโจว เขาเป็ผู้บัญชาการกองพลทหารม้าจู่โจม กุมอำนาจทหารในมือถึงสองแสนนาย ไม่กี่ปีมานี้ยามที่เ้าหายตัวไป เขาเฝ้าซักถามสอดส่องบริเวณเขตชายแดนโดยรอบซ้ำแล้วซ้ำเล่า เขาไม่เคยยอมแพ้ต่อการตามหาเ้าเลย”
ฮวาเหยียนหลับตาพลางฟังโดยไม่เอ่ยแทรก นี่เป็เื่ราวเกี่ยวกับเหล่าพี่ชายตระกูลมู่ที่นางไม่เคยเจอมาก่อน นางจึงจำเป็ที่จะต้องตั้งใจฟังเป็อย่างยิ่ง
มู่เหลย พี่รองแห่งตระกูลมู่ กุมกองกำลังทหารจำนวนมหาศาลไว้ในมือั้แ่อายุยังน้อยซึ่งเป็เื่ที่น่าทึ่งยิ่งนัก
“พี่รองน่าทึ่งเหลือเกินเ้าค่ะ”
ฮวาเหยียนถอนหายใจอย่างจริงใจ
มู่เสวียนเย่ยกยิ้มมุมปาก “ถ้าพี่รองของเ้ารู้ว่าเ้ายกย่องเขาแบบนี้ เขาคงมีความสุขมาก ท่านพ่อได้ส่งจดหมายไปหาเขาแล้ว หลังจากที่เขาได้รับจดหมาย เขาน่าจะรีบกลับมา”
“เ้าค่ะ พี่ใหญ่ พี่รองเป็คนอย่างไรหรือเ้าคะ? ”
ฮวาเหยียนถาม ตอนนี้นางถือว่าตัวเองเป็คนในตระกูลมู่แล้ว นางจึงอยากเข้าใจทุกคนในตระกูลมู่ให้มากขึ้นไปอีก
“รอเขากลับมาเ้าก็จะรู้เอง”
ในยามนั้น นับว่ามู่เสวียนเย่ขายเื่น่าสนใจได้สำเร็จแล้ว
ฮวาเหยียนเผลอยิ้มออกมา นางยิ้มจนตาโค้งเป็เสี้ยวพระจันทร์ พี่รองจะต้องเป็คนที่เรียบง่าย เป็ชายผู้งดงามหล่อเหลาและมีไหวพริบเป็แน่
“พี่สามของเ้า มู่จื่ออ๋าง ปีนี้อายุยี่สิบสองปี เขาแก่กว่าเ้าเพียงสองปี เขาไม่ได้เป็ขุนนาง ั้แ่เด็ก คนที่ไม่เชื่อฟังมากที่สุดก็คือเขา แข่งม้าตีไก่ กินเล่นเที่ยว ไม่ว่าจะเป็ประสบการณ์เช่นไร เขาล้วนผ่านมาหมดแล้ว...”
มู่เสวียนเย่เอ่ยช้าๆ คำเอ่ยของเขาแฝงไปด้วยความรู้สึกจนใจของพี่ชายที่มีต่อความดื้อรั้นของน้องชายแต่ก็มีการให้อภัยและการเอาใจใส่รวมอยู่ด้วย ฮวาเหยียนฟังอย่างเงียบๆ พร้อมกับวาดภาพพี่สามของตระกูลมู่ในใจของนาง คุณชายบ้านรวยในเมืองหลวง มีพี่ชายน้องชายผู้ดื้อรั้นและนิสัยเกเร
เอ่ยถึงพี่สาม ฮวาเหยียนกะพริบตา ปีนี้เขาอายุยี่สิบสองปี แก่กว่ามู่อันเหยียนแห่งตระกูลมู่สองปี ทว่า... ปีนี้นางเองก็อายุยี่สิบปีเช่นเดียวกัน ต้องบอกว่า เื่ราวบางอย่างช่างบังเอิญเสียจริง รูปร่างหน้าตาของมู่อันเหยียนแห่งตระกูลมู่ไม่เพียงแต่มีลักษณะเหมือนกับนางเท่านั้นแต่อายุก็ยังเท่ากันอีกด้วย
ความบังเอิญเช่นนี้เป็พระประสงค์ของพระเ้าจริงๆ ไม่เช่นนั้นคนสองคนจากคนละเวลาและพื้นที่จะมาพบเจอกันได้อย่างไร
"พี่สามของข้าช่างใช้ชีวิตได้ตามอำเภอใจเหลือเกินเ้าค่ะ"
ฮวาเหยียนสามารถนึกภาพของคุณชายน้อยแห่งตระกูลมู่ที่อาศัยในอาณาจักรต้าโจวออก เขาต้องใช้ชีวิตอย่างเลื่อนลอยไร้จุดหมาย ฐานะร่ำรวยสูงส่ง ทั้งยังมีพ่อและพี่ชายที่รักเขา ชีวิตแบบนี้ช่างเป็ชีวิตที่นางพึงใจนัก ดังนั้นจึงอดไม่ได้ที่จะอุทานออกมา
มู่เสวียนเย่พ่นเสียงคำราม “ใช่แล้ว พี่สามของเ้าเคยเป็คนที่ไม่เชื่อฟังมากที่สุดในครอบครัว เขาสามารถก่อปัญหาได้มากมายนัก ท่านพ่อมักจะลงโทษเขาให้คุกเข่าในโถงบรรพบุรุษ ในตอนนั้นเ้าก็มักจะลักลอบส่งข้าวให้เขาเสมอ "
ฮวาเหยียนคล้อยตามคำกล่าวของมู่เสวียนเย่ แล้วภาพก็แวบเข้ามาในหัวของนาง แท้จริงแล้วนี่เป็เื่ราวของคนอื่น แต่นอกเหนือจากความอิจฉาริษยาที่ผุดขึ้นในหัวใจของนางแล้ว ดูเหมือนว่านางจะรู้สึกคล้อยตามแบบเดียวกันจริงๆ
“แล้วพี่สาม ตอนนี้เขาอยู่ที่ใดหรือเ้าคะ? ”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้