หลินฟู่อินเม้มริมฝีปาก ก่อนจะส่งถุงกระดาษน้ำมันใส่ยาให้อีกฝ่าย “เช่นนั้นพี่หกสามารถใช้กำลังภายในป่นยาให้เป็ผงได้หรือไม่?”
เหล่าลิ่วชะงัก ก่อนจะโบกมือไปมา “เื่นี้… ข้าทำไม่ได้ ทำไม่ได้! เ้าไปหานายท่านของพวกข้าเถอะ”
หลินฟู่อินมองหน้าเขา แล้วหัวเราะออกมา “นึกว่าท่านตวนมู่วุ่นวายทั้งคืนไม่ได้พักผ่อน ข้าเลยไม่อยากไปรบกวน ไม่คาดว่าสุดท้ายก็ต้องพึ่งเขาจนได้”
ที่จริงแล้วตวนมู่เฉิงคนนั้นเ้าเล่ห์เกินไป นางกลัวว่าเขาจะจดบันทึกรายชื่อสมุนไพรเก็บไว้เป็ใบสั่งยา
แต่ที่จริงต่อให้เขาจดไป ก็ยังไม่รู้เื่สัดส่วนของสมุนไพรแต่ละชนิดอยู่ดี ดังนั้นจึงไม่มีประโยชน์สักเท่าไร ถือว่าวางใจได้อยู่
หวงฝู่จินเห็นดังนั้นมุมปากก็กระตุกขึ้นเล็กน้อย
ดูเหมือนเด็กคนนี้ก็รู้ตัวว่าตำรับยาของตนมีค่ามากเพียงใด จึงไม่คิดปล่อยให้ผู้อื่นรู้
ตอนที่ตวนมู่เฉิงกลับเข้ามา หวงฝู่จินก็กล่าวขึ้น “ตวนมู่ สิ่งที่ข้า้า สิ่งที่ข้าต้องใช้ล้วนชัดเจน อย่าได้ทำให้เสียชื่อของข้าได้”
สีหน้าของตวนมู่เฉิงหม่นลงเล็กน้อย รับรู้ว่าผู้เป็นายกำลังออกปากเตือน ไม่ให้เขาละโมบในตำรับยาของแม่นางหลิน ตวนมู่เฉิงใบหน้าแดงก่ำขึ้นมาแล้วจึงรับคำเสียงดัง
หลินฟู่อินมองหวงฝู่จินที่ยังคงนอนบนเตียงอย่างประหลาดใจ เมื่อเห็นอีกฝ่ายยิ้มจนตาโค้งก็รีบก้มหน้าลง
คนผู้นี้อ่านใจนางออก ก็เลยพูดเช่นนั้นกับตวนมู่เฉิงใช่หรือไม่นะ?
ไม่รู้ว่าเป็เพราะรำคาญหรือใจแคบกันแน่
แต่นี่มันเื่บ้าบออะไรกัน นางช่วยชีวิตเขาแล้วยังต้องยอมถวายตำรับยาให้อีกฝ่ายด้วยหรือ?
จะไร้เหตุผลเกินไปแล้ว!
“นายท่าน แม่นางหลิน สมุนไพรถูกบดเป็ผงเรียบร้อยแล้วขอรับ” เมื่อใช้กำลังภายในบดสมุนไพรจนละเอียด ตวนมู่เฉิงก็เข้ามารายงาน
“อืม” หวงฝู่จินส่งเสียงรับ ก่อนจะหันไปมองหลินฟู่อิน
เห็นคนที่ใหญ่สุดในบ้านหลังนี้มองไปยังหลินฟู่อิน เขาจึงเอ่ยถาม “แม่นางหลิน เช่นนี้ใช้การได้หรือไม่?”
เมื่อหลินฟู่อินเดินเข้าไปดูนางก็สูดลมหายใจเฮือกใหญ่ สมุนไพรป่นเหล่านี้เป็ผงละเอียดยิ่งกว่าใช้เครื่องบดยาในยุคปัจจุบันเสียอีก!
เห็นได้เลยว่ากำลังภายในของตวนมู่เฉิงคนนี้ช่างท้าทาย์โดยแท้
“แน่นอน ท่านตวนมู่เก่งกาจเกินไปแล้ว!” หลินฟู่อินออกปากชมจากหัวใจ
เมื่อตวนมู่เฉิงได้ยินถ้อยคำจริงใจของนางก็อารมณ์ดีขึ้นมาเช่นกัน “เช่นนั้นข้านำไปให้นายท่านได้เลยหรือไม่?”
“หัวหน้า ข้าว่าให้แม่นางหลินป้อนยานายท่านไม่ดีกว่าหรือ? ท่านมือไม้หนัก เกรงว่าหากไม่ระวังจะทำให้นายท่านาเ็เอาได้…” ทันใดนั้นเหล่าลิ่วก็พูดขึ้นมาอย่างกะทันหัน
“ข้าจะหักคอเ้าเสีย” ตวนมู่เฉิงจ้องเหล่าลิ่วเขม็ง ทำให้เ้าตัวหัวเราะ ก่อนจะวิ่งหนีออกไป
อันที่จริงตวนมู่เฉิงเกรงว่า แม่นางหลินฟู่อินผู้นี้จะทนมองแผลท่วมเืไม่ไหว จนพลั้งมือทำให้ผู้เป็นายาเ็กว่าเดิม แต่เมื่อได้ฟังที่เหล่าลิ่วพูดแล้วเขาก็เริ่มลังเลขึ้นมาเช่นกัน
ในความลังเลนั้นเอง เขาหันไปมองหวงฝู่จิน
“เ้าออกไปเถอะ ให้แม่นางหลินช่วยข้าทำแผล” แน่นอนว่าในเวลาเช่นนี้ หวงฝู่จินย่อมเลือกที่จะเชื่อใจหมอยามากกว่าแน่นอน “หวังว่าแม่นางหลินคงไม่ถือสา?”
“เป็หน้าที่ของผู้รักษาอยู่แล้วเ้าค่ะ” หลินฟู่อินก้าวออกไปหนึ่งก้าว รับเอาถุงกระดาษน้ำมันจากมือตวนมู่เฉิง จากนั้นใช้กระดาษน้ำมันอีกแผ่นค่อยๆ ตักเอาผงยาออกมา แล้วเดินเข้าไปใกล้ชายหนุ่มตรงหน้า
รอยที่โดนเฉือนบนน่องของหวงฝู่จินตอนนี้บวมแดงมาก หากชักช้าไปอีกวันย่อมต้องเกิดหนองเป็แน่ หลินฟู่อินไม่ได้ตัดเนื้อส่วนนี้ออกด้วยคิดว่าหากไม่อักเสบ แผลย่อมสมานกันได้ง่ายกว่า
แต่ดูแล้วความคิดนั้นคงไม่ได้ผล
“ข้าอยากตัดส่วนที่บวมแดงบนแผลท่านออกด้วยมีดเ้าค่ะ ขั้นตอนนี้จะเ็ปยิ่งนัก ท่านต้องอดทนนะเ้าคะ!” หลินฟู่อินมองเขา ในดวงตาเต็มไปด้วยความแน่วแน่
“แต่เมื่อคืนมันยังดีอยู่เลย!” ตวนมู่เฉิงได้ยินว่านางจะตัดเนื้อออก ก็โวยวายขั้นมาทันที พวกเขาล้วนเป็บุรุษหนังหนา จะโดนตัดเนื้ออย่างไรก็ช่างเถอะ แต่จะให้เกิดเื่เช่นนี้กับผู้เป็นายได้อย่างไร?
เขายังคงโต้แย้ง ทำราวกับผู้เป็นายไม่เคยได้รับาเ็มาก่อนแม้แต่น้อย
ทว่าหวงฝู่จินกลับตรงกันข้าม ชายหนุ่มดูสงบนิ่ง ดวงตาคมปลาบก่อนะโใส่ตวนมู่เฉิง “ตวนมู่หุบปาก!”
หลินฟู่อินคิดดูแล้วก็เห็นว่าอธิบายให้ฟังน่าจะดีกว่า จึงกล่าวว่า
“เมื่อวานตอนที่เห็นขาใต้เท้า ตอนนั้นยังไม่ได้ล้างพิษ ข้าจึงไม่กล้าลงมือใช้ยา อย่างที่สอง เมื่อพิษใกล้หายหมดข้าจึงเห็นแผลได้ชัดเจนขึ้น ตอนนี้แผลดีขึ้นแล้ว และหากตัดเนื้อออกจะหายได้เร็วขึ้น”
ตวนมู่เฉิงฟังคำอธิบายของนาง ทว่าสีหน้ายังคงดำคล้ำ
“ข้าเชื่อการตัดสินใจของเ้า” หวงฝู่จินเอ่ย หลินฟู่อินเงยหน้ามองเขา ก็พบกับสีหน้ามั่นใจ
ทันใดนั้นภายในใจของนางพลันรู้สึกอบอุ่นขึ้นมา เด็กสาวพยักหน้าให้เขา แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ที่จริงตอนนี้ก็ดีแล้ว แต่ข้าคิดว่าหลายวันจากนี้ หากอากาศร้อนขึ้นจะกลายเป็หนองเอาได้ เพื่อความปลอดภัย กำจัดเนื้อส่วนที่บวมแดงออกไปย่อมรักษาได้เร็วกว่า”
“ทำตามที่เ้าว่าเถอะ” หวงฝู่จินสรุปคำ
เช่นนี้ทำให้ตวนมู่เฉิงกังวลขึ้นมา “นายท่าน?”
หากบอกว่าเป็ไปเพื่อความปลอดภัย เช่นนั้นก็ไม่จำเป็ต้องตัดเนื้อออกใช่หรือไม่?
แล้วเหตุใดต้องทนเจ็บด้วยเล่า?
หวงฝู่จินโบกมือไปมา ท่าทางหนักแน่น “ตวนมู่ ยังรู้อยู่หรือไม่ว่าข้าเป็นายเ้า?”
หลินฟู่อินได้ยินแล้วไม่รู้สึกอะไร แต่สำหรับตวนมู่เฉิงคำนี้นับว่าทรงพลังยิ่งนัก
“ขอรับ เป็บ่าวล้ำเส้นนายท่านแล้ว ขอนายท่านโปรดลงโทษด้วย!” ชายหนุ่มคุกเข่าข้างหนึ่งลงเบื้องหน้าหวงฝู่จิน ก้มศีรษะลงต่ำ
หวงฝู่จินมองอีกฝ่ายด้วยสายตาล้ำลึก แล้วจึงเอ่ยปาก “ลุกขึ้นเถอะ แม่นางหลินเป็คนรักษาข้า นางว่าอะไรก็ฟังนางเสีย”
ในใจตวนมู่เฉิงเกิดความรู้สึกตกตะลึงขึ้นมา หมายความว่านายท่านมั่นใจในตัวแม่นางหลินเต็มสิบในสิบส่วนใช่หรือไม่?
ตอนนี้ความรู้สึกเขาราวกับคลื่นทะเลที่กำลังปั่นป่วน ทว่าสุดท้ายอย่างไรก็ต้องตอบรับคำด้วยความนอบน้อม
หลินฟู่อินคิดไปคิดมาก็รู้สึกว่าไม่อยากจะล่วงเกินตวนมู่เฉิง จึงตั้งใจอธิบายให้เขาฟัง “ข้ารู้ว่าท่านกังวล แต่การตัดเนื้อที่ว่าเป็เพียงการตัดเนื้อส่วนเล็กๆ ที่บวมเท่านั้น ทั้งนี้ทำไปเพื่อป้องกันไม่ให้มันลุกลามไปยังเนื้อดีส่วนอื่นๆ ไม่ใช่เื่ใหญ่โตอะไร ท่านวางใจเถอะเ้าค่ะ”
“หากแม่นางหลินกล่าวเช่นนั้น ข้าก็วางใจขอรับ” ตวนมู่เฉิงพยักหน้า พร้อมกับดึงมีดสั้นออกมาจากแขนเสื้อ แล้วมอบให้หลินฟู่อิน “กริชเล่มนี้ตัดเหล็กได้ราวกับตัดโคลน คมยิ่งนัก แม่นาง…”
“ใช้ของข้าดีกว่ากระมัง กริชเล่มนั้นน่ะหรือสามารถตัดเหล็กดุจตัดโคลน?” หวงฝู่จินเปรยออกมาด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน
ตวนมู่เฉิงย่อมทราบว่าผู้เป็นายไม่ได้มีเจตนาว่าร้ายตน จึงหัวเราะฮ่าๆ ออกมา “ขอรับๆ เทียบกับเฟิ่งหวงอวี๋เฟยของนายท่านแล้ว มีดสั้นของข้าล้วนไม่คู่ควรให้เอ่ยถึง”
เฟิ่งหวงอวี๋เฟย? ทันทีที่ได้ยินชื่อนี้ หลินฟู่อินก็รู้สึกได้ว่ามันต้องไม่ใช่กริชธรรมดาแน่
“ไปนำกริชข้ามาให้แม่นางหลินใช้!” เมื่อหวงฝู่จินออกคำสั่ง ตวนมู่เฉิงก็รีบร้อนปฏิบัติตามทันที
เพียงไม่นานอีกฝ่ายก็กลับมา พร้อมกริชที่ทอประกายความเย็นะเืออกมาในมือ
เส้นโค้งของกริชเล่มนี้งดงามยิ่งนัก ปลอกของมันเป็สีดำ ไม่มีการตกแต่งอื่นใด ทว่าให้ความรู้สึกราวกับอสูรร้ายที่กำลังหลับใหล
หลินฟู่อินรับมันมาด้วยความระมัดระวัง
“ลองชักมันออกมาจากฝักดูสิ” หวงฝู่จินกล่าวเสียงเบา มองนางอย่างนิ่งสงบดังเดิม
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้