เมิ่งไหวจิ่นนำกระดาษข้อสอบของเฉิงชิงมาดูั้แ่หัวกระดาษจนถึงท้ายกระดาษ
“สามารถทำข้อสุดท้ายได้หรือไม่?”
เฉิงชิงพยักหน้า ไม่ได้เอ่ยว่าทำถูกหรือไม่ นิสัยของนางคือไม่ยอมให้กระดาษข้อสอบมีส่วนว่าง
เมิ่งไหวจิ่นให้นางทำข้อสุดท้ายให้เสร็จ ไม่เพียงให้เฉิงชิงทำ ยังให้ผู้เข้าสอบคนอื่นทำด้วย
อาจารย์หวงกล่าวแล้วว่าการสอบครั้งนี้เป็โมฆะ เมิ่งไหวจิ่นกลับให้ทุกคนตอบคำถามต่อ
อาจารย์หวงไม่ได้ห้าม เมิ่งไหวจิ่นมีตำแหน่ง ‘เจี้ยหยวน’ อยู่บนหัว ผู้คนก็ไม่กล้าเห็นต่าง จึงนั่งตอบคำถามใหม่อีกรอบ เมิ่งไหวจิ่นยืนมองเฉิงชิงตอบคำถามอยู่ข้างโต๊ะโดยตลอด กลายเป็ช่วยบังเฉิงชิงจากแสงแดดที่โหดร้ายส่วนหนึ่ง
พอสอบใหม่อีกครั้ง ผู้เข้าสอบส่วนใหญ่ก็ต่างใจร้อนไม่ไตร่ตรองกันแล้ว เนื่องด้วยถูกขัดจังหวะการใช้ความคิด อีกทั้งความกดดันในการตอบคำถามภายใต้สายตาของเมิ่งเจี้ยหยวน… ยามส่งกระดาษข้อสอบ มีหลายคนที่จำต้องวางพู่กันอย่างเลี่ยงไม่ได้
เมิ่งไหวจิ่นนำกระดาษข้อสอบให้อาจารย์หวง ไม่รู้ว่าเขากล่าวอะไรทำให้อาจารย์หวงพยักหน้าไม่หยุด เมิ่งไหวจิ่นนำกระดาษข้อสอบออกมาอ่านชื่ออยู่หลายแผ่น ประกาศว่าคนพวกนั้นไม่เป็ที่สงสัย ให้พวกเขาลงเขาได้
ส่วนคนอื่นย่อมยังคงเป็ที่สงสัยอยู่ รวมถึงเฉิงชิง
เฉิงชิงรู้สึกแปลกใจว่าฝ่ายตรงข้ามตัดสินอย่างไร เมิ่งไหวจิ่นกลับไม่อธิบายความหมายใดๆ ต่อหน้าผู้คน เฉิงชิงคิดจะสอบถาม แต่ก็ถูกผู้เข้าสอบคนหนึ่งซึ่งเป็บุตรหลานตระกูลเฉิงเตือนทางสายตา
เ้านี่ไม่รู้เื่เลยจริงๆ จะสงสัยเมิ่งเจี้ยหยวนต่อหน้าผู้คนได้อย่างไร?!
เมิ่งไหวจิ่นให้คนนำกระดาษข้อสอบมาใหม่ ยังคงเรียกให้พวกเฉิงชิงสอบต่อ
ทุกคนต่างก็ยังคงทำข้อสอบต่ออย่างสุจริต
ดวงอาทิตย์ลอยสูงขึ้นเหนือหัวแล้ว รับกระดาษข้อสอบแผ่นแล้วแผ่นเล่าเหมือนไม่มีที่สิ้นสุด คาดไม่ถึงว่าไม่มีคนกล้าบ่น ตำแหน่งเจี้ยหยวนช่างมีค่าดั่งทองคำ ทำให้เฉิงชิงตกตะลึงไม่น้อย
ดังนั้นเมื่อแม่นมโจวและพวกอวี๋ซานขึ้นมาถึงบนเขา เห็นกลุ่มผู้เข้าสอบที่เหงื่อไหลดุจเม็ดฝนกำลังขีดเขียนอย่างเร่งรีบภายใต้ดวงอาทิตย์ ราวกับฉากสามศาล[1]เข้าร่วมตรวจสอบการทุจริตในจินตนาการ
“คุณชายน้อยเฉิงชิงย่อมไม่ทุจริต…”
เสียงร้องไห้สะท้านฟ้าะเืดินของแม่นมโจวดังเข้าไปในสนามสอบ ส่วนพวกอวี๋ซานก็ตามหลังอย่างใกล้ชิด
เมิ่งไหวจิ่นขมวดคิ้ว “สนามสอบคือสถานที่สำคัญ หญิงรับใช้บ้านใดมาส่งเสียงรบกวน?”
เฉิงชิงยกมือ เมิ่งไหวจิ่นส่งสัญญาณให้นางกล่าวได้ เฉิงชิงเอ่ยเสียงเบา “ศิษย์พี่เมิ่ง นี่คือแม่นมซึ่งคอยจัดการเื่ราวที่อยู่ข้างกายของท่านย่าเลี้ยงข้า นางทำตามคำสั่งจึงเป็ห่วงข้าเช่นนี้ ยังคงรบกวนให้ศิษย์พี่เชิญแม่นมโจวออกไปเถิด อย่าสร้างความลำบากให้นางเลย”
เมิ่งไหวจิ่นอดไม่ได้ที่จะปรายมองเฉิงชิงอีกครั้ง
อายุยังน้อย แต่พูดจาได้น่าสนใจ
ภายนอกดูเหมือนขอร้องแทนแม่นมโจว แต่ที่จริงแล้วระบุถึงสถานะของแม่นมโจว จงใจเน้นไปที่แม่นมที่ ‘ท่านย่าเลี้ยง’ ส่งมา
“ใครก็ได้ มาเชิญแม่นมโจวผู้นี้ออกไปหน่อย เื่ทุจริตยังสอบสวนไม่กระจ่าง ห้ามไม่ให้ผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องเข้ามาในลานนี้”
เมิ่งไหวจิ่นกล่าวจากในสถานศึกษาอย่างเข้มงวด อาจารย์หวงผู้คุมสอบก็สนับสนุนเขาอย่างไม่มีข้อแม้ใดๆ ไม่เพียงแม่นมโจวที่ถูกไล่ออกไปอย่างโกรธแค้น พวกอวี๋ซานเองก็เผชิญกับชะตากรรมเดียวกัน
เฉิงชิงโค้งริมฝีปากอย่างอดไม่ได้
เห็นสีหน้าดูไม่ได้ของนายน้อยบุตรเ้าเมืองแล้ว เขาเองก็ไม่กล้ามีเื่กับเมิ่งเจี้ยหยวน ที่แท้การเป็หัวกะทิในราชวงศ์เว่ยก็ชวนให้รู้สึกดีเช่นนี้!
เฉิงชิงกลับไปนั่งทำข้อสอบต่อ
อวี๋ซานไม่ได้ดูเื่สนุกจนจบ กลับถูกเฉิงชิงเห็นเป็ตัวตลก จึงรู้สึกย่ำแย่อย่างยิ่ง พอออกจากลานแล้วก็ะเิอารมณ์
“เก่งนักนี่เมิ่งไหวจิ่น เขาเอาสถานศึกษาเป็ลานหลังบ้านตัวเองไปแล้ว!”
สหายร่วมเรียนของอวี๋ซานก็ไม่พอใจ “ตระกูลเมิ่งมีลานหลังบ้านเสียที่ไหน ถ้าไม่ใช่ว่าสอบผ่านได้เป็จวี่เหริน ก็ยังจนขนาดค่าเล่าเรียนยังจ่ายไม่ไหว”
สหายร่วมเรียนกล่าวไปพลางสังเกตสถานการณ์รอบข้าง อวี๋ซานยิ่งโกรธจัดด้วยความแค้นที่สั่งสมมานาน
ความจริงเป็เช่นนี้ เวลาพวกเขาจะด่าว่าเมิ่งไหวจิ่นต้องแอบพูด ห้องเจี่ย อี่ ปิ่งและติง ทั้งสี่ห้องของสถานศึกษาแสดงถึงระดับของศิษย์ที่แตกต่างกัน ซึ่งก็คือระดับบัณฑิตของแคว้นเว่ย
พวกอวี๋ซานกับเฉิงกุยเดิมอยู่ห้องปิ่ง แต่ปีที่แล้วเฉิงกุยสอบได้เป็บัณฑิตซิ่วไฉจึงได้เลื่อนขึ้นไปห้องอี่ พวกอวี๋ซานที่ยังคงเป็บัณฑิตถงเซิงจึงยังคงอยู่ที่ห้องปิ่ง ห่างจากห้องเรียนลำดับที่หนึ่งของเมิ่งไหวจิ่นอยู่สองระดับ
อย่าว่าแต่เมิ่งไหวจิ่นช่วยจัดการเื่ต่างๆ แทนอาจารย์หวงเลย ยามเมิ่งไหวจิ่นว่างไม่มีอะไรทำที่สถานศึกษา ก็มักจะเรียกพวกอวี๋ซานมาเจอหน้าแล้วสั่งสอนสักหนึ่งรอบ
หากเ้าเมืองอวี๋ล่วงรู้เื่นี้ อาจจะส่งของขวัญแสดงความขอบคุณไปให้เมิ่งไหวจิ่นสักหนึ่งชิ้น ชมว่าเมิ่งไหวจิ่นด่าได้ดี หลังจากนี้ก็ช่วยชี้แนะอวี๋ซานด้วย
อวี๋ซานโมโหอยู่นาน พลันนึกถึงบ่าวหนุ่มที่ตนสั่งให้ไป ‘แจ้งข่าว’ ที่ตรอกหยางหลิ่ว แล้วก็หัวเราะออกมาอีก
“เมิ่งไหวจิ่นเข้ามายุ่งด้วยก็ดี คนผู้นี้ไม่ยอมก้มหัวให้กับความไม่ถูกต้อง พอเป็เจี้ยหยวนก็เป็ที่โปรดปรานในสถานศึกษา ไม่ว่าใครที่ถูกจับได้ว่าทุจริตต่างก็ดวงซวยกันทั้งนั้น!”
ตระกูลเมิ่งยากจน เมิ่งไหวจิ่นเริ่มแรกจ่ายค่าเล่าเรียนของสถานศึกษาไม่ไหวก็ล้วนพึ่งการสงเคราะห์ทางการเงินจากตระกูลเฉิง
คนผู้นี้แม้จะแซ่เมิ่ง แต่ก็ให้ความสำคัญกับตระกูลเฉิงมาก เมื่อรับราชการในภายภาคหน้าก็ย่อมยืนอยู่ฝั่งเดียวกับตระกูลเฉิง ตระกูลเฉิงแห่งหนานอี๋มองเมิ่งไหวจิ่นเป็ม้าดีพันลี้ ปฏิบัติต่อเขาดียิ่งกว่าลูกหลานตระกูลเฉิงเสียอีก
เมิ่งไหวจิ่น้าสอบสวนเื่เฉิงชิงทุจริต ตระกูลเฉิงย่อมไม่อาจตบหน้าเมิ่งไหวจิ่นได้ และย่อมยอมรับผลการสอบสวนของเมิ่งไหวจิ่นอย่างตรงไปตรงมา
สหายร่วมเรียนก็ฟังเข้าใจแล้ว จึงร่วมหัวเราะไปด้วยอย่างอดไม่ได้พร้อมเอ่ยว่า
“เช่นนั้นเฉิงกุยก็ต้องเสียหน้าอีกครั้งแล้ว!”
ลุงฝั่งบิดายักยอกเงิน ส่วนญาติผู้น้องก็ทุจริต เฉิงกุยช่างน่าสงสารเสียจริง
สหายร่วมเรียนไม่ได้มีความสุขบนความทุกข์ของผู้อื่น แต่ดีใจแทนเฉิงกุย เสียหน้าหนึ่งครั้งไม่ได้มีอะไรไม่ดี หากว่าเป็การสามารถไล่เฉิงชิงไปอยู่ไกลๆ ได้ ดีกว่าในอนาคตถูกเฉิงชิงลากไปพัวพันด้วยบ่อยๆ
พวกอวี๋ซานตัดสินใจที่จะไม่ลงเขา พวกเขาอยากเห็นว่าเมิ่งไหวจิ่นจะสืบสวนเื่นี้อย่างไร
ส่วนเมิ่งไหวจิ่นทำอะไรน่ะหรือ?
เขาดูเหมือนว่าอะไรก็ล้วนไม่ทำ เพียงให้พวกเฉิงชิงซึ่งเป็ผู้เข้าสอบ ตอบข้อสอบกลางแดดแผ่นแล้วแผ่นเล่าอยู่อย่างนั้น
กระดาษข้อสอบก็ไม่มีทีท่าว่าจะเขียนหมด ทั้งร้อนทั้งกระหายน้ำ ไม่รู้ว่ามีผู้เข้าสอบกี่คนที่คิดอยากจะเป็ลม
เ้าสถานศึกษาก็ส่งคนมาสอบถาม ไม่รู้ว่าเมิ่งไหวจิ่นตอบไปว่าอย่างไร เ้าสถานศึกษาก็เห็นด้วยกับวิธีการของเมิ่งไหวจิ่นอย่างเงียบเชียบ
อวี๋ซานไม่ได้รอจนถึงเฉิงชิงถูกไล่ออกจากสนามสอบ แต่รอจนถึงนายท่านห้าเฉิงมาถึงจึงได้สติกลับคืนมา
“จะมีเื่สนุกเกิดขึ้นแล้ว!”
เมิ่งไหวจิ่นให้คนไปวางป้ายที่ประตูทางเข้าสถานศึกษาว่า “สนามสอบเป็สถานที่สำคัญ ผู้ไม่เกี่ยวข้องห้ามเข้า” นายท่านห้าเฉิงก็ไม่ได้ฝ่าเข้าไปจริงๆ
เมื่อสอบถามเหตุผลจนชัดแจ้งแล้ว นายท่านห้าเฉิงก็ตรงไปรอด้านนอก
สถานศึกษาหนานอี๋ได้ตระกูลเฉิงเป็ผู้ขยายต่อเติมจึงแล้วเสร็จ อีกทั้งนายท่านห้าเฉิงก็เป็ผู้นำตระกูลเฉิง ตามเหตุผลแล้วทั่วทั้งสถานศึกษาหนานอี๋มีที่ใดบ้างที่เขาไม่อาจไป? แต่กลับเคารพกฎเกณฑ์ที่เมิ่งไหวจิ่นตั้งขึ้นมา นายท่านห้าเฉิงให้ความสำคัญกับเมิ่งไหวจิ่นอย่างเห็นได้ชัด
อวี๋ซานรู้สึกเ็ปใจ
ก็เป็แค่เจี้ยหยวนเองไม่ใช่หรือ?
ถึงแม้ว่าปีหน้าจะสอบผ่านได้เป็บัณฑิตจิ้นซื่อ แต่ก็ต้องเริ่มต้นจากขุนนางเล็กๆ ขั้นเจ็ดครึ่งขั้น
แม้นายท่านห้าเฉิงไม่เข้าไปยังสถานศึกษา แต่เมิ่งไหวจิ่นก็ยังคงออกมาทักทายนายท่านห้าเฉิงด้วยตนเอง
นายท่านห้าเฉิงมีท่าทีเป็มิตรอย่างมาก
“ไหวจิ่น เื่นี้ยกให้เ้าจัดการ ข้าก็วางใจอย่างที่สุด เื่ราวแม้จะไม่ใหญ่โตแต่ก็ต่ำช้านัก หากมีบุตรหลานตระกูลเฉิงเกี่ยวข้องกับการทุจริต ข้าก็สนับสนุนให้สถานศึกษาลงโทษสถานหนัก!”
ตระกูลเฉิงมีบุญคุณต่อเขาอย่างใหญ่หลวง เมิ่งไหวจิ่นไม่กลับยินยอมเสแสร้งต่อหน้านายท่านห้าเฉิง รวมถึงพวกเฉิงชิงที่เป็ผู้เข้าที่ทำข้อสอบไปแล้วห้าหกแผ่น เขาเกือบจะสามารถตัดสินได้แล้วว่าเฉิงชิงไม่ได้ทุจริต
นายท่านห้าเฉิงก็พอวางใจได้บ้าง “ข้าเห็นว่าเด็กคนนั้นไม่เลวเลย คงไม่โง่ถึงขนาดนั้น ไหวจิ่น เ้าขังพวกเขาในสถานศึกษา ให้ทำข้อสอบอย่างต่อเนื่อง หรือว่า้าจะรอให้ผู้ที่ทุจริตทนไม่ไหว สารภาพความผิดออกมาเอง?”
เมิ่งไหวจิ่นพยักหน้า อวี๋ซานได้ยินอยู่ไกลๆ ภายในใจรู้สึกไม่ยอมรับ
ทำเป็สอบสวนต่อเนื่อง ที่แท้ก็ไม่ได้สอบสวนจึงคิดจะประกาศว่าเฉิงชิงไม่ได้ทุจริต เสียดายที่เขามองว่าเมิ่งไหวจิ่นเป็ผู้ที่แข็งแกร่งซื่อตรงไม่ประจบสอพลอผู้ใด ที่แท้ก็เป็คนต่ำต้อยไร้ขีดจำกัดเพื่อประจบตระกูลเฉิงคนหนึ่ง!
[1] สามศาลในที่นี้ ได้แก่ ศาลต้าหลี่ กรมอาญา และกรมการตรวจตรา ซึ่งโดยปกติแล้วจะทำงานแยกกัน คดีที่ทำให้ทั้งสามศาลต้องร่วมตรวจสอบด้วยกันนั้นมักจะเป็คดีใหญ่ะเืแผ่นดินและมีโทษหนักมาก
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้