เกาเหรินเป็คนแรกที่เปิดหน้าต่างพุ่งพรวดออกไป ทำเอาเฝิงเจี่ยนที่เพิ่งตื่นขึ้นมาถูกลมหนาวและละอองหิมะจากด้านนอกพัดเข้าใส่เต็มหน้า ก็นับว่าเป็การช่วยขจัดอาการง่วงซึมที่มีอยู่ให้หายไปอย่างไม่เหลือเงา
ดวงตาของผู้เฒ่าหยางมีแววขบขันวาบผ่าน แต่มือกลับรีบปิดหน้าต่างโดยไว “ไม่รู้ว่าแม่นางลู่ทำอะไรกินอีกแล้ว หากต้องพักอยู่ที่นี่หลายเดือนเกรงว่าข้าจะอ้วนจนเดินไม่ไหวแล้วขอรับ”
มุมปากของเฝิงเจี่ยนยกโค้งขึ้นน้อยๆ อย่างไม่รู้ตัว เมื่อก่อนเขายุ่งอยู่ตลอด ไม่เคยได้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขแบบนี้ เช่นได้นอนหลับเต็มอิ่ม และตื่นขึ้นมาพร้อมกับมีอาหารเช้าอันหอมหวนรออยู่
ในห้องครัว ลู่เสี่ยวหมี่มือหนึ่งเท้าเอว มือหนึ่งหิ้วเกาเหรินออกมาทิ้งหน้าประตู ตำหนิเขาอย่างโกรธๆ ว่า “ยังไม่ทันล้างมือก็วิ่งมาแอบกิน รีบไปล้างหน้าล้างตาให้สะอาด ไม่เช่นนั้นเช้านี้ไม่ให้เ้ากินข้าว”
เกาเหรินโมโหยิ่งนัก เขาสะบัดศีรษะแรงๆ ผมผูกชี้ฟ้าที่หลุดรุ่ยปรกลงมาบนใบหน้า เขาแทบอยากจะยกมือขึ้นบีบแม่นางน้อยคนนี้ที่กล้ามาล่วงเกินเขาให้ตายคามือ แต่มือยกขึ้นมาแล้ว หมัดก็กำแล้ว แต่จะอย่างไรก็ทิ้งน้ำหนักลงใส่อีกฝ่ายไม่ได้สักที
เขาสูดกลิ่มหอมในห้องครัวเข้าเต็มปอด จากนั้นก็รีบวิ่งไปข้างบ่อน้ำทันที ไม่สนใจว่าน้ำในบ่อ่ฤดูหนาวเย็นเยียบเสียดกระดูกแค่ไหน เขาตักน้ำขึ้นมาถังหนึ่งแล้วจุ่มหน้าทำความสะอาดตัวเองทันใด
หึ รอหลังจากกินอาหารเช้ามื้อนี้เสร็จแล้ว จะต้องสำแดงฤทธิ์ให้ยัยหนูน้อยคนนั้นดูสักหน่อย แต่ได้ยินว่าตอนเที่ยงมีเต้าหู้แช่แข็ง หรือว่าต้องยืดเวลาออกไปอีกนิด...
ลู่เสี่ยวหมี่เห็นเกาเหรินเอาศีรษะจุ่มลงไปในถังน้ำ นางก็อดตัวสั่นแทนเขาไม่ได้ ก่อนจะรีบหมุนกายกลับไปตักแป้ง
ตอนที่ผู้เฒ่าหยางสวมเสื้อคลุม ล้างหน้าล้างตาแล้วเดินมาช่วยในครัวนั้นก็ต้องใเพราะแป้งสองกะละมังใหญ่ตรงหน้า
“แม่นางลู่ เ้าจะทำเส้นบะหมี่หรือ”
ลู่เสี่ยวหมี่เช็ดเหงื่อเล็กน้อย ยิ้มตอบว่า “ไม่ใช่หรอกเ้าค่ะ ข้าเตรียมจะทำซาลาเปากับเกี๊ยวให้มากสักหน่อย ให้พี่สามข้านำกลับไปสำนักศึกษาด้วย หากตกดึกหิวขึ้นมาจะได้นำมาอุ่นกินรองท้อง”
ผู้เฒ่าหยางได้ยินก็อดหันไปกวาดตามองแป้งในกะละมังที่น้ำหนักน่าจะหลายสิบจินนั่นอีกครั้งไม่ได้ เขารับรู้ได้ถึงว่าความห่วงใยมหาศาลที่แม่นางน้อยคนนี้มีต่อพี่ชายของนาง
แป้งขนาดนี้เกรงว่าทั้งวันก็คงทำไม่หมดกระมัง
“หากแม่นางเชื่อมือ หลังรับประทานอาหารเสร็จแล้วก็เรียกให้พวกเรามาช่วยเถอะ”
ลู่เสี่ยวหมี่ลังเลเล็กน้อย สุดท้ายก็พยักหน้า “ได้เ้าค่ะ เช่นนั้นก็ลำบากท่านลุงหยางแล้ว”
...
ั้แ่เข้าประตูรั้วบ้านสกุลลู่มา คล้ายว่าพริบตาเดียวก็ผ่านไปครึ่งเดือนแล้ว เฝิงเจี่ยนเองก็ชินกับการที่ทุกคนมารวมตัวกันกินอาหารในห้องเขาเสียแล้ว ตอนนี้หากจะให้เขากลับไปใช้ชีวิตเหมือนยี่สิบปีที่ผ่านมาที่ต้องกินข้าวคนเดียวอยู่ตลอด ก็คงจะไร้รสชาติพาลไม่อยากอาหารไป ที่ว่าความเคยชินเป็สิ่งที่น่ากลัวอย่างยิ่งช่างเป็ความจริงนัก...
ทว่า ตอนนี้เขาสังเกตเห็นความผิดปกติบางอย่าง ในถ้วยของคนอื่นมีเส้นบะหมี่สีขาวเนียน โรยทับด้วยหมูสับผัดสีแดงฉ่ำ ยังมีต้นหอมสับละเอียดสีมรกตและแตงกวาดองเส้นเล็กโรยผสมอยู่ โปะทับด้วยไข่ดาวสีขาวเหลืองที่ชั้นบนสุด สีสันโดนเด่นตัดกันดูน่ากิน ส่วนถ้วยของเขานั้นความจริงแล้วก็อุดมสมบูรณ์ไม่แพ้กัน ขาดก็แต่น้ำมันพริกสีแดงๆ นั่นเท่านั้น
แต่เขาก็ไม่ได้พูดอะไร เขายกถ้วยขึ้นใช้ตะเกียบคนบะหมี่ในถ้วยตามบรรดาบุตรชายสกุลลู่ แต่สายตาก็ยังอดวนไปที่ถ้วยของคนอื่นเป็ครั้งคราวไม่ได้
แน่นอนว่าลู่เสี่ยวหมี่ย่อมสังเกตเห็น นางรีบอธิบายว่า “พี่ใหญ่เฝิง หมูสับผัดนี้ข้าใส่น้ำมันพริกลงไปด้วย ขาของท่านยังไม่หายดี จำต้องงดของเหล่านี้ ท่านยังต้องอดทนไปอีกสักพัก”
เฝิงเจี่ยนเลิกคิ้ว ชัดเจนว่าไม่พอใจ
เกาเหรินไม่รู้ไปเอาความกล้ามาจากไหน หรือเพราะต่อยตีมากไปจนรอยหยักในสมองหายไปจนหมดแล้ว เขาเป็ต้องทำอะไรสวนทางเ้านายตัวเองอยู่เสมอ ทั้งยังขัดเ้านายตัวเองในทุกๆ เื่ ยามนี้เห็นว่าเ้านายของตนถูกปฏิบัติแตกต่างออกไปจากคนอื่น ก็อารมณ์ดีจนแทบจะะโโลดเต้น ทางหนึ่งกินบะหมี่คำใหญ่ ทางหนึ่งส่ายศีรษะชื่นชมไม่ขาดปาก “หมูสับผัดน้ำมันพริกนี่อร่อยยิ่งนัก อร่อยเสียยิ่งกว่าร้านเก่าแก่ชื่อดังของสกุลหลิวในเมืองหลวงเสียอีก”
เป็ดังคาด เฝิงเจี่ยนสีหน้าดำคล้ำยิ่งกว่าเดิม
ลู่เสี่ยวหมี่ถลึงตาใส่เกาเหรินไปทีหนึ่ง “อร่อยก็รีบๆ กินเข้า โอ้อวดอันใดอยู่ได้ ถ้ายังสร้างเื่อีก ตอนเที่ยงเ้าจะไม่มีเกี๊ยวกิน”
เกาเหรินโกรธจนแก้มป่อง ถลึงตา มือก็ยิ่งขยับตะเกียบโกยบะหมี่เข้าปากอย่างรวดเร็ว
ลู่เสี่ยวหมี่คีบคนบะหมี่ในถ้วย ไม่รู้เพราะเหตุใดจู่ๆ ถึงได้รู้สึกใจอ่อนขึ้นมา สุดท้ายนางก็ตักหมูสับผัดน้ำมันพริกครึ่งช้อนโรยไปในถ้วยของเฝิงเจี่ยน
เฝิงเจี่ยนเงยหน้าขึ้น ดวงตาเป็ประกาย แวววาวจนลู่เสี่ยวหมี่หน้าแดง กล่าวเสียงเบาว่า “ให้ท่านได้แค่ครึ่งช้อน มากกว่านี้ไม่ได้แล้ว อีกประเดี๋ยวยังต้องดื่มยาอีก ต้องระมัดระวังเื่อาหารที่กินเข้าไปให้มากเ้าค่ะ”
เฝิงเจี่ยนพยักหน้า ก้มหน้าลงแต่มุมปากกลับยกสูงขึ้น
หมูสามชั้นที่สับเป็ชิ้นเล็กๆ ถูกผัดจนเป็สีเข้มส่งกลิ่นหอม นำมาผสมกับพริกเผ็ดๆ ความสดของหัวหอมกับความเค็มของโต้วป้านเจี้ยง [1] ทั้งหมดนี้ผสมรวมกันกับเส้นบะหมี่ที่ลวกกำลังพอดี เมื่อได้กินคู่กันกลืนลงกระเพาะไป ก็ราวกับเป็รสชาติที่เลิศล้ำที่สุดในโลกนี้ กระเพาะและลำไส้ดูดซึมให้รู้สึกพอใจเป็ที่ยิ่ง
เกาเหรินมองเ้านายของตนกินอย่างเอร็ดอร่อยด้วยสีหน้าขุ่นเคือง จากนั้นจึงเอื้อมมือไปตักหมูสับผัดน้ำมันพริกมาอีกช้อนใหญ่...
มื้อเช้านี้จบลงอย่างอิ่มหนำ ผู้เฒ่าหยางช่วยเก็บถ้วยและตะเกียบออกไป แต่ไม่ได้ย้ายโต๊ะออก
พี่สามลู่เตรียมจะลงมือเก็บโต๊ะ กลับถูกเขาขวางไว้ด้วยรอยยิ้ม “คุณชายสามลู่ แม่นางเสี่ยวหมี่จะนำทุกคนช่วยห่อเกี๊ยวและซาลาเปาให้ท่านไปกินที่สำนักศึกษา”
“ห่อเกี๊ยว?”
เมื่อได้ยินว่าจะทำอาหารกัน พี่ใหญ่ลู่และพี่รองลู่ที่เตรียมจะออกจากห้องก็หันหน้ากลับมา ไม่เพียงไม่หงุดหงิดรำคาญ ยังรู้สึกยินดีอย่างยิ่ง เื่นี้เหนือความคาดหมายของผู้เฒ่าหยางไปมาก
มีเพียงพี่สามลู่ที่ขมวดคิ้วถาม “ข้ากลับไปสำนักศึกษาแค่เดือนกว่าๆ ก็เป็วันหยุดกลับบ้านแล้ว เตรียมของกินไปมากขนาดนี้ ไม่เยอะเกินไปหน่อยหรือ?”
ลู่อู่กลับถูมือไปมา ยิ้มกล่าวว่า “ไม่เยอะๆ เสี่ยวหมี่ทำไส้เกี๊ยวไส้ซาลาเปาอร่อยที่สุด หากเ้ารังเกียจว่ามากไป ระหว่างทางข้าจะช่วยเ้ากินให้มากหน่อยก็แล้วกัน”
พี่ใหญ่ลู่ตีศีรษะพี่รองลู่ที่สติสตังไม่ค่อยดีไปทีหนึ่ง ตอนที่เตรียมจะเอ่ยปากด่า เสี่ยวหมี่ก็เดินถือกะละมังแป้งเข้ามา ส่วนผู้เฒ่าหยางก็ช่วยยกไส้ที่ผสมเสร็จแล้วเข้ามา
เดิมทีเฝิงเจี่ยนซุกตัวเข้าไปในผ้าห่มและยกตำราขึ้นมาเตรียมอ่านแล้ว เมื่อเห็นสถานการณ์ตรงหน้าก็ขมวดคิ้วน้อยๆ แล้ววางตำราลง
ลู่เสี่ยวหมี่ให้ทุกคนล้างมือก่อน จากนั้นจึงเริ่มกระบวนการนวดคลึงแป้งและตัดแบ่งเป็แผ่น
บรรดาบุรุษทั้งหลายรวมถึงเกาเหรินเข้าไปนั่งล้อมโต๊ะ ในมือถือแป้งเกี๊ยวที่ตัดเป็แผ่นกลม ท่าทางแต่ละคนดูเคร่งเครียดเหมือนกำลังเผชิญหน้ากับศัตรูตัวฉกาจ
ลู่เสี่ยวหมี่ถือใบพายขนาดจิ๋วที่ฝนมาจากกระดูกซี่โครงหมูตักไส้หมูที่ปรุงรสเรียบร้อยแล้วปาดลงบนแผ่นแป้ง นิ้วทั้งสิบเคลื่อนไหวคล่องแคล่วงดงาม พริบตาเดียวก็ห่อเกี๊ยวหน้าตาน่ารับประทานออกมาได้สำเร็จ
ทุกคนดูแล้วก็รู้สึกว่าง่ายดายยิ่งนัก แต่เมื่อลงมือทำกลับพบว่า ประโยคที่ว่า ชมบุปผาง่ายปักบุปผายาก [2] ที่เขาพูดกันนั้นไม่ผิดเลย
“มันล้นออกมาแล้ว ล้นออกมาแล้ว”
“น้องหญิง แผ่นแป้งมันเล็กเกินไป ใส่ไม่หมดทำอย่างไรดี”
ลู่เสี่ยวหมี่แปลงร่างเป็หน่วยกู้ภัยเข้าช่วยเหลือลูกมือทั้งหลาย ประเดี๋ยวก็ไปช่วยเกี๊ยวท้องโตของพี่รองลดน้ำหนัก ประเดี๋ยวก็ตีมือเกาเหรินที่เอาแต่จะแอบกินไส้เกี๊ยว
ไม่ง่ายเลยกว่าจะสอนจนทุกคนพอจะทำเกี๊ยวออกมาเป็รูปเป็ร่างได้ หันกลับมาอีกทีก็เห็นว่าตรงหน้าเฝิงเจี่ยนมีเกี๊ยวที่ห่อเสร็จแล้วสองตัววางอยู่ ถึงแม้จะไม่งดงามเท่าชิ้นที่นางห่อ แต่ก็นับว่าเรียบร้อยดี
นางอดยิ้มกล่าวออกมาไม่ได้ว่า “โอ้โฮ พี่ใหญ่เฝิงฝีมือดีจริงๆ มิน่าเล่าเมื่อเช้านี้ท่านลุงหยางถึงได้ชมท่านให้ข้าฟัง”
ทุกคนได้ยินก็พากันหันไปมอง แน่นอนว่าแต่ละคนอดแสดงความอิจฉาริษยาออกมาเล็กน้อยไม่ได้
เฝิงเจี่ยนไม่ตอบอะไร เพียงแต่ใบหูของเขาค่อยๆ กลายเป็สีแดง หางตาก็ชี้ขึ้นน้อยๆ อย่างอวดดี และยิ่งตั้งมาตรฐานกับผลงานชิ้นต่อไปของตนให้สูงขึ้น
คนน้อยประหยัดข้าว คนมากประหยัดแรง ลู่เสี่ยวหมี่รับหน้าที่นวดแป้งตัดแป้ง คนอื่นๆ รับหน้าที่ห่อเกี๊ยว เพียงแค่ครึ่งเช้า เกี๊ยวที่ห่อเสร็จแล้วก็วางอยู่เต็มหกกระบุง เดิมทีลู่เสี่ยวหมี่คิดจะแบ่งมาปั้นซาลาเปาครึ่งหนึ่ง แต่เมื่อเห็นว่าทุกคนดูเหมือนจะชอบเกี๊ยวมากกว่าจึงไม่เอ่ยปากอะไร
หม้อเหล็กใบใหญ่ที่สุดในห้องครัวถูกตั้งลงบนเตาต้มจนน้ำครึ่งหนึ่งในหม้อเดือด เมื่อฟองสีขาวผุดพรายขึ้นมา ก็ใส่เกี๊ยวลงไปในหม้อทีละชิ้นทีละชิ้น เกี๊ยวพวกนั้นจมลงไปที่ก้นหม้อ ครู่เดียวก็พากันพลิกร่างขึ้นมาเบียดเสียดกันอยู่บนผิวน้ำ เหมือนห่านขาวตัวน้อยน่ารักที่ลอยอยู่เหนือน้ำ
เกาเหรินนั่งยองๆ อยู่หน้าเตา พูดเสียสวยหรูว่ามาช่วยดูฟืนไฟ ความจริงแล้วยามผู้อื่นเผลอเขาก็จะจับห่านขาวในหม้อขึ้นมาชิมดูว่าสุกแล้วหรือไม่ ทำเอาเสี่ยวหมี่ดุด้วยความใอยู่หลายครั้ง สุดท้ายถึงพบว่ามือของเขาไม่มีอาการผุพองจากการจับของร้อนแม้แต่น้อย
เมื่อเกี๊ยวถูกยกขึ้นโต๊ะ ก็พบว่าทุกคนผสมซีอิ๊วกับกระเทียมรออยู่ก่อนแล้ว
แม้แต่บิดาลู่ที่ไม่ได้ออกจากห้องมาหลายวันก็ยังมานั่งรออยู่ด้วย แม้สีหน้าของเขายังดูซีดเซียวอยู่บ้าง แต่ความเร็วในการคีบเกี๊ยวไม่ด้อยกว่าใครทั้งนั้น
ลู่เสี่ยวหมี่อารมณ์ดีอย่างยิ่ง เอ่ยปากให้ทุกคนกินเยอะๆ
คนในหมู่บ้านเขาหมีนิยมดองผักกันใน่ปลายเดือนแปดหรือต้นเดือนเก้า บ้านที่สมาชิกเยอะหน่อยอาจต้องดองเก็บไว้ถึงสองโอ่ง หากสมาชิกน้อยหน่อยก็หนึ่งโอ่ง
นับจนถึงตอนนี้ผักถูกดองไว้นานถึงสองเดือนกว่าแล้ว เป็่ที่รสชาติดีที่สุด ฤดูหนาวมีผักสดให้บริโภคน้อย ดังนั้นเมื่อคืนตอนที่ทำไส้เกี๊ยว นางลังเลอยู่ครู่หนึ่งแต่สุดท้ายก็ล้วงผักดองออกมา
หลังจากเหนื่อยกันมาทั้งเช้า ทุกคนได้รับ ‘ค่าแรง’ กันแล้วก็รู้สึกพออกพอใจยิ่งนัก
เมื่อกินกันจนอิ่มหนำสำราญ ทุกคนไม่มีใครอยากขยับตัว ต่างวางถ้วยเปล่าลงบนโต๊ะแต่ไม่มีใครขยับเอาไปเก็บ
ในเวลานี้เองจู่ๆ ก็มีแขกมาเยือน
หลิวเสี่ยวเตากอดเหล็กสีดำวิ่งเข้ามาในเรือน “น้องหญิงเสี่ยวหมี่ รีบมาดูเร็วเข้าว่านี่คือสิ่งใด”
ลู่เสี่ยวหมี่เดินออกมา กวาดตาไปทีหนึ่งจากนั้นก็ยิ้มกล่าวว่า “โอ้โฮ พี่เสี่ยวเตา ท่านลุงหลิวทำเตาเสร็จเร็วถึงเพียงนี้เชียวหรือ”
“แน่นอน มีข้าคอยช่วยอยู่ข้างๆ ด้วย”
หลิวเสี่ยวเตายิ้มยิงฟันกว้าง ฟันขาวจั๊วะของเขาสะท้อนแสงกลางแสงอาทิตย์ ทำเอาเฝิงเจี่ยนที่แอบเปิดหน้าต่างมองลอดออกมารู้สึกแสบตา
ลู่เสี่ยวหมี่เดินวนดูสิ่งที่ลู่เสี่ยวเตานำมาอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นกล่าวว่า “เตานี้มอบให้พี่สามข้าเอาไปใช้ที่สำนักศึกษาก่อน ที่เหลืออีกอันหนึ่งให้เอาไปไว้ที่ห้องพี่ใหญ่เฝิง แต่ก็ไม่รีบมากนัก พี่เสี่ยวเตากลับไปบอกท่านลุงหลิวเถอะว่าอย่าหักโหมเกินไป รออีกสองสามวันก็ได้เ้าค่ะ”
พูดจบนางก็วิ่งเข้าไปในครัวถือเกี๊ยวถ้วยหนึ่งออกมาส่งให้ลู่เสี่ยวเตา “ที่บ้านข้าต้มเกี๊ยว เดิมทีข้ายังคิดจะเอาไปให้ท่านป้าหลิวอยู่เลย พอดีพี่เสี่ยวเตามาหาเสียก่อน ข้าจึงสบายหน่อย ไม่ต้องเดินไปถึงบ้านท่าน”
เชิงอรรถ
[1] โต้วป้านเจี้ยง(豆瓣酱)เครื่องปรุงรสดั้งเดิมของจีน ที่ทำจากถั่วปากอ้า พริกไทยสด เกลือ แป้งเป็ต้น นำมาหมักรวมกัน
[2] ชมบุปผาง่ายปักบุปผายาก(看花容易绣花难)เป็สำนวนเปรียบเปรยว่า เวลาชมดอกไม้นั้นง่าย แต่ถึงเวลาต้องลงมือปักดอกไม้ลงบนผืนผ้าเองจริงๆ นั้นยาก หรือก็คือยามทำจริงมักจะยากกว่าที่จินตนาการไว้เสมอ
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้