โม่ซีก้มศีรษะอยู่จึงไม่สังเกตนาง นางจึงไม่รีรอที่จะสำรวจเขา เขาเป็บุรุษหน้าตาหล่อเหลาสง่างาม ริมฝีปากบางหนาพอเหมาะ สีไม่สวยสดเท่าริมฝีปากของเฝิงซื่อหลาง ทว่ามีขอบที่คมชัด สะอาดสะอ้าน และชุ่มชื้น——
ทันใดนั้นก็พลันนึกถึงจูบอันอ่อนโยนเมื่อคืนนี้ ใบหน้าของนางก็ร้อนผ่าวขึ้นมา
คนบ้า!
สิ่งที่น่าโมโหที่สุดคือเขาหลับไปหลังจากจูบนาง ซึ่งทำให้นางตื่นใมากจนนอนไม่หลับทั้งคืน
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ทำให้นางไม่สบายใจมากกว่านั้นคือในตอนนี้ทั้งคู่มีระยะห่างเพียงครึ่งแขน ลมหายใจสงบนิ่งของเขาเป่ารดิัเปลือยตรงคอเสื้อผ้าชั้นในที่เปิดออกเล็กน้อยของนาง
นาง้าหลีกเลี่ยงลมหายใจที่รบกวนจิตใจนี้ ทว่าเขากลับเอ่ยว่า "อย่าขยับ กำลังจะแก้ปมนี้ได้แล้ว"
นางถูกบีบบังคับให้กัดริมฝีปากอดทนต่อลมหายใจอุ่นร้อนของเขาที่เป่ารดหน้าอกของนาง แม้ว่าเขาจะไม่ได้ตั้งใจจะยั่วยวน ทว่าอาการคันเล็กน้อยบริเวณผิวทำให้นางตัวแข็งทื่อ ใบหน้าแดงก่ำด้วยความเขินอาย ค่อยๆ หนีบเข่าเข้าหากันแน่น แล้วมองเขาโดยไม่พูดอะไรสักคำ
จนกระทั่งเขาแก้ปมสุดท้ายที่พันกันรอบตัวนางออก แล้วเงยหน้าขึ้นมองนาง ฉีซีรีบถอนสายตาออกอย่างรวดเร็ว เบือนหน้าหนีไม่มองเขา กระชับคอเสื้อพลางเอ่ยเสียงแ่เบา "ขอบคุณ"
โม่ซีไม่เข้าใจว่าเหตุใดนางจึงหน้าแดงก่ำราวกับถูกเขากลั่นแกล้ง ทว่าเขาก็ไม่พลาดความสงสัยและความสับสนในดวงตาของนาง ไม่ต้องพูดถึงความอึดอัดและความเขินอายของนางเลย เขาเห็นนางเม้มริมฝีปาก ลิ้นเล็กเลียริมฝีปากเบาๆ ราวกับกำลังประหม่า เขารู้สึกว่าท่าทางนั้นช่างน่ารักและดึงดูดจนอดไม่ได้ที่จะเอียงศีรษะและประกบริมฝีปากกับนาง
ฉีซีเงยหน้าขึ้นมองด้วยความประหลาดใจ ใบหน้าแสดงอับอายและความโกรธ เขาจึงกลับมาได้สติอีกครั้งและมีรอยยิ้มจาง หันกลับมาเรียกสาวใช้เข้าไปด้านในเพื่อทำความสะอาดตัวฉีซี
ในขณะที่สาวใช้ล้างหน้าของนาง ฉีซีก็เหยียดแขนขา หมุนข้อมือและข้อเท้า ก่อนจะลอบถอนหายใจเมื่อพบว่าฤทธิ์ยาหมดลงแล้ว ท่าทางที่ผ่อนคลายของนางตกอยู่ในสายตาของโม่ซี
ในเวลานี้จูมามาเข้ามาใกล้แล้วกระซิบ "ท่านอ๋อง เปลี่ยนเป็ชุดขององค์หญิงราชวงศ์ก่อนหรือ..."
โม่ซียกมือขึ้นสะบัดชายเสื้อคลุม นั่งลงบนตั่งนุ่ม เหลือบมองจูมามาแล้วกล่าวว่า "ตามนั้น"
สาวใช้นำเสื้อผ้าเก่าขององค์หญิงหลิวเฟิงมาเปลี่ยนให้ฉีซีทันที
สีหน้าของฉีซีเปลี่ยนไปเล็กน้อย นางกัดริมฝีปากลอบมองเขาอย่างเงียบๆ เห็นว่าเขานั่งอยู่บนตั่งนุ่มด้วยใบหน้าเรียบเฉยและกำลังจ้องมาที่นาง นางรีบหันกลับมาด้วยความหวาดกลัว ให้นางสวมเสื้อผ้าเหล่านี้เพื่อเปิดเผยตัวตนหรือ? หรือนี่คือการทดสอบ?
เมื่อไม่รู้ว่าแผนการของเขาคืออะไรจึงทำให้นางไม่สบายใจ
ทว่าฉีซีครุ่นคิดเกี่ยวกับเื่นี้อีกครั้ง หากข่าวว่านางอยู่ในจวนซีอ๋องแพร่กระจายออกไป นั่นก็ไม่ต่างจากการส่งสัญญาณให้เหล่าทหารเก่าของหยวนฉีมาช่วยนางหรอกหรือ?
ดังนั้นนางจึงสวมเสื้อผ้าเก่าของตนอย่างสบายใจ เพียง──
ฉีซีมองย้อนกลับไปอีกครั้งและเห็นว่าโม่ซีไม่มีความตั้งใจที่จะหลบสายตา นางกัดริมฝีปากมองเขา
โม่ซีไม่ขยับเขยื้อนและจ้องนางอย่างครุ่นคิด
ใบหน้าของฉีซีแดงก่ำ กำหมัดแน่น ลอบก่นด่าว่าเขาช่างหยาบคาย ไม่ใช่สุภาพบุรุษหรือคนดีเลยสักนิด!
ทว่าเขาเป็ใหญ่ในที่แห่งนี้ นางจึงทำได้เพียงอดทนเท่านั้น ทำใจกล้า หลับตาแล้วปล่อยให้สาวใช้เปลี่ยนเสื้อผ้าให้นาง
โม่ซีเฝ้ามองนางสวมเสื้อคลุมขององค์หญิงหลิวเฟิงอย่างสงบ
พฤติกรรมของฉีซีเมื่อวานนี้กระตุ้นความสนใจของเขา การให้นางใส่อาภารณ์ขององค์หญิงถือเป็การทดสอบ ทว่าวันนี้นางกลับไม่ปฏิเสธซึ่งทำให้ยิ่งน่าสนใจมากขึ้น
ในระหว่างการประชุม เขาคิดทบทวนอย่างละเอียดว่าเมื่อวานที่ถนนดอกไม้ เป็การพบกันโดยบังเอิญหรือเป็การจัดฉาก?
นางคุ้นเคยกับแบบแปลนของพระราชวังต้องห้าม รูปร่างหน้าตาก็คล้ายคลึงกับหลิวเฟิงอย่างมาก เมื่อตกอยู่ในอันตรายถึงชีวิต ทว่านางกลับยังสวมอาภรณ์ขององค์หญิง เพราะเหตุใดกันล่ะ?
นอกจากนี้ผ้ารัดอกสีแดงเข้มปักดิ้นทองบนร่างกายของนางก็ดูแปลกมาก นางตั้งใจให้เขาเห็นหรือเปล่า
ทว่าผู้ใดจะล่วงรู้ว่าเขารู้ว่ามันคือผ้ารัดอกของราชวงศ์?
หากนางไม่ใช่องค์หญิงหลิวเฟิง แล้วผู้ใดยุยงให้นางปลอมตัว? การปลอมตัวเป็องค์หญิงหลิวเฟิงจะมีประโยชน์อะไร?
หลังจากคิดทบทวนดูแล้วก็รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ
ในขณะที่เขาคลายปมผมให้นาง ด้วยเหตุผลบางอย่าง อารมณ์ที่หม่นหมองมานานของเขาก็คลายตามไปด้วย รู้สึกผ่อนคลายขึ้นทีละน้อย และไม่สนใจตัวตนของนางอีกต่อไป
ท้ายที่สุดแล้ว ไม่ว่านางจะเป็ราชวงศ์ที่มีสายเืของฮ่องเต้แห่งหยวนฉีผู้ล่วงลับไปแล้ว นางสนม หรือนางกำนัล เมื่อเผชิญหน้ากับเขา ทหารหยวนฉีล้วนเป็ผู้พ่ายแพ้ นับประสาอะไรกับสตรีไร้ที่พึ่งผู้นี้ล่ะ?
“ท่านอ๋อง” สาวใช้เอ่ยเสียงเบา “อาหารกลางวันเตรียมพร้อมไว้ที่ห้องโถงด้านหน้าแล้ว”
เขาสูดหายใจเข้าลึกๆ ลุกขึ้นยืน จับข้อมือนางแล้วพูดว่า "ไปกินข้าวกับข้า"
เมื่อได้ยินสิ่งนี้ จูมามาและสาวใช้คนอื่นต่างมองหน้ากันด้วยความใ ทว่าเขาได้ลากฉีซีเดินไปที่ห้องโถงด้านหน้าแล้ว
ในห้องโถงด้านหน้ามีโต๊ะไม้สนแกะสลักรูปสี่เหลี่ยม ฉีซีกำลังคุกเข่าอยู่ด้านหนึ่งของโต๊ะด้วยความอัปยศ
เขา้าให้นางปรนนิบัติเื่อาหารอย่างนั้นหรือ?
อาหารกลางวันของโม่ซีนั้นเรียบง่าย ประกอบด้วยเป็ดย่างหั่นชิ้นบาง แป้งขาวแผ่นบางขนาดเท่าฝ่ามือห้าชิ้น ซุปเนื้อเป็ดหนึ่งถ้วย และอาหารว่างสี่จานวางอยู่บนโต๊ะสี่เหลี่ยมกำลังทรมานนาง
นางถูกขังอยู่ในหอนางโลมเป็เวลาหลายวัน อาหารไม่เพียงพอ จนนางผ่ายผอมลงมากเนื่องจากความหิว
เมื่อวานหลังหลบหนีจากหอนางโลม นางก็ยิ่งหิวทั้งวันทั้งคืน
เมื่อได้กลิ่นเนื้อเป็ดย่าง ฉีซีจึงอดที่จะกลืนน้ำลายไม่ได้ ท้องของนางก็ส่งเสียงออกมา นางรีบกดหน้าท้องและกัดฟันอดทน
โม่ซีเพิ่งให้ข้ารับใช้ล้างมือเสร็จ เดิมที้ารอให้อาหารของนางถูกยกมาก่อนแล้วจึงเริ่มกิน แต่เมื่อเห็นท่าทางของนาง จึงเลื่อนจานเป็ดไปตรงหน้า
ฉีซีตกตะลึงจึงหันไปมอง เขากล่าวว่า "หากหิวก็กินก่อน"
เขาเป็คนต้าจิ้งจึงรู้วิธีกินโดยธรรมชาติ ทว่าฉีซีไม่เคยกินอาหารจานนี้มาก่อน
เมื่อเห็นว่านางลังเล โม่ซีจึงโน้มตัวไปคีบแป้งทรงกลมสีขาวขึ้นมา วางลงบนฝ่ามือ จากชั้นคีบเนื้อเป็ดขึ้นมาวางลงบนแป้งแล้วม้วน ก่อนจะยื่นให้นาง
ฉีซีรู้สึกประทับใจมากเสียจนไม่ยอมรับอาหารจากเขาอยู่ครู่หนึ่ง
โม่ซีนึกขึ้นได้ว่านางยังไม่ได้ล้างมือ จึงเรียกข้ารับใช้มา จากนั้นจึงยัดแป้งม้วนใส่มือของฉีซี
"กินเสียสิ"
ฉีซีจ้องเขาอย่างว่างเปล่า อารมณ์ซับซ้อนผุดขึ้นมาภายในใจ และไม่สามารถบอกได้ว่านี่คือความรู้สึกขอบคุณหรือความโศกเศร้าที่ตกมาถึงจุดนี้
เมื่อเห็นว่านางไม่ขยับเขยื้อน โม่ซีจึงเร่งเร้าอีกครั้ง ฉีซีจึงกัดแป้งเข้าไปหนึ่งคำ
“เช่นนั้นจะกัดไม่โดนไส้”
โม่ซีม้วนแป้งให้ตนเองอีกชิ้น ก่อนจะกัดคำใหญ่ให้นางดู และส่งสัญญาณให้ทำตาม
นางมองเขาแล้วกัดอีกคำ ในที่สุดก็เจอเนื้อเป็ด
เมื่อเห็นโม่ซีมองนางด้วยรอยยิ้ม มือของนางก็เริ่มสั่นเล็กน้อย
บุรุษผู้นี้ช่างช่างละเอียดอ่อนและอ่อนโยนมาก ทว่ากลับกลายเป็บ่อเกิดของความรู้สึกเสียใจและน้อยใจต่อชะตากรรมของนางเอง
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้