เกี๊ยวที่ห่อเสร็จแล้ว นางนำไปต้มครึ่งหนึ่ง อีกครึ่งหนึ่งแช่แข็งไว้เตรียมทำมื้อดึกให้เฝิงเจี่ยน
ทว่า เช้าวันรุ่งขึ้นเมื่อตื่นขึ้นมากลับมีเื่น่าประหลาดเกิดขึ้น
เกี๊ยวอีกครึ่งหนึ่งที่เหลือหายไปจนหมด ลู่เสี่ยวหมี่วนหาอยู่หลายครั้ง จะอย่างไรก็ไม่เห็นร่องรอยของหนูแม้แต่น้อย หรือว่าที่บ้านจะมีโจร
เป็อีกครั้งที่พี่รองลู่ต้องแบกหม้อดำ [1] น้องสาวของเขาพุ่งเข้ามาพร้อมส่งน้ำแข็งมาทักทายเขาในผ้าห่มทันที เขาะโโหยง ถึงกับร้องโอดโอยว่าถูกใส่ความ
“ข้าไม่ได้ทำนะ เมื่อคืนนี้ข้ากินอิ่มแล้วก็หลับเลย จะแอบขโมยกินเกี๊ยวตอนดึกได้อย่างไร”
ชัดเจนว่าลู่เสี่ยวหมี่ไม่เชื่อ “ใครว่าท่านขโมยกินกัน ท่านต้องเอามันขึ้นเขาไปแน่ๆ ท่านแอบเอาของกินไปให้อาจารย์ของท่านก็รีบบอกมาตรงๆ หากยังโกหกอีก ข้าจะให้ท่านพ่อลงโทษด้วยกฎตระกูล”
พี่รองลู่โกรธจนกระทืบเท้า แต่ดีที่เขาเป็คนไม่คิดอะไรมาก เห็นว่าน้องสาวเดินออกไปแล้วก็สะบัดผ้าห่มที่มีเศษหิมะออก จากนั้นก็กลับเข้าไปซุกตัวในผ้าห่มเช่นเดิม
อย่างไรเสียก็แค่เกี๊ยวครึ่งถาด ลู่เสี่ยวหมี่ไม่ได้จริงจังอะไร ติดจะล้อเล่นกับพี่ชายเสียมากกว่า ตอนนี้ไม่ว่าสิ่งที่พี่ชายพูดจะเป็เื่จริงหรือไม่ นางก็รีบเข้าครัวไปทำอาหาร และลืมเื่นี้ไปจากหัวสมองทันที
…
ในที่สุด่เทศกาลปีใหม่ที่ทุกคนรอคอยก็มาถึง ลู่เสี่ยวหมี่ปล่อยให้พวกเด็กๆ ได้หยุดกันั้แ่วันตรุษจีนเล็ก ให้พวกเขาไปวิ่งเล่นกันให้พอใจ หลังจากวันที่สิบห้าผ่านไปแล้วค่อยมาเรียนใหม่
พวกเด็กๆ กลับบ้านไปเขียนอักษรบิดๆ เบี้ยวๆ ให้บิดามารดาดู เขียนชื่อของตนเอง นอกจากนี้ยังท่องคัมภีร์สามอักษรบางท่อนให้บิดามารดาฟัง ทั้งยังเอาเหรียญมาแสดงการบวกลบอย่างง่ายๆ ทำเอาคนทั้งบ้านโห่ร้องด้วยความภูมิใจ
ดังนั้นของขวัญปีใหม่ที่ส่งมาให้สกุลลู่จึงใหญ่โตยิ่งขึ้น บางบ้านให้เนื้อกระต่าย บางบ้านให้เห็ดเสียบไม้ ด้วยเหตุนี้ห้องเก็บเสบียงของสกุลลู่จึงมีอาหารกองจนเกือบเต็มอีกครั้ง
ลู่เสี่ยวหมี่เองก็ไม่ใช่คนตระหนี่ ไม่ว่าใครมาที่บ้าน นางจะมอบขนมเกลียวทอดและผลไม้แห้งให้พวกเขา ส่วนลูกชิ้นเนื้อ ไม่ใช่ว่านางไม่อยากให้ แต่ในบ้านมีแต่พวกตะกละ เกาเหรินและพี่รองเฝ้าลูกชิ้นเหมือนหมาเฝ้ากระดูก นางจะใจกว้างอย่างไรก็ไม่อาจแบ่งให้ใครได้อีก
ยุ่งกันอยู่เช่นนี้จนในที่สุดก็มาถึงคืนวันสิ้นปี ลู่เสี่ยวหมี่ตื่นขึ้นมายุ่งแต่เช้า อาหารเช้าและอาหารเที่ยงล้วนเรียบง่าย แต่เมื่อถึงมื้อเย็น อาหารก็จัดวางอย่างเต็มล้นจนโต๊ะแทบจะถล่มลงมา
เนื้อกระต่ายหม่าล่า ไก่ตุ๋นเห็ด ลูกชิ้นเนื้อ กระดูกหมูน้ำแดง ปลานึ่ง ไส้หมูพะโล้ สามชั้นผัดกระเทียม ต้มหัวไชเท้าใส่ลูกชิ้น...
เต็มไปด้วยเนื้อสัตว์ ทำให้คนสกุลลู่ตื่นเต้นดีใจจนไม่รู้จะเริ่มทานจานไหนก่อนดี
ลู่อู่ขึ้นเขานำอาภรณ์ชุดใหม่และกับแกล้มสุราไปให้อาจารย์ เมื่อกลับมาถึง อย่างแรกที่เขากินก็คือน่องไก่ชิ้นใหญ่ ตะกละจนถูกบิดาลู่ตีมือ ปีใหม่ของสกุลลู่ก็นับว่าเปิดฉากขึ้นเช่นนี้เอง
ลู่เสี่ยวหมี่กอดไหสุราฤทธิ์แรงออกมาด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม รินให้ทุกคนรวมถึงเฝิงเจี่ยนจนเต็มถ้วย
เกาเหรินก็รินกลับให้นางถึงครึ่งถ้วยเช่นกัน
ลู่เสี่ยวหมี่เองก็กำลังอารมณ์ดี นี่เป็ปีใหม่แรกของนางที่นี่ ได้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตากับครอบครัวเช่นนี้ นางจึงไม่ปฏิเสธ
ทุกครั้งที่ถ้วยสุราได้รับการเติม พวกเขาก็จะกระดกจนหมดในคราวเดียว กินไปพลางสนทนากันพลางด้วยรอยยิ้มและเสียงหัวเราะ ด้วยฤทธิ์สุราทำให้เฝิงเจี่ยนถึงกับต่อกลอนกับพี่สามลู่ไปสิบกว่าบท
จนเมื่อถึงเวลาที่ทุกคนต้องแต่งกลอนต้อนรับฤดูใบไม้ผลิท่ามกลางลมหนาวนั้น ลู่เสี่ยวหมี่กลับคอพับคออ่อนไปบนเตียงเตา นอนซบไปบนผ้าห่มของเฝิงเจี่ยนแล้วกรนออกมาเบาๆ
ใบหน้าขาวเนียนของแม่นางน้อยยามนี้เป็สีแดง ดูมีชีวิตชีวาน่ารัก ไม่รู้กำลังฝันถึงสิ่งใด นางเชิดปากแดงขึ้นน้อยๆ ราวกับกำลังออดอ้อนเพื่อให้ได้อะไรบางอย่างมาครอง
เฝิงเจี่ยนหลุบตาลงหมุนกายไปบังแสงเทียนที่ร้อนแรง เสร็จแล้วก็ดึงผ้าห่มคลุมให้นางมากขึ้นอีกหน่อย...
คืนนี้ทั่วทั้งแคว้นต้าหยวนกำลังต้อนรับการมาถึงของฤดูใบไม้ผลิ เวลาเช่นนี้ทุกบ้านล้วนรวมตัวอยู่ด้วยกันอย่างครื้นเครง
ที่มุมหนึ่งของเมืองอันห่างไกล เรือนที่ถูกตกแต่งอย่างหรูหราหลังหนึ่ง มีชายวัยกลางคนที่ผมเริ่มขาวกำลังมองเกี๊ยวขาวอวบตรงหน้าอย่างมึนงง
ตะเกียบงาช้างในมือพลิกดูเกี๊ยวลายรวงข้าวสาลีตรงหน้า ชายวัยกลางคนะโด่าว่า “เ้าเด็กบ้า ออกไปทัศนาจร ไม่ได้ความรู้ติดตัวอะไรมาเลย นอกจากฝีมือปั้นเกี๊ยวแบบอิสตรีเช่นนี้”
ถึงแม้ปากจะกล่าวเช่นนี้แต่กลับหยักยกขึ้นโดยไม่รู้ตัว แววตายังเจือความอบอุ่น
ตะเกียบงาช้างขยับขึ้นลงเพียงไม่นานก็กินเกี๊ยวตรงหน้าจนหมด ปรากฏให้เห็นกระเบื้องเคลือบสีขาวลายกิ่งไม้แซมดอกไม้แดงที่งดงาม...
พลุถูกจุดขึ้นสว่างไสวบนท้องฟ้า ทำเอาลู่เสี่ยวหมี่ใตื่น และปลุกให้บรรดาเด็กๆ กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง
หมู่บ้านเล็กๆ อย่างหมู่บ้านเขาหมีมีเด็กๆ ถือโคมกระดาษวิ่งเล่น เหล่าบุรุษที่เตรียมจะจุดประทัดไม่ได้ส่งเสียงดุลูกๆ อย่างที่นานครั้งจะเป็ กลับมองพวกเขาและพากันหัวเราะร่วน “เล่นกันอีกสักพักก็รีบเข้าบ้านไป แม่ของเ้าอุ่นเกี๊ยวไว้แล้ว เช้าวันพรุ่งตื่นแต่เช้าแล้วรีบไปสวัสดีปีใหม่อาจารย์ของเ้าเสีย”
“ขอรับ/เ้าค่ะ ท่านพ่อ” พวกเด็กๆ ขานรับแต่แขนขากลับไม่ตอบรับไปด้วย เล่นกันจนเหนื่อยอ่อนสุดท้ายก็ถูกมารดามาลากตัวกลับไป
งานเลี้ยงสกุลลู่ที่เรือนพักฝั่งตะวันออกเลิกราไปนานแล้ว เกาเหรินและพี่รองลู่เมามายจนคอพับคออ่อน พี่ใหญ่ลู่ประคองบิดาลู่กลับห้อง
กลับเป็ลู่เสี่ยวหมี่ที่จู่ๆ ก็ตื่นขึ้นมาแล้วพบว่าตนนอนฟุบอยู่ข้างเฝิงเจี่ยน บนร่างมีเสื้อกันลมของเฝิงเจี่ยนคลุมอยู่ นางรู้สึกมึนๆ งงๆ ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
จากนั้นนางก็รีบลุกขึ้นแต่ก็ยังไม่ลืมยื่นมือไปหยิกแก้มขาวนุ่มของเกาเหรินทีหนึ่ง ก่อนจะวิ่งหนีหายไปอุ่นเกี๊ยวทันที
เฝิงเจี่ยนที่ฟุบอยู่ด้านข้างค่อยๆ ลืมตาขึ้น มุมปากหยักยกขึ้นน้อยๆ
สกุลลู่มีเกี๊ยวสองแบบ หนึ่งผักหนึ่งเนื้อ คือไส้เนื้อหมูผักดองและไข่ไก่เต้าหู้
ก่อนหน้านี้มุ่งมั่นอยู่แต่กับการดื่มสุรา ทุกคนจึงไม่ค่อยได้กินกับข้าวมากนัก ยามนี้เมื่อยกเกี๊ยวหม้อใหญ่ที่กำลังร้อนกรุ่นมา ก็นับว่าเพิ่มความอยากอาหารขึ้นหลายส่วน
พี่ใหญ่ลู่ยกไปกินกับบิดาในห้อง ลู่เสี่ยวหมี่นึกถึงก่อนหน้านี้ที่ฟุบนอนอยู่ข้างเฝิงเจี่ยนก็เขินอายหน้าแดง จะอย่างไรก็ไม่อาจเงยหน้าขึ้นมาได้ รีบกินเกี๊ยวไม่กี่ตัวอย่างรวดเร็ว เสร็จแล้วก็กำชับพี่รองให้เก็บโต๊ะให้เรียบร้อย แล้วจึงกลับห้องตัวเองไปทันที
เช้าวันรุ่งขึ้นพระอาทิตย์เพิ่งพ้นขอบฟ้า พวกเด็กๆ ก็ถูกบิดาพามาสวัสดีปีใหม่แล้ว
ลู่เสี่ยวหมี่เตรียมตัวไว้ก่อนแล้ว นางพับกระดาษแดงเป็ซองเล็กๆ แต่ละซองใส่เงินไว้สิบอีแปะ ครั้นเด็กๆ ได้รับก็ดีอกดีใจจนะโโลดเต้น ต้องรู้ก่อนว่ายามปกติบิดามารดาก็ไม่ค่อยให้เงินพวกเขาหรอก ถึงจะให้ก็ให้แค่สองสามอีแปะเท่านั้น ยามนี้ได้ถึงสิบอีแปะในคราวเดียวจะไม่ดีใจได้อย่างไร
บรรดาพ่อๆ ต่างตั้งใจแน่วแน่ว่าจะช่วยสกุลลู่จัดการงานในไร่นา จึงไม่อิดออดไม่รับเงินแต่อย่างใด ยิ่งทำให้พวกเด็กๆ ดีใจขึ้นไปอีก คล้อยหลังนิดเดียวก็พากันวิ่งออกไปราวกับผึ้งแตกรัง ตั้งใจจะนำเงินก้อนนี้ไปซ่อนไว้ อีกไม่กี่วันจะมีคนเอาขนมมาขายที่หมู่บ้านเขาหมี ถึงตอนนั้นพวกเขาค่อยเอาออกมาใช้
ที่หมู่บ้านเขาหมีไม่ว่าบ้านไหนต่างก็เปิดประตูหน้าบ้านออกกว้าง ลู่เสี่ยวหมี่เห็นบิดาลู่กำลังต้อนรับแขก นางก็ไปเตรียมของสำหรับสวัสดีปีใหม่ลุงสามปี้และนายท่านเฝิง เพราะทั้งสองเป็ผู้าุโของหมู่บ้าน อีกทั้งยามปกติก็คอยช่วยเหลือสกุลลู่อยู่ไม่น้อย วันปีใหม่เช่นนี้จึงควรที่จะต้องไปทักทาย
แต่ยังไม่ทันรอให้นางออกจากบ้าน บรรดาสตรีทั้งหลายก็มาหาถึงที่
พวกนางเข้ามานั่งดื่มชากินขนมแทะเมล็ดแตงโม สนทนากันอย่างครื้นเครง ลู่เสี่ยวหมี่จึงตัดสินใจะโบอกพี่ใหญ่และพี่รองให้ล่วงหน้าไปก่อน
เฝิงเจี่ยนได้ยินก็สั่งให้ผู้เฒ่าหยางติดตามไปเพื่อขอบคุณด้วย โดยเฉพาะฝั่งท่านลุงสามปี้ เดิมทียังคิดว่าวิชาแพทย์ของหมอชาวบ้านที่อยู่ห่างไกลเช่นนี้จะธรรมดา ที่ไหนได้กลับเป็หมอฝีมือดี ยามนี้ถึงแม้เขาจะเดินเหินได้แล้ว แต่ก็ยังไม่อยากเดินไปไหนไกลนัก ทำได้แค่ส่งผู้เฒ่าหยางเป็ตัวแทนไปขอบคุณ...
วันที่หนึ่งต้อนรับปีใหม่ วันที่ห้าเป็วันส่งปีเก่า
เวลาพักผ่อนอันรื่นเริงผ่านพ้นไปอย่างรวดเร็ว คล้ายว่าเพียงพริบตาเดียว่วันหยุดปีใหม่ก็ผ่านพ้นไปแล้ว
เหล่าเด็กๆ แสนซุกซนถูกมารดาบังคับให้อยู่แต่ในบ้านฝึกเขียนอักษรด้วยกิ่งไม้ลงบนกระดานทราย
ส่วนพวกพ่อๆ รอดูสถานการณ์ว่าหิมะจะละลายเมื่อใด
ปีนี้นับว่าหิมะตกไม่หนักนัก คาดว่าฤดูใบไม้ผลิปีนี้คงจะมีลูกสัตว์ถือกำเนิดมามากมาย พอฤดูใบไม้ร่วงมาถึงก็จะเป็เวลาแสดงฝีมือของพวกเขาแล้ว
หากว่าโชคดีคงล่าหมีดำหรือเสือกลับมาได้ เช่นนี้ก็พอจะซื้อหมึกและกระดาษให้ลูกๆ ได้แล้ว
อย่างไรเสีย การเรียนเขียนอักษรจะอาศัยแค่กระดานทรายและกิ่งไม้ก็คงไม่ได้
ในลานใหญ่สกุลลู่ ลู่เสี่ยวหมี่ร้อนใจ รีบทานอาหารเช้าแล้วพาพี่ใหญ่ลู่ลงเขาไปยังที่นาของตระกูล
ผู้เฒ่าหยางเห็นเช่นนั้นก็ติดตามไปด้วย
ดังคำที่ว่า ‘แผนงานหนึ่งรอบปีอยู่ที่ฤดูใบไม้ผลิ’ ปีนี้เสี่ยวหมี่ตั้งใจแน่วแน่ว่าจะปรับที่ดินสามสิบหมู่ของตระกูลให้กลับมาอุดมสมบูรณ์
ในยุคนี้มีเงินยังไม่พอ ที่บ้านต้องมีเสบียงติดคลังไว้ถึงจะวางใจได้
โดยเฉพาะสกุลลู่ เนื่องจากในอนาคตพี่สามลู่จะต้องสอบเข้ารับราชการ ทำให้สกุลลู่ไม่อาจทำการค้าใหญ่โตได้ หรือไม่เช่นนั้นก็ต้องยืมชื่อผู้อื่น จะอย่างไรก็จะให้มีชื่อว่าเป็พ่อค้าไม่ได้เด็ดขาด
แต่การจะร่วมมือทำการค้ากับใครสักคนนั้นไม่ใช่เื่ง่าย เพราะคนที่เชื่อใจได้มีน้อยเสียยิ่งกว่าน้อย
ส่วนจะให้ไปใช้ชีวิตเป็นายพรานเหมือนคนอื่นๆ ในหมู่บ้านก็เป็ไปไม่ได้ ต่อให้ลู่อู่จะฝีมือยอดเยี่ยมเพียงใด แต่อาศัยแค่ฝีมือล่าหมีล่าเสือก็คงไม่พอ ถึงตอนนั้นยังต้องส่งเสียพี่สามลู่สอบรับราชการ เลี้ยงดูบิดาลู่ยามชรา สามพี่น้องยังต้องแต่งภรรยา เสี่ยวหมี่เองก็ต้องแต่งออกไป...
ภาระในอนาคตเหล่านี้นับว่าไม่เบาเลย
หลังจากอดหลับอดนอนมาหลายคืน ในที่สุดลู่เสี่ยวหมี่ก็คิดได้ว่าเส้นทางสู่ความร่ำรวยของพวกนางอยู่ที่ที่นาสามสิบหมู่นี่ล่ะ
ในชาติก่อนนางเคยปลูกผักและข้าวโพดกับผู้อำนวยการสถานเลี้ยงเด็กกำพร้ามาก่อน แต่ยามนี้นางอยู่ที่แคว้นต้าหยวน เมืองอันโจวยังเป็เมืองที่อยู่ทางเหนือสุดของแคว้นต้าหยวน นางแทบจะไม่มีความรู้เื่สภาพอากาศที่นี่เลย
ควรเพาะต้นอ่อนเมื่อใด ลงปลูกเมื่อใด เื่พวกนี้ระยะเวลาเป็สิ่งสำคัญมาก
ดีที่พี่ใหญ่ลู่ถึงแม้จะใจอ่อนดูอ่อนแอไปบ้าง แต่กลับเป็แรงงานฝีมือดี เขาเดินไปตามที่นาของตระกูลพลางตอบคำถามน้องสาวของตนทุกคำถามอย่างละเอียด
ผู้เฒ่าหยางเดิมตามอยู่ข้างหลังโดยไม่พูดแทรกแม้แต่ประโยคเดียว
ลู่เสี่ยวหมี่ถือหินเขียนคิ้วไว้ในมือ ก้มหน้าก้มตาขีดเขียนในสมุด ในที่สุดก็จดจำรายละเอียดที่นาสามสิบหมู่ของตนไว้ได้จนหมด
อันโจวมีฤดูหนาวยาวนาน ที่อื่นๆ พอเดือนหนึ่งผ่านพ้นไปก็เริ่มเพาะปลูกได้แล้ว แต่ที่นี่ต้องรอจนถึงสิ้นเดือนสอง ช้ากว่าที่อื่นไปถึงหนึ่งเดือน
พอถึงฤดูใบไม้ผลิ ลมหนาวและหิมะก็มาทักทายเร็วกว่าที่อื่น ทำให้ระยะเวลาในการเจริญพันธุ์ของพืชผลไม่เพียงพอ
พูดให้ชัดก็คือ สิ่งที่ต้องทำตอนนี้คือหาวิธีร่นระยะเวลาเพาะปลูกให้ได้ผลผลิต ไม่เช่นนั้นก็ต้องหาวิธีให้พืชเจริญเติบโตให้ได้ไวๆ
เชิงอรรถ
[1] แบกหม้อดำ(背黑锅)หมายถึง แพะรับบาป
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้