หลินฟู่อินรู้ว่านางกำลังคิดอะไรอยู่ จึงยิ้มแล้วกล่าวว่า “พี่อาเฟิน พี่อาฟาง ข้าอยากให้พวกท่านไปช่วยข้าเก็บอ้ายเฉ่าเ้าค่ะ”
“อ้ายเฉ่าหรือ? น้องฟู่อินจะเอาไปใช้ทำอะไรหรือ? อันที่ข้ากับพี่ขุดก็หายไปแล้วด้วย” อาฟางกล่าว
ในดินแดนต้าเว่ย อ้ายเฉ่าถูกเรียกว่าอ้ายเฉ่าเพราะกลิ่นอันเป็เอกลักษณ์ที่ทำให้คนไม่อยากเข้าใกล้มันกัน
“อาฟาง อย่าถามมากเกินไปสิ!” อาเฟินสะดุ้งกับการถามซอกแซกของนาง จนต้องเอ่ยเตือนที่นางอดกลั้นความอยากรู้ไม่ได้เสียแรง
อาเฟินหันไปมองหลินฟู่อิน หลินฟู่อินเองก็ไม่ได้คิดจะปิดบังพวกนาง จึงยิ้ม “ข้าขายไปแล้ว”
“ขาย… ขายไปแล้ว?” อาฟางที่ได้ยินคำตอบนั้นเบิกตากว้าง “น้องฟู่อิน แปลว่าผักป่าพวกนี้เป็ที่้าหรือ?”
“อาฟาง!” อาเฟินไม่สบายใจจนต้องยื่นมือออกไปดึงแขนเสื้อนาง “ทำไมเ้าปากรั่วขนาดนี้?” แล้วจึงหันไปบอกหลินฟู่อินด้วยสีหน้ารู้สึกผิด “น้องฟู่อิน อย่าว่าอาฟางเลยนะ…”
หลินฟู่อินหัวเราะแล้วส่ายหน้า “ไม่เป็ไร ผักป่าพวกนั้นเป็สมุนไพร ไม่อย่างนั้นข้าคงไม่บอกให้พวกท่านไปขุดมาหรอก อ๊ะ แต่ปิดเื่นี้ไว้เป็ความลับด้วยนะเ้าคะ”
สมุนไพรหรือ?
แม้พี่น้องอาฟางและอาเฟินจะประหลาดใจมาก แต่เพราะโดยพื้นฐานแล้วพวกนางไม่ใช่คนชอบจุ้นจ้าน ทั้งยังรู้สึกเป็หนี้หลินฟู่อิน พวกนางจึงพยักหน้าแล้วตอบรับทันที “น้องฟู่อินไม่ต้องเป็กังวล ปากของพวกข้าปิดสนิท ต่อให้ท่านพ่อกับท่านแม่ถามพวกข้าก็ไม่บอกหรอก”
หลินฟู่อินยกยิ้มอย่างพอใจ
สองพี่น้องตอบรับคำขอของนาง ที่ให้ไปตัดอ้ายเฉ่าใน่ครึ่งวันหลังจากนี้อย่างยินดี
เมื่อรู้ว่าหลินฟู่อินขายสมุนไพรที่เก็บมาได้ สองพี่น้องจึงเกิดความตื่นเต้นขึ้นมา เพราะมันแปลว่าพวกนางไม่ต้องห่วงเื่ที่หลินฟู่อินจะจ่ายงานให้พวกนางโดยเสียเงินเปล่าแล้ว
มันคุ้มค่าที่ได้ทำ
สองพี่น้องยิ่งมีความมั่นใจในอนาคตของพวกตนขึ้นไปอีก
เมื่อเห็นว่ายังเร็วไปสำหรับมื้อเที่ยง หลินฟู่อินจึงพาสองพี่น้องออกไปเก็บบวบมาสองสามลูก มะเขือยาวสิบกว่าลูก และพริกอีกหนึ่งตะกร้าที่สวนผัก ก่อนจะกลับมาที่บ้าน
ตอนที่หลินต้าเหอแยกบ้านออกมา เขาไม่ได้ผักในแปลงไปเลยสักชิ้น ทั้งๆ ที่ผักในบ้านเดิมนั้นต่างก็เป็ของที่เฟิงซื่อ อาฟางและอาเฟินปลูกแท้ๆ
เป็ผลให้บ้านหลินต้าเหอต้องกินแค่เจียนปิ่ง [1] แห้งๆ ติดกันมาหลายวันแล้ว
หลังจากที่อาฟางและอาเฟินเริ่มคุ้นเคยกับหลินฟู่อิน พวกนางก็เข้าใจว่านางเป็คนอย่างไร จึงเลิกทำตัวสุภาพจนเกินเหตุกับนาง เมื่อขอบคุณนางแล้ว ทั้งสองจึงหอบผักเ่าั้กลับไปยังกระต๊อบไม้ของตน
หลังจากนั่งคิดดู หลินฟู่อินจึงปรึกษากับย่าหลี่ว่า “ท่านย่า ท่านว่าข้าควรจะจ่ายเงินล่วงหน้าสักสองสามเดือนให้พี่อาฟางและพี่อาเฟินก่อน ดีหรือไม่”
ย่าหลี่หันมามองนางในระหว่างที่กำลังแกะถั่วฝักยาว กล่าวพร้อมรอยยิ้ม “เป็ห่วงพวกนางสินะ?”
หลินฟู่อินเอียงคอ “ข้าแค่ทนเห็นสี่ชีวิตต้องทนอัดอยู่ในกระต๊อบไม้ไม่ได้เท่านั้น เพราะอย่างนั้นการรีบไปหาที่แล้วปลูกบ้านย่อมดีกว่า ยังไงหน้าร้อนก็เหลืออีกไม่กี่เดือน จากนั้นก็เป็หน้าหนาวแล้ว”
อีกเื่ที่นางไม่บอกย่าหลี่คือเื่ที่นางรู้สึกว่า ในเมื่อนางอยากใช้งานบ้านรอง นางก็ควรจะแก้ไขปัญหาชีวิตของพวกเขาเสียก่อน
ใน่หลังมานี้ แม้หลินต้าเหอจะไม่ได้บอกนาง ว่าเหมือนสามีภรรยาผู้าุโของบ้านหลินจะมีนิสัยแปลกๆ อยู่ แต่สามแม่ลูกเฟิงซื่อนั้นทำถูกแล้ว ทั้งสามได้เปลี่ยนแปลงเขา ซึ่งเป็ความเปลี่ยนแปลงที่ไม่ช้าหรือเร็วก็ต้องเกิด
ย่าหลี่เองก็พยักหน้า ก่อนจะกล่าว “ข้าเองก็คิดเหมือนกัน ในวันนั้นที่ข้าบอกให้เ้าขึ้นค่าจ้างของทั้งสองคน ข้าหมายถึงให้ขึ้นแค่เล็กน้อย เพราะบ้านหลินเดิมก็ย้ายเข้ามาหมู่บ้านหูลู่ได้ไม่นานเมื่อเทียบกับบ้านอื่น ในหมู่บ้านจึงมีคนตระกูลนี้ไม่มาก การผูกพันธ์กันไว้จึงเป็เื่ดีกว่า เพราะเมื่อเป็แบบนั้นแล้วก็จะไม่มีใครกล้ามารังแกด้วย”
หลินฟู่อินนั่งคิด บ้านเดิมของบ้านหลินก็มีแต่คนไม่ปกติจริงๆ
“ถ้าอย่างนั้น พอทานข้าวเที่ยงเสร็จแล้ว ข้าจะไปคุยกับป้ารองเพื่อช่วยเื่ปลูกบ้าน” หลินฟู่อินกล่าว
“จะช่วยเื่ปลูกบ้านหรือ?” ย่าหลี่หยุดมือที่กำลังทำงานอยู่ ถามอย่างงงงวย
หลินฟู่อินพยักหน้า “ข้าไม่ได้จะให้เงินพวกเขา เพราะให้ไปก็เก็บไว้ไม่ได้ ถ้าให้ไปย่ากับป้าใหญ่ก็คงตามมาด่าว่าเป็พวกอกตัญญู ส่งเงินที่มีมาซะ จนลุงรองทนไม่ได้อีก”
ย่าหลี่คิดดูแล้วก็เห็นด้วยว่าเป็ไปได้
“ฟู่อิน ถ้าอย่างนั้นไปจ้างให้คนอื่นมาปลูกบ้านให้จะดีกว่า แต่เื่ที่ปลูกที่เป็ปัญหาพื้นฐานเองก็ยุ่งยากเช่นกัน คิดหรือยังว่าจะให้พวกเขาไปปลูกบ้านที่ไหน?”
“เื่นั้นต้องถามป้ารอง” นางเผลอเมินความคิดเห็นของหลินต้าเหอไปโดยไม่รู้ตัว
เื่สำคัญเช่นการปลูกบ้านเช่นนี้ ควรจะปรึกษากับคนที่เชื่อถือได้เช่นเฟิงซื่อจะดีกว่า
และในตอนที่หลินฟู่อินยังทานมื้อเที่ยงไม่เสร็จ ก็มีใครบางคนมาทุบประตูบ้านนางอย่างรุนแรง
หลินฟู่อินและย่าหลี่มองหน้ากัน แล้วจึงวางตะเกียบเพื่อไปเปิดประตู
ป้ารองของต้ายาจูซื่อ และย่าของต้ายาเหลียงซื่อ ทั้งสองมองนางด้วยสีหน้าร้อนรนพลางอุ้มเด็กวัยสองเดือนไว้ในอ้อมแขน
“ย่าเหลียงซื่อ มีธุระอะไรหรือ?” หลินฟู่อินมองพวกนางพลางขมวดคิ้วเล็กน้อย
“ฟู่อิน ช่วยต้าหลางด้วย…” จูซื่อร้องไห้ออกมาทันทีที่เห็นหน้านาง
หลินฟู่อินให้พวกนางเข้าบ้าน ก่อนจะเอ่ยถาม “ป้าจูซื่อ พูดช้าๆ ชัดๆ ไม่ต้องรีบ” แล้วจึงหันไปมองเหลียงซื่อที่มีสีหน้าไม่สบายใจ “ย่าเหลียง บอกมาว่าเกิดอะไรขึ้น”
เหลียงซื่อกำลังไม่สบายใจ เพราะพวกนางเคยเมินเฉยหลินฟู่อินในตอนที่นางมีปัญหา แต่พอพวกตัวเองมีอะไรขึ้นมาก็กลับวิ่งมาขอความช่วยเหลือ แต่เมื่อได้ยินหลินฟู่อินถาม นางจึงได้สติ
“ฟู่อิน ลูกคนโตของบ้านข้ามีไข้ขึ้นั้แ่เมื่อคืน ไม่มีแรง ไม่ดื่มนม ตอนแรกข้านึกว่ามันเป็สิ่งมลทินหรืออะไร ข้าเลยดูหนังสือดำและเผากระดาษเหลือง แต่ก็ไม่ดีขึ้นเลย ทั้งไข้ยังหนักขึ้นอีก ข้าได้ยินว่าเ้ารู้วิชาแพทย์ ข้ากับสะใภ้รองจึงพาเด็กคนนี้มา…”
เมื่อเหลียงซื่ออธิบายทุกอย่างชัดเจนในรวดเดียว หลินฟู่อินจึงยื่นมือออกไปคว้าตัวเด็กมาทันที นางแตะหน้าผาก และเปิดผ้าอ้อมเพื่อดู่ล่าง
เมื่อจูซื่อและเหลียงซื่อเห็นนางทำเช่นนี้ พวกนางก็รีบเข้ามาหยุดทันที
“ฟู่อิน เด็กมีไข้เช่นนี้แถมไม่ใช่เพราะสิ่งมลทิน มันไม่ใช่หวัดหรือ? แล้วเ้าจะเปิดผ้าอ้อมทำไมกัน?” เหลียงซื่อเห็นการกระทำของนางก็ไม่พอใจขึ้นมา
“เป็หวัด หนักด้วย” เมื่อหลินฟู่อินแตะหน้าผากเด็ก นางก็รู้ว่ามันเป็หวัด อย่างน้อยๆ ก็สามสิบเก้าองศา เมื่อเห็นเหลียงซื่อถาม นางจึงอธิบาย “ป่วยหนักขนาดนี้ ร่างเล็กๆ ของเด็กน่ะระบายความร้อนได้ไม่ดี ยิ่งห่อไว้ยิ่งอันตราย”
“ท่านแม่ ลูกสะใภ้ข้าบอกว่า ตอนที่ย่าของฟู่อินเป็โรคท้องร่วงเมื่อคราวก่อน ก็เป็ฟู่อินที่เป็คนรักษา แถมผู้หญิงที่พาฟู่อินกลับมาในวันนั้นก็บอกว่าวิชาแพทย์ของฟู่อินดีมากด้วยไม่ใช่หรือ? ฟังที่ฟู่อินบอกเถอะ” จูซื่อกลัวว่าเหลียงซื่อจะทำให้ฟู่อินไม่พอใจจนไม่ยอมรักษาลูกของนาง นางจึงรีบเอ่ยแนะนำ
--------------------------------------------
เชิงอรรถ
[1] เจียนปิ่ง หมายถึง แพนเค้กจีน คือการเอาแป้งคล้ายๆ แป้งแพนเค้ก ไปทอดในกระทะ สามารถใส่ไข่ ใส่ผัก ใส่เนื้อร่วมได้
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้