ยามนี้ฮองเฮา ‘ต้อนรับอย่างมีไมตรี’ เช่นนี้จะให้มู่จื่อหลิงปฏิเสธอย่างไร ต้องบอกว่าฮองเฮาร้ายกาจกว่าไทเฮานัก
ไทเฮาชรายังข่มกลั้นเอาไว้ไม่ไหว แสดงความรู้สึกแท้จริงในใจออกมาบ้างเป็ครั้งคราว แต่ฮองเฮาผู้นี้ต่อให้ฟ้าผ่าก็ไม่ะเืเลย!
มู่จื่อหลิงคิดว่านอกจากหลงเซี่ยวหลี ก็คงไม่มีใครส่งผลต่ออารมณ์ของฮองเฮาได้แล้ว
ทันทีที่ฮองเฮาเห็นว่าหลงเซี่ยวหลีไม่เป็ไรแล้ว สีหน้าของนางก็ดีขึ้นมา มีท่าทางเป็มิตรจิตใจดีดังเดิม วาทศิลป์เป็เลิศ ไม่ว่าอย่างไรก็สามารถซ่อนเร้นได้เป็อย่างดี
ก็แค่กินข้าวมื้อเดียวมิใช่หรือ มู่จื่อหลิงรู้ว่าข้าวมื้อนี้นั้นไม่มีทางเป็มื้อธรรมดา ต้องมีจุดประสงค์แอบแฝงแน่
มิเช่นนั้นเหตุใดฮองเฮาต้องลำบากถึงเพียงนี้ หาก้าขอบคุณนางจริงๆ ประทานสิ่งของก็เพียงพอแล้วมิใช่หรือ ยังจะต้องเชิญไปกินข้าวด้วยกัน คนโง่ก็รู้ว่านี่คืองานเลี้ยงหงเหมิน
แต่ว่านางไม่เกรงกลัว ไม่ว่าข้าวมื้อนี้จะมีจุดประสงค์ใด นางเจอสิ่งใดก็ตอบแทนด้วยสิ่งนั้น
หลงเซี่ยวหลีได้ยินฮองเฮารั้งมู่จื่อหลิงให้อยู่ต่อ ก็เริ่มมีท่าทางหมาป่าหิวโหยมองอาหารรสเลิศ จ้องมู่จื่อหลิงด้วยท่าทางน้ำลายจะหก
ที่จริงแล้วต่อให้ฮองเฮาไม่เอ่ยปากรั้งมู่จื่อหลิงให้อยู่ต่อ เขาก็จะคิดทุกวิธีเพื่อรั้งมู่จื่อหลิงไว้
หากไม่เพราะกลัวว่าโรคประหลาดจะกำเริบ เขาอดกลั้นมาตลอดเช่นนี้ได้อย่างไร คงออกไปหาผู้หญิงระบายความใคร่ไปนานแล้ว
ยามนี้เขามิอาจแตะต้องสตรี แต่ได้มองสตรีงามล้ำเลิศเช่นมู่จื่อหลิงนี้ เขาก็ชื่นชอบเช่นกัน!
มู่จื่อหลิงแต่งให้หลงเซี่ยวอวี่แล้วอย่างไร แม้เขาจะเกรงกลัวอำนาจของหลงเซี่ยวอวี่ แต่หลงเซี่ยวอวี่นั้นไม่ว่าสตรีใดก็ล้วนรังเกียจ
เชื่อว่าหากเขาแตะต้องมู่จื่อหลิงจริง หลงเซี่ยวอวี่คงไม่ลดตัวมาทำอันใดเขา เพียงเพราะสตรีผู้หนึ่ง
มิแน่ว่าหลงเซี่ยวอวี่อาจจะรู้สึกขอบคุณเขาที่ช่วยจัดการมู่จื่อหลิง จากนั้นก็มอบสตรีผู้นี้ให้เขา
ยามนี้หลงเซี่ยวหลีกำลังคิดอย่างไร้เดียงสาว่าหลังจากที่เขาหายเป็ปกติจะทำให้มู่จื่อหลิงยอมจำนนกับเขาอย่างไร
มู่จื่อหลิงไม่รู้เลยแม้แต่น้อยว่าหลงเซี่ยวหลีลูบคางพลางจับจ้องมาที่ตนด้วยสีหน้าหยาบโลน แล้วก็บังเกิดความคิดน่าสะอิดสะเอียน
หากนางรู้เข้า วันนี้คงไม่มีทางจิตใจดีปล่อยหลงเซี่ยวหลีไปอย่างง่ายดายเช่นนี้
มู่จื่อหลิงยิ้มอย่างเขินอายให้ฮองเฮา “เสด็จแม่ คำกล่าวพวกนี้มาจากที่ใดกัน ได้กินข้าวกับพระองค์หนึ่งมื้อ หม่อมฉันยังไม่ทันดีใจแล้วจะปฏิเสธได้อย่างไรเพคะ”
์รู้ว่าแม้มู่จื่อหลิงจะพูดด้วยรอยยิ้มเต็มใบหน้า แต่ในใจกลับร้องไห้น้ำตาเป็สายน้ำ ทุกครั้งที่เข้าวังเป็ต้องพูดสิ่งที่ไม่ตรงกับใจ แล้วยังต้องยิ้มประจบประแจงคนที่ไม่ชอบอีก
โชคดีที่หลงเซี่ยวอวี่อาศัยอยู่เพียงลำพังในจวนที่เงียบสงบและอิสรเสรี
หากนางแต่งเข้ามาในวังหลวงจริงๆ วันๆ ต้องเผชิญกับการยุแหย่จับผิดของนกกระจิบและนกนางแอ่นฝูงหนึ่ง [1] ตามพัวพันไม่เลิกรา มิสู้ให้นางไปฟังหลงเซี่ยวเจ๋อพูดฉอดๆ ไม่หยุดดีกว่า
ฮองเฮายืนตรงข้ามกับหลงเซี่ยวหลี เมื่อครู่นางย่อมมองเห็นหลงเซี่ยวหลีจ้องมู่จื่อหลิงอย่างใคร่ครวญ
ยามปกติหลงเซี่ยวหลีก็เป็คนมีปัญญาเฉียบไว เหตุใดเมื่อเจอสตรีผู้หนึ่งจึงได้เหลวไหลเช่นนี้ ปกติเซี่ยวหลีจะเล่นสตรีเช่นใดนางไม่สนใจ แต่ยามนี้มู่จื่อหลิงยังมีฐานะเป็ฉีหวางเฟยอยู่
ไม่ว่าหลงเซี่ยวอวี่จะสนใจหรือไม่ พวกเขาล้วนต้องระวังรอบคอบ มิอาจลงมือกับมู่จื่อหลิงอย่างโจ่งแจ้งได้
และท่าทางของมู่จื่อหลิงก็มิใช่ผู้ที่จะยอมอ่อนข้อให้โดยง่าย รอจนมู่จื่อหลิงให้ความร่วมมือกินข้าวมื้อนี้อย่างดี จากนั้นให้พวกเขาใช้ประโยชน์ได้อย่างราบรื่น คงดีไม่ใช่น้อย
หากไม่ได้ ก็อย่ามาโทษว่านางใจเหี้ยมไร้ความปรานี นางไม่มีทางปล่อยคนที่อาจจะเป็ภัยคุกคามไว้ข้างกายหลงเซี่ยวอวี่ นางยอมฆ่าเป็พัน แต่จะไม่ปล่อยแม้สักหนึ่ง
ฮองเฮาลอบส่งสายตาให้หลงเซี่ยวหลี ให้เขาเก็บอาการเสียหน่อย
แต่หลงเซี่ยวหลีไม่กระดิกเลยแม้แต่น้อย ยังคงจ้องมู่จื่อหลิง ฮองเฮาจึงเลิกสนใจด้วยเกรงว่ามู่จื่อหลิงจะมองพิรุธออก
ฮองเฮาพูดกับมู่จื่อหลิงด้วยสีหน้ายิ้มแย้มยินดี “หลิงเอ๋อร์คิดเช่นนี้แม่ก็วางใจ แม่ยังกังวลอยู่เลยว่าหลิงเอ๋อร์จะไม่ยอมไว้หน้าอยู่รับสำรับกับแม่สักมื้อ”
คำพูดนี้ของฮองเฮาช่างเยี่ยมนัก!
มิใช่เพียงย้ำเตือนว่าตนเองคือฮองเฮา หากนางมู่จื่อหลิงไม่ไว้หน้า เช่นนั้นมิเท่ากับว่าทำให้มารดาแผ่นดินเสียหน้าหรือ โทษหนักเช่นนี้นางคงรับไม่ไหว
นางก็รับปากว่าจะอยู่กินข้าวแล้ว เหตุใดฮองเฮาต้องทำสิ่งไม่จำเป็ อยากข่มขู่นางลับๆ?
“เสด็จแม่ล้อเล่นแล้วเพคะ” มู่จื่อหลิงยกมุมปาก ในใจเต็มไปด้วยความรังเกียจ
ไม่อยากกล่าวสิ่งใดอีก คำพูดที่สรรเสริญเยินยอมากไปนางก็ไม่มีทางพูด และไม่ยอมพูด ฮองเฮาจะทำสิ่งใดนางก็ให้ความร่วมมือไปแล้วกัน
แต่เดิมนางก็คงไม่ไว้หน้า แต่นับว่าฮองเฮายังรู้จักนางเป็อย่างดี เมื่อครู่จึงได้พูดตัดบทนางอย่างรวดเร็ว ทำให้นางกลืนคำพูดที่้าปฏิเสธลงท้องไป
ตอนนี้จิตใจฮองเฮาผ่อนคลาย แต่นางเริ่มกระวนกระวายใจเสียแล้ว
“สามารถกินข้าวกับน้องสะใภ้สามได้ ดูท่าอาหารมื้อนี้คงเลิศรสนัก” หลงเซี่ยวหลีที่อยู่ด้านหลังพูดด้วยสีหน้าหยาบโลน ราวกับที่พูดมิใช่รสชาติอาหาร แต่เป็รสชาติคนงาม
มู่จื่อหลิงได้ยินวาจานี้ก็ขมวดคิ้ว เบี่ยงตัวไปมองหลงเซี่ยวหลีเล็กน้อย มิได้หันไปมองตรงๆ
แค่เพียงเห็นใบหน้าน่าสะอิดสะเอียนของหลงเซี่ยวหลี นางก็รู้สึกไม่สบายตัวขึ้นมา ไม่รู้ว่าอีกประเดี๋ยวต้องกินข้าวด้วยกันจะกลืนลงไปได้หรือไม่
นางไหนเลยจะไม่รู้ความหมายของคำพูดหลงเซี่ยวหลี มุมปากของนางปรากฏรอยยิ้มเยาะเย้ยเบาบาง “เปิ่นหวางเฟยก็รอคอยนัก ไม่รู้ว่าสำรับอาหารในวังจะเลิศรสจริงหรือไม่”
นางนับว่ารู้ว่าสิ่งใดคือการถ่ายทอดทางพันธุกรรม สิ่งนี้นั้นไม่เคยปรากฏอยู่ในประวัติศาสตร์สมัยโบราณเลย
บุตรชายฮ่องเต้เหล่านี้แม้รูปโฉมจะน่ามอง แต่กลับไม่มีใครรูปร่างหน้าตาคล้ายคลึงกันเลย นิสัยก็แตกต่างกัน แต่ละคนล้วนมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ทว่าหลงเซี่ยวหลีหน้าเนื้อใจเสือเช่นนี้ นางมิกล้าเยินยอจริงๆ
หลงเซี่ยวหลีที่คิดจะเปิดปากพูดอีก ก็ถูกฮองเฮาตัดบท “เอาล่ะ ยามนี้ควรรับสำรับแล้ว ดูท่าหลิงเอ๋อร์คงจะหิวแล้วเช่นกัน ไม่ต้องคุยแล้ว”
มู่จื่อหลิงได้ยินฮองเฮากล่าวเช่นนี้ก็มิได้ไปสนใจมากนัก นางรอที่จะออกไปจากที่เหม็นโฉ่แห่งนี้ไม่ไหวแล้ว หากไม่เพราะภูมิคุ้มกันนางดี คงไม่รู้จะอาเจียนกี่รอบ
“เปิ่นหวงจื่อสะเพร่าแล้ว มาเสียนานขนาดนี้ น้องสะใภ้สามต้องหิวแน่ ใครก็ได้ หามเกี้ยวไปตำหนักคุนหนิง” หลงเซี่ยวหลีจึงดึงสายตาที่จ้องมู่จื่อหลิงกลับไป และกล่าวอย่างใกล้ชิด
จากนั้นหลงเซี่ยวหลีก็เหลือบมองตำหนักที่ถูกตนเองทำจนเละเทะไปหมด พูดกับกงกงด้านข้างว่า “นำสิ่งไม่รู้จักดีชั่วพวกนี้ไปทิ้งข้างหลังูเา”
พวกฮองเฮาออกไปก่อน มู่จื่อหลิงก็กวาดมองฉากนองเืบนพื้นเ่าั้ นางย่อมได้ยินที่หลงเซี่ยวหลีพูดเมื่อครู่ นางจึงแอบสาดผงสลายกระดูกไปยังร่างไร้ิญญาเ่าั้
นางรู้ว่าต่อให้คนพวกนี้ตายไปแล้ว หลงเซี่ยวหลีก็ไม่ใจดีฝังพวกเขาให้เรียบร้อยแน่
เป็ไปตามที่คาดไว้ หลงเซี่ยวหลีจะนำผู้ที่ถูกคร่าชีวิตตามใจนี้ไปทิ้งนอกเมืองรกร้าง ให้สัตว์ป่ากัดทึ้งซากศพเป็อาหาร
คนเหล่านี้ถูกอดีตเ้านายทรมานจนตายอย่างไม่ยุติธรรม หลังจากตายไปแล้วก็ยังมิได้รับความสงบสุข เทียบกับแบบนี้แล้วมิสู้ให้พวกเขากลับคืนสู่ธุลีดินไม่ดีกว่าหรือ
-
ตำหนักคุนหนิง
มู่จื่อหลิงมองอาหารที่ละลานตาไปหมด ต้องกล่าวว่าอาหารการกินในวังหลวงนั้นอุดมสมบูรณ์นัก พอๆ กับงานเลี้ยงแมนจูฮั่น [2] เลยทีเดียว แม้วันปกติที่กินในจวนฉีอ๋องก็นับว่าไม่แย่ แต่เมื่อนำมาเทียบกับในวังแล้วก็ต่างกันราวฟ้ากับเหว
ยามที่นางเข้ามาก็เริ่มใช้งานระบบซิงเฉินตรวจอาหารเหล่านี้ไปรอบหนึ่ง ล้วนไม่มีปัญหาอันใด
อาหารเหล่านี้พวกฮองเฮาเองก็ต้องกิน ดูท่าพวกเขาคงไม่สมองทึบถึงขั้นให้นางกินคนเดียว แล้วพวกเขาเพียงนั่งมองหรอก เช่นนั้นก็จะโจ่งแจ้งเกินไปแล้ว
แม้อาหารจะไม่มีพิษ แม้ยามนี้ท้องนางจะร้องแล้วก็ตาม แต่นางกลับไม่มีความอยากอาหารเลยแม้แต่น้อย
ไม่เพียงเพราะเพิ่งออกมาจากตำหนักของหลงเซี่ยวหลีและรู้สึกว่ากลิ่นประหลาดบนกายยังไม่ทันจางหาย ผู้ร่วมโต๊ะทั้งสองคน มองดูแล้วช่างส่งผลต่อความอยากอาหารนัก
หลงเซี่ยวหลีถึงกับใช้ตะเกียบที่เขากินมาคีบอาหารให้นางอย่างน่าพะอืดพะอม จะให้นางเอาเข้าปากได้อย่างไร
“หลิงเอ๋อร์ เป็อันใด อาหารพวกนี้ไม่ถูกปากหรือ?” ฮองเฮาเห็นมู่จื่อหลิงไม่มีความคิดจะขยับตะเกียบแม้แต่น้อย จึงถามด้วยความหวังดี
ดวงตาใสกระจ่างราวกับสายน้ำของมู่จื่อหลิงจึงโค้งเล็กน้อย “จะเป็ไปได้อย่างไรกันเพคะ เพียงแค่หม่อมฉันเห็นอาหารเยอะแยะเช่นนี้แล้วไม่รู้ว่าจะคีบอันไหนเข้าปากดี”
ในใจนางใกล้จะร้องไห้อยู่รอมร่อ ยอมให้ฮองเฮาวางยาเสีย แล้วยอมให้นั่งมองนางกินเสีย ดีกว่ายอมนั่งมองหลงเซี่ยวหลีคีบอาหารให้นางอย่างน่าสะอิดสะเอียน นางปรุงยาพิษได้ก็ถอนยาพิษได้ กินแล้วย่อมหาวิธีถอนพิษมาจนได้
หลงเซี่ยวหลีหัวเราะอย่างเปิดเผย “ฮ่าๆ เปิ่นหวงจื่อรู้ว่าน้องสะใภ้สามต้องขัดเขินมิกล้ากิน เปิ่นหวงจื่อจึงคีบอาหารให้เ้าด้วยตนเอง”
จากนั้นก็เลียตะเกียบในมืออย่างแฝงความหมาย แล้วคีบอาหารให้มู่จื่อหลิงต่อ
มู่จื่อหลิงเบ้ปากอย่างเย้ยหยัน ในใจเต็มไปด้วยความสะอิดสะเอียน “ไม่ลำบากองค์ชายใหญ่หรอกเพคะ เปิ่นหวางเฟยชอบกินขนมหวาน”
นางข่มความรู้สึกอยากอาเจียนที่โจมตีขึ้นมาเอาไว้ เขี่ยกองกับข้าวที่หลงเซี่ยวหลีคีบให้ไปด้านข้าง แล้วหยิบขนมเปี๊ยะมาชิ้นหนึ่ง
ขณะนี้เอง นางกำนัลก็ยกชามรังนกมาวางไว้ด้านหน้ามู่จื่อหลิง จู่ๆ ระบบซิงเฉินก็แจ้งเตือนเข้ามา ทำให้มู่จื่อหลิงเกือบสำลักขนมเปี๊ยะที่เพิ่งนำเข้าปากออกมา
เดี๋ยวก่อน ข้างในมีหนอนกู่ควบคุมจิตใจ หนอนกู่ควบคุมจิตใจตามชื่อก็คือใช้เสียงบางอย่างมาควบคุมผู้ที่มีหนอนกู่ในกาย
แม้ผู้ที่มีหนอนกู่จะไม่มีสิ่งผิดแปลกไปจากคนธรรมดาทั่วไป แต่คนผู้นั้นจะไม่มีความคิด เหมือนกับศพเดินได้อย่างไรอย่างนั้น และผู้ที่ถูกพิษกู่นั้นเมื่อจำนายได้ก็จะจงรักภักดีไปจนวันตาย ไม่ต่างอะไรกับเครื่องสังเวย
นางเพิ่งจะคิดว่าฮองเฮาคิดจะขอบคุณนางจริงๆ ดังนั้นจึงไม่วางยาพิษ ที่แท้นางก็คิดมากไป
อาหารอันโอชะ ต้องมาทีหลังจริงๆ ด้วย
ไม่คิดว่าจิตใจฮองเฮาจะโเี้เช่นนี้ คิดจะควบคุมนาง ยามที่นางอยู่ยุคปัจจุบันก็รู้จักมาก่อนแล้ว ของสิ่งนี้เป็สัตว์พิษที่น่ากลัวยิ่งนัก
ในยุคนี้ควรจะพบเห็นได้น้อยมาก ฮองเฮาทำของสิ่งนี้ขึ้นมาได้อย่างไร ยังดีที่นางมีระบบซิงเฉิน มิเช่นนั้นจะตายเช่นใดก็มิอาจรู้ได้
ฮองเฮาไม่รับรู้ความผิดปกติของมู่จื่อหลิง เปิดปากพูดอย่างใจดี “หลิงเอ๋อร์ เห็นท่าว่าอาหารเหล่านี้คงไม่ถูกปากเ้า โชคยังดีแม่ให้ห้องเครื่องเตรียมรังนกเป็พิเศษ เ้าลองชิมดูเสียสิ”
มู่จื่อหลิงได้สติกลับมา ในใจก็ลอบหัวเราะเยาะ คำว่า ‘เป็พิเศษ’ นี้เปิดหูเปิดตานางเสียจริง
ครานี้นางถึงได้รู้จักฮองเฮาอย่างแท้จริง ดูท่าว่าสตรีในวังยังมิอาจชนะนางได้สักคน ฮองเฮาคิดควบคุมนาง ก็ต้องว่าฮองเฮามีคุณสมบัตินั้นหรือไม่
มู่จื่อหลิงแสร้งทำท่าทีคาดไม่ถึง กล่าวอย่างยินดี “อืม กลิ่นของรังนกนี่ทำให้ผู้อื่นรู้สึกอยากอาหารขึ้นมายิ่งนัก ขอบพระทัยเพคะเสด็จแม่”
ดูท่าแล้วอารมณ์นางไม่เลวเลย นางหยิบช้อนในถ้วยรังนกร้อนๆ ขึ้นมาคนเล็กน้อย ให้ความร้อนคลายลง ก้มศีรษะลงไปดมดื่มด่ำ
เ้าคางคกม่วงนั้นชอบกินสิ่งของจำพวกหนอนมากที่สุด อีกทั้งหนอนครานี้ยังไม่ธรรมดา สำหรับคางคกม่วงแล้วนับว่าเป็ของขวัญชิ้นใหญ่ หากให้รังนกถ้วยนี้กับคางคกม่วง มันต้องพอใจอย่างยิ่งแน่ๆ คงจะดีใจไปหลายวัน
ฮองเฮาเห็นว่าแผนกำลังจะสำเร็จ ก็ยิ้มเบาบางครั้งแล้วครั้งเล่า “หลิงเอ๋อร์ชื่นชอบก็ดีแล้ว รีบกินตอนยังร้อนๆ เถิด”
ครั้งนี้นางลงทุนไปอย่างมาก ถึงนำหนอนกู่ควบคุมจิตใจเข้ามาจากข้างนอกได้ ต่อให้ฝีมือการแพทย์ของมู่จื่อหลิงสูงส่งก็ไม่มีทางดูออก
มู่จื่อหลิงพยักหน้าอย่างยินดี ครั้งนี้นางอยากขอบคุณผลงานชิ้นเอกของฮองเฮาเสียจริง แต่ว่าต้องทำอย่างไรจึงจะป้อนให้คางคกม่วงได้กัน
ในตอนที่มู่จื่อหลิงกำลังสับสนว่าจะป้อนรังนกจานนี้ให้คางคกม่วงอย่างไรดีนั้น
ก็มีเสียงแหลมสูงของกงกงลอยมาจากด้านนอก “รถม้าฉีอ๋องมาถึงแล้ว......”
------------------------------
เชิงอรรถ
[1] นกกระจิบและนกนางแอ่น ใช้เปรียบเปรยเหล่าสนมชายาในวัง
[2] งานเลี้ยงแมนจูฮั่น งานเลี้ยงที่ราชวงศ์ชิงที่พรั่งพร้อมไปด้วยอาหารหลากหลายชนิด
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้