เหนือสุดแห่งแคว้นต้าโจวมีเมืองอันโจว นอกเมืองอันโจวมีเขาสูงเรียงร้อยแน่นขนัด เขาสูงป่าทึบเต็มไปด้วยสิงสาราสัตว์น้อยใหญ่ ย่อมเป็ที่ชุมนุมของเหล่านายพราน ในแต่ละปี กว่าครึ่งของเครื่องหนังและผ้าคลุมขนสัตว์ของแคว้นต้าโจวล้วนมาจากที่นี่
เมืองอันโจวมิใช่เมืองใหญ่ ทุกๆ ปีจะมีเพียง่สารทฤดูสามเดือนเท่านั้นที่ทั้งเมืองจะคึกคักเป็พิเศษ ยามนี้เหลือเวลาอีกเพียงเดือนกว่าก็จะขึ้นปีใหม่ บรรดาขบวนพ่อค้าต่างพากันเดินทางลงใต้โดยพร้อมเพรียง ทำให้ทั้งนอกเมืองในเมืองเงียบเหงาลงถนัดตา
ห่างจากตัวเมืองไปทางเหนือสามสิบลี้ มีหมู่บ้านบนสันเขาแห่งหนึ่งนามว่าหมู่บ้านเขาหมี เล่ากันว่าในอดีตเป็แหล่งชุกชุมของบรรดาหมีดำ พบเห็นหมีดำได้ทั่วไป ภายหลังมีวีรบุรุษปรากฏกายขึ้นกำจัดหมีดำสิบกว่าตัวภายในระยะเวลาไม่กี่ปี ทำให้เขาลูกนี้พบความสงบสุข และเป็การเชื้อเชิญให้บรรดานายพรานพากันมาตั้งรกรากที่นี่
วันเวลาอันเงียบสงบค่อยๆ ผ่านไปราวสายน้ำในลำธารสายเล็ก หมู่บ้านแห่งนี้ค่อยๆ ขยายใหญ่ขึ้น จนมีชาวบ้านอยู่รวมกันถึงสิบแปดครอบครัว
คนมีมาก ปัญหาย่อมมากตามเป็ธรรมดา โบราณว่าไว้มิผิด ผู้มีมโนธรรมโดยมากล้วนต่ำต้อย คนทรยศโดยมากคือนักปราชญ์ [1]
เหล่านายพรานส่วนใหญ่มักไม่ได้เรียนหนังสือ ยามจับกลุ่มออกล่าสัตว์ก็คอยช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ดังนั้นถึงแม้จะคนละแซ่ อีกทั้งต้นตระกูลก็มาจากฟากฟ้าแดนใต้ทะเลแดนเหนือ [2] แต่ยามปกติกลับอยู่ด้วยกันฉันครอบครัวก็ไม่ปาน
เรือนสิบแปดหลังในหมู่บ้านเขาหมีส่วนมากล้วนทำจากไม้ เพราะสะดวกในการหาวัสดุทั้งยังประกอบง่าย มองจากที่ไกลๆ แลดูซ่อมซ่อ
แต่เรือนที่ตั้งอยู่สูงที่สุดบนเขาลูกนี้กลับสร้างขึ้นจากอิฐ เป็เรือนสองชั้นทั้งหน้าหลัง มีกำแพงแข็งแรงทนทานล้อมตัวเรือน อิฐสีเทาแลดูสะอาดสะอ้าน ทำให้ดูคล้ายหงส์สง่ากลางฝูงไก่
ลู่เสี่ยวหมี่ขมวดคิ้วหักกิ่งไม้ในมือโยนเข้าเตาไฟ จากนั้นก็ชะโงกหน้าออกไปมองทางประตูเรือนเป็ครั้งที่ร้อย
วันนี้พี่ใหญ่สกุลลู่เข็นเสบียงในบ้านเข้าไปแลกเงินที่ร้านคลังเสบียงในเมืองเป็รอบที่สองแล้ว ออกไปั้แ่ตะวันยังไม่พ้นยอดเขา ยามนี้ตะวันคล้อยเลยยามอู่ [2] ไปแล้วก็ยังไม่กลับมา ช่างทำให้คนหวั่นใจยิ่งนัก
ในห้องหลักของเรือน บิดาลู่ผู้ล่วงเลยวัยกลางคนมาแล้ว กำลังนั่งมือหนึ่งเท้าคางมือหนึ่งถือตำรา เงยหน้ามองฟ้าอย่างเหม่อลอย คาดว่าคงกำลังคิดถึงไป๋ซื่อ [4] ภรรยาผูกผม [5] หรือก็คือมารดาแท้ๆ ของลู่เสี่ยวหมี่ที่เพิ่งสิ้นไปไม่นานอีกแล้ว
เดิมทีลู่เสี่ยวหมี่คิดจะะโเรียกบิดาให้มาเติมถ่านในเตาให้เสียหน่อย ครั้นเห็นท่าทางเช่นนั้นของเขานางจึงกลืนคำพูดกลับลงคอไป ก้มหน้าก้มตาหักกิ่งไม้ในมืออย่างแรงราวกับมันเป็ศัตรูคู่อาฆาต
“ข้าไม่วุ่นวายใจ ข้าต้องรู้จักพอ ต้องรู้จักพอ!”
จะว่าไปแล้วนางเองก็มาอยู่ที่บ้านลู่ได้สองเดือนแล้ว ไม่สิ พูดให้ถูกควรจะเป็ ‘ยืมอาศัย’ อยู่ในบ้านลู่ได้สองเดือนแล้ว
ในชาติก่อน นางเป็ทารกที่ถูกนำมาทิ้งไว้หน้าสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า กว่าจะเติบใหญ่ร่ำเรียนจนจบปริญญามาได้ก็ไม่ง่าย เพิ่งทำงานได้รับเงินเดือนเดือนแรกมาหมาดๆ กำลังเดินทางกลับสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าด้วยใจฮึกเหิมตื่นเต้น ซื้อยาให้ผู้อำนวยการชรา ซื้อของเล่น ถุงเท้ารองเท้าให้บรรดาน้องสาวน้องชาย คิดไม่ถึงว่าเพราะอุบัติเหตุรถยนต์นั่น ทำให้ลืมตาขึ้นมาในสถานที่ที่นกยังไม่อยากมาขับถ่าย [6] เช่นนี้ กลายมาเป็บุตรสาวคนเล็กของสกุลลู่
เอาเถอะ นางไร้ญาติมาแต่เล็ก ยามนี้มีความทรงจำอื่นเพิ่มเข้ามา ทั้งยังมีบิดาและพี่ชายอีกสามคน มีคนรักถนอมก็ไม่ใช่เื่เลวร้าย
แต่ทว่า บิดาและพี่ชายทั้งสามคนนี้ช่างมีความสามารถทำให้นางโกรธได้ทุกที่ทุกเวลาเสียจริงๆ!
ท่านปู่ลู่ก็คือวีรบุรุษที่ทำให้หมีดำอกสั่นขวัญแขวนผู้นั้น เรียกได้ว่าเหยียบเืเนื้อของหมีดำสร้างเรือนหลังนี้ขึ้นมา ทั้งยังสร้างที่นาอันอุดมสมบูรณ์สามสิบหมู่ [7] ไว้ที่ตีนเขา ขอแค่บิดาลู่มิใช่คนโง่ ก็รับประกันได้เลยว่าจะมีกินมีใช้ไม่ลำบากไปทั้งชีวิต
แต่สกุลลู่ในตอนนี้แทบจะเรียกได้ว่าใช้ชีวิตโดยดื่มลมตะวันตกเฉียงเหนือ[8] อยู่รอมร่อแล้ว
ตอนที่ลู่เสี่ยวหมี่เพิ่งจะตื่นขึ้นมา นางยังไม่ทันได้เรียบเรียงความทรงจำของเ้าของร่างเดิมด้วยซ้ำ ก็ต้องรีบเข้ามาจัดการดูแลบ้านลู่ต่อแทบจะทันที
เหตุผลเพียงอย่างเดียวก็คือ นางอุตส่าห์ได้โอกาสมีชีวิตอีกครั้ง จะให้มาอดตายก็คงไม่ได้กระมัง
อุตส่าห์จ้างคนเก็บเกี่ยวได้กองข้าวโพดกองเล็กๆ ที่น่าสงสารมาหนึ่งกอง ฟางข้าวสองกอง และข้าวสาลีถุงเล็กๆ อีกสิบกว่าถุงจากที่นา จากนั้นเหมันตฤดูก็มาถึง
บิดาลู่เสนอตัวนำเสบียงเหล่านี้ไปเสียภาษีการเกษตรอย่างห้าวหาญ ทั้งยังคิดจะถือโอกาสแบ่งส่วนหนึ่งขายแลกเงินกลับมาใช้สอยในครัวเรือน คิดไม่ถึงว่าสุดท้ายกลับถือตำราโบราณเล่มหนึ่งกลับมา
ลู่เสี่ยวหมี่โกรธจนไม่สนทนากับบิดาที่พึ่งพาไม่ได้ผู้นี้นานถึงครึ่งเดือน วันนี้ยังแบ่งเสบียงหนึ่งในสามของบ้านให้พี่ใหญ่นำเข้าเมืองไป
เื่นี้เกี่ยวพันถึงน้ำมัน เกลือ น้ำส้มสายชู เสื้อคลุมบุฝ้ายของครอบครัวในฤดูหนาวนี้ นางจะไม่สนใจได้อย่างไร?
บางทีอาจเป็เพราะ์เกิดรู้สึกผิดขึ้นมาที่เอาลู่เสี่ยวหมี่มาโยนทิ้งไว้ที่ตระกูลลู่แห่งนี้ จึงเมตตาให้เสียงเกือกม้าดังขึ้นหน้าประตูบ้านลู่
ลู่เสี่ยวหมี่รีบทิ้งเตาไฟที่ ‘ร้อนผ่าว’ หนีหายไปยังหน้าประตูทันที
“พี่ใหญ่ ท่านกลับมาแล้ว! เป็อย่างไรบ้าง ขายได้กี่ตำลึงเล่า?”
พี่ใหญ่สกุลลู่เกิดมามีแก้มแดง คิ้วหนาตาโต รูปร่างกำยำ เป็ชายหนุ่มบ้านไร่แสนซื่อตามสูตรสำเร็จ เป็ประเภทที่ภรรยาชาวบ้านคนอื่นๆ เห็นแล้วอยากจะลากกลับบ้านไปเป็เขยบ้านตัวเองั้แ่แรกพบ
แต่ยามนี้เมื่อเห็นน้องสาวมองเขาด้วยสายตาคาดหวังรอคอย เขากลับหดศีรษะ ท่าทางเหมือนอยากหาช่องแคบมุดตัวลงไปอย่างไรอย่างนั้น
“คือว่า เสี่ยวหมี่ คือว่าพี่...”
ลู่เสี่ยวหมี่พยายามอย่างยิ่งที่จะรักษารอยยิ้มบนใบหน้าเอาไว้ กัดฟันถามว่า “พี่ใหญ่ ท่านอย่าบอกนะว่าเสบียงของทั้งปีจะขายไม่ได้สักอีแปะเดียว?”
“ไม่ใช่นะ ไม่ใช่นะ ได้มาตั้งแปดร้อยอีแปะเชียวนะ!”
พี่ใหญ่ลู่รีบดึงพวงเงินทองแดงในอกที่ยังคงอุ่นร้อนออกมา วางไว้ในมือน้องสาวอย่างเอาอกเอาใจ
น่าเสียดาย สีหน้าของลู่เสี่ยวหมี่แย่ยิ่งกว่าเดิม
“ข้าวสาลีหนึ่งคันรถ ข้าวฟ่างข้าวโพดอีกอย่างละครึ่ง ถ้ายึดจากราคาเสบียงใน่นี้ อย่างน้อยก็ต้องได้สองตำลึงเงิน พี่ใหญ่ เหตุใดท่านถึงได้มาแค่แปดร้อยอีแปะเล่า?”
“เอ่อ เสี่ยวหมี่...” ในดวงตาของพี่ใหญ่ลู่เต็มไปด้วยความรู้สึกผิด นิ้วมือสองข้างจิ้มกันไปมาโดยไม่รู้ตัวแลดูโง่งม “ตอนเข้าเมือง พี่เห็นคนจรที่ถูกเนรเทศพวกนั้นน่าสงสารเหลือเกิน พี่ก็เลย...เอ่อ ยกเสบียงให้พวกเขาไปครึ่งคันรถ”
“น่าสงสาร?” ลู่เสี่ยวหมี่ทนไม่ไหวอีกต่อไป โกรธจนกระทืบเท้าะโเสียงดังว่า “พี่ใหญ่ลู่ ท่านรู้หรือไม่ว่านี่คือเสบียงประทังชีวิตของทั้งครอบครัวเรา! ฤดูหนาวครานี้เราทั้งครอบครัวคงต้องอดตายกันแล้ว ท่านยังมีอารมณ์ไปสงสารผู้อื่นอีก! เช่นนั้นท่านจะขายเรือนสกุลลู่เพื่อแลกเสบียงอาหารให้คนจรที่ถูกเนรเทศพวกนั้นไปเลยดีหรือไม่! แล้วพอถึงวันครบรอบของท่านแม่ ก็ให้คนจรพวกนั้นมาจัดของเซ่นไหว้ เนื้อตากแห้งสิบชิ้น [9] ของพี่สามก็ให้พวกเขาเป็คนจ่าย เสื้อกันหนาวของครอบครัวเราห้าคนก็ให้พวกเขาเป็คนเย็บ ดีหรือไม่?”
ลู่เสี่ยวหมี่โกรธแล้วจริงๆ ั้แ่ที่สวมร่างเข้ามาเป็บุตรสาวคนเล็กสกุลลู่ นางต้องวางแผนชีวิตอย่างรอบคอบระมัดระวังทุกย่างก้าว แต่พ่อลูกสกุลลู่สี่คนนี้กลับช่วยอะไรไม่ได้เลยสักนิด มีแต่จะเป็ตัวถ่วง จะดุด่าตบตีก็ไม่ได้อีก นางทำได้เพียงโกรธจนอยากโดดตึก
พี่ใหญ่ลู่เห็นน้องสาวของตนดึงชายเสื้อเก่าขึ้นมาเช็ดน้ำตาก็ร้อนรนทันที ก่อนหน้านี้ชีวิตของทุกคนในครอบครัวก็พอจะอยู่ได้อย่างปกติสุข เพียงแต่ก่อนหน้านี้ทั้งมารดาและน้องสาวต่างก็ล้มป่วย จึงใช้จ่ายเงินทองในบ้านไปจนหมดสิ้น หลังจากท่านแม่ตายไป บิดายังดื้อรั้นจะจัดพิธีศพอย่างใหญ่โต ราวกับหิมะทับถมลงบนกองน้ำแข็ง ทำให้สถานการณ์เลวร้ายลงกว่าเดิม
ไม่เช่นนั้นก็คงไม่ต้องให้น้องสาวมาใช้ชีวิตอย่างเหน็ดเหนื่อยหนักใจเช่นนี้ เดิมทีเขาเองก็มีใจคิดอยากช่วย คิดจะขายเสบียงให้ได้เงินมาซื้อผ้าดีๆ ตัดชุดใหม่ให้น้องสาว เพียงแต่คนจรที่นอกเมืองพวกนั้นน่าสงสารเหลือเกิน เขาจึงใจอ่อน...
“เสี่ยวหมี่ เ้าอย่าร้องไห้ พี่ผิดไปแล้ว ครั้งหน้าพี่ไม่กล้าอีกแล้ว...”
พี่ใหญ่ลู่ร้อนใจ ร้อนรนดั่งหนูติดจั่น คิดอยากให้ตัวเองมีสองปากเพื่ออธิบายให้น้องสาวหยุดร้องไห้
บิดาลู่ที่อยู่ในห้องในที่สุดก็ดึงสติที่ไม่รู้ล่องลอยไปไกลถึงไหนกลับมาจนได้ โยนตำราในมือวิ่งออกมาทันที กลับได้ยินเสียงฝีเท้าดังขึ้นที่หน้าประตูอีกเสียง
“ท่านพ่อ พี่ใหญ่ พี่รอง รีบมาช่วยเร็วเข้า”
เสียงนั้นยังไม่ทันขาดหาย นอกประตูก็มีเงาร่างซิ่วไฉ [10] หนุ่มในอาภรณ์ผ้าฝ้ายสีน้ำเงิน รวบผมผูกไว้ด้วยผ้าสี่เหลี่ยมอย่างเรียบร้อยผลุนผลันเข้ามา เขามีคิ้วหนาตาโตเช่นเดียวกัน แต่กลับมีรูปร่างผอมบาง แลดูมีกลิ่นอายบัณฑิตมากกว่าพี่ใหญ่ลู่อยู่หลายส่วน แต่ไม่ว่าใครแค่เห็นก็รู้ว่านี่คือคนสกุลลู่
พี่ใหญ่ลู่ตรงเข้าไปดึงแขนซิ่วไฉหนุ่มอย่างดีใจ กล่าวว่า “น้องสาม เ้ากลับมาแล้ว พรุ่งนี้ข้ายังคิดจะเดินทางไปรับเ้าอยู่เลย”
ถูกแล้ว ซิ่วไฉหนุ่มคนนี้ก็คือบุตรชายคนที่สามของสกุลลู่ที่ร่ำเรียนอยู่ที่สำนักศึกษาต่างเมือง ลู่เชียน
ยามนี้ลู่เชียนไม่มีอารมณ์มารำลึกความหลังให้หายคิดถึงกับพี่ใหญ่ รีบร้องขอความช่วยเหลือ “พี่ใหญ่ ระหว่างทางกลับมาข้าพบกับโจรูเาเข้า โชคดีที่ได้พี่ใหญ่เฝิงช่วยชีวิตไว้ แต่พี่ใหญ่เฝิงได้รับาเ็แล้ว ข้าจึงพาพวกเขากลับมาด้วย”
“หา คนอยู่ที่ใด รีบเชิญเข้ามาเถอะ”
คนสกุลลู่ต่างพากันผลุนผลันออกมายื่นออที่หน้าประตู เห็นว่าหน้าเรือนมีรถม้าม่านสีเขียวคันหนึ่งจอดอยู่ ม้าตัวนั้นเป็ม้าชรา ตัวรถเก่าคร่ำคร่า ถึงขนาดผ้าม่านบนรถม้าก็ยังขาดเป็รูใหญ่หลายรูกำลังเชื้อเชิญลมเหนือให้พัดเข้าหา
ข้างตัวรถกลับมีเด็กน้อยในชุดแดงคนหนึ่งยืนอยู่ ดูแล้วอายุราวเจ็ดแปดขวบ ผิวขาวอ้วนกลม ผมมัดสูงชี้ฟ้า หากละเลยสีหน้ายโสไม่แยแสของเขาไป ก็นับว่าเป็เด็กที่น่ารักมากทีเดียว
ส่วนบนรถบ่าวรับใช้ชราสวมอาภรณ์สีเทากำลังประคองเ้านายหนุ่มลงมาจากรถ
เ้านายหนุ่มคนนั้นดูแล้วอายุราวยี่สิบต้นๆ เขาสวมอาภรณ์สีครามรวบผมด้วยปิ่นไม้ ขาขวาที่ยื่นออกมามีคราบเืแห้งกรังขนาดใหญ่สะดุดตายิ่งนัก
คล้ายว่าการลงจากรถจะกระทบกระเทือนาแของเขา เขาจึงขมวดคิ้วน้อยๆ ดวงตาดำสนิทมีความเ็ปวาบผ่าน ปากบนล่างเม้มแน่น ทว่าหว่างคิ้วกลับหลงเหลือร่องรอยแห่งความเ็ปที่เห็นได้อย่างชัดเจน
คล้ายว่าคนสกุลลู่จะไม่คาดมาก่อนว่าผู้มีพระคุณช่วยชีวิตที่ลู่เชียนพากลับมาจะมีลักษณะเช่นนี้ จึงพากันอึ้งไป
กลับเป็ลู่เสี่ยวหมี่ที่เมื่อสังเกตเห็นผ้าพันแผลที่พันอย่างยุ่งเหยิงไม่เรียบร้อยบนขาของคุณชายคนนั้นแล้ว ก็รีบผลักพี่ใหญ่ลู่ทันที “พี่ใหญ่ รีบไปเชิญลุงสามปี้มา เขาถนัดต่อกระดูกเป็ที่สุด อย่าลืมว่าต้องบอกเขาให้นำยาที่ดีที่สุดมาด้วย หากว่าเขาดื่มสุราเมามายไม่ยอมมา ท่านก็บอกเขาไปว่าวันหน้าหากข้าต้มขาไก่พะโล้จะไม่แบ่งให้เขาอีก”
พูดจบก็ผลักพี่สามลู่เบาๆ “พี่สามรีบไปเปิดห้องพักฝั่งตะวันออกของท่าน แล้วปูที่นอนให้เรียบร้อย เตรียมสถานที่ให้คุณชายท่านนี้พักผ่อน เตาใต้เตียงในห้องจุดไว้ั้แ่เช้ามืด ท่านรีบไปย้ายกระถางไฟจากห้องหลักมาไว้แทน ข้าจะไปต้มน้ำ อีกประเดี๋ยวเมื่อลุงสามปี้มาถึงย่อมต้องใช้มัน”
“ได้ ข้าจะไปเดี๋ยวนี้”
พี่ใหญ่ลู่รับคำแล้วรีบวิ่งลงเขาไปทันที ลู่เชียนเองก็รีบหมุนกายเข้าเรือนไปทันที
แบ่งแยกหน้าที่ชัดเจนกระชับฉับไวไม่แพ้นายหญิงผู้เก่งกาจของตระกูลใดทั้งสิ้น คิดไม่ถึงว่าคำสั่งพวกนั้นจะออกมาจากปากแม่นางน้อยที่เป็ชาวบ้านธรรมดาๆ นางหนึ่งคนนี้ไปได้
อย่าว่าแต่บ่าวชราชุดเทา แม้แต่คุณชายที่กำลังเ็ปจนขมวดคิ้วคนนั้นก็ยังเงยหน้าขึ้นมองอย่างประหลาดใจ
น่าเสียดาย ลู่เสี่ยวหมี่สะบัดชายเสื้อเดินเร็วๆ เข้าไปยังโรงครัวแล้ว ทิ้งไว้เพียงเงาหลังผอมบางให้คนเห็นอยู่ไวๆ
บิดาลู่เดินขึ้นหน้ามาประสานมือคารวะคุณชายคนนั้น ขอบคุณที่เขาช่วยลูกชายของตนไว้ เสร็จแล้วก็นำนายบ่าวทั้งสามคนนี้ไปยังห้องพักฝั่งตะวันออก
หลายวันนี้เพื่อเตรียมพร้อมให้พี่สามลู่ที่อาจจะกลับมาพักผ่อนที่บ้านใน่ฤดูหนาวเมื่อไรก็ได้ ลู่เสี่ยวหมี่จึงเตรียมจุดไฟใต้เตียงไว้แต่เนิ่นๆ ลุกขึ้นมาเติมฝืนแต่เช้าจนตอนนี้เตียงอิฐก็ยังอุ่นร้อนอยู่
เมื่อได้เอนกายลงบนผ้าปูนุ่มๆ กรุ่นกลิ่นหอมอ่อนๆ ทั้งไอร้อนใต้ร่างที่ค่อยๆ กำจายขึ้นมา ใบหน้าซีดขาวของเฝิงเจี่ยนก็ค่อยๆ ผ่อนคลายลง
บ่าวรับใช้ชราชุดเทาเองก็นั่งตะแคงลงบนเตียงเตาด้วยเช่นกัน ส่วนเด็กน้อยชุดแดงนั้นกลับขึ้นไปบนเตียงเตาอย่างไม่เกรงใจตั้งนานแล้ว
ยามเมื่อลู่เสี่ยวหมี่ยกอ่างน้ำร้อนที่มีควันขาวพวยพุ่งเข้ามาในห้อง พี่ใหญ่ลู่ก็แบกลุงสามปี้ที่กำลังกรึ่มๆ มาถึงพอดี
เมื่อจัดการตัดอาภรณ์ที่ย้อมด้วยเืออกแล้วเลิกขึ้น ก็เห็นเนื้อหนังที่ยับย่นเหวอะหวะกับกระดูกขาวๆ ที่โผล่ออกมาให้เห็นวับๆ แวมๆ
คนสกุลลู่ใจนส่งเสียงสูดปาก ถึงแม้ยามคนในหมู่บ้านออกไปล่าสัตว์มักจะได้รับาเ็กลับมาเสมอ บุตรชายคนรองสกุลลู่เองก็เป็ผู้ฝึกยุทธ์ แต่อาการาเ็ที่ร้ายแรงเช่นนี้พวกเขาเพิ่งเคยเห็นเป็ครั้งแรก
คุณชายอายุน้อยเช่นนี้ การแต่งกายก็แลดูเป็ผู้ร่ำรวยมั่งคั่ง จะต้องมีจิตใจแน่วแน่เข้มแข็งเพียงไหนถึงอดทนมาได้ตลอดทางเช่นนี้...
เชิงอรรถ
[1] ผู้มีมโนธรรมโดยมากล้วนต่ำต้อย คนทรยศโดยมากคือนักปราชญ์(仗义每多屠狗辈负心多是读书人 )เป็สำนวนเปรียบเปรยว่า คนที่มีน้ำใจไมตรีส่วนมากล้วนเป็ชาวบ้านธรรมดาที่ประกอบอาชีพต่ำต้อย ส่วนผู้รู้หนังสือโดยมากมักไร้คุณธรรมและทรยศผู้อื่น
[2] ฟากฟ้าแดนใต้ทะเลแดนเหนือ(天南海北)หมายถึงดินแดนที่ห่างไกลอยู่คนละทิศละทางกัน
[3] ยามอู่(午)คือ ยามเที่ยง
[4] ไป๋ซื่อ(白氏)เป็คำเรียกสตรีที่แต่งงานแล้ว โดยจะเรียกด้วยแซ่เดิมก่อนแต่งงาน
[5] ภรรยาผูกผม(发妻)หมายถึง ภรรยาเอกคนแรก เนื่องจากในพิธีแต่งงานจะมีการตัดผมของบ่าวสาวมาผูกกันไว้ จึงเรียกภรรยาเอกคนแรกที่แต่งงานอย่างถูกต้องว่าภรรยาผูกผม
[6] สถานที่ที่นกยังไม่อยากมาขับถ่าย(鸟不拉屎的地方)สถานที่รกร้างห่างไกล ไม่สลักสำคัญ
[7] หมู่(亩)หน่วยวัดพื้นที่ของจีน 1 หมู่ เท่ากับประมาณ0.416667 ไร่
[8] ดื่มลมตะวันตกเฉียงเหนือ(喝西北风)หมายถึงยากจนจนแทบจะอดตาย
[9] เนื้อตากแห้งสิบชิ้น(束脩)เป็ธรรมเนียมของกำนัลสำหรับฝากตัวเป็ศิษย์ที่ต้องมอบให้กับอาจารย์ที่อยากร่ำเรียนวิชาด้วยเมื่อพบกันเป็ครั้งแรก ซึ่งคำว่า ซิว脩 หมายถึงเนื้อตากแห้ง และเนื้อตากแห้งสิบชิ้นมัดรวมกันเรียกว่าหนึ่งซู่ 束
[10] ซิ่วไฉ(秀才)หมายถึง ผู้ที่สอบผ่านการคัดเลือกขุนนางในสมัยโบราณระดับท้องถิ่นรอบแรก
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้