“ลุงซุนพูดถูก ภรรยาต้าซาน ครั้งนี้เ้าทำเกินไปแล้ว!” เมื่อมีคนหนึ่งลุกขึ้นพูดทวงความยุติธรรม หญิงชราผมขาวที่สวมชุดสีเขียวเก่าคร่ำคร่าก็พูดตาม ตำหนิจ้าวซื่อว่า “พวกเราทุกคนล้วนเห็นกันทั้งนั้น เื่ความกตัญญูต่อผู้าุโนี้ นางหนูฟู่อินนับเป็ตัวอย่างที่ดีให้คนรุ่นหลังในหมู่บ้านหูลู่ เ้าอย่าได้สร้างปัญหา!”
เหล่าผู้าุโบริเวณนั้นล้วนแต่เห็นด้วย สองวันก่อนหลินฟู่อินมอบเงินเข้ามืออู๋ซื่อต่อหน้าต่อตา ยังทำให้แต่ละคนอิจฉาไม่หาย
ใครใช้ให้บ้านหลินมีลูกสาวที่ทั้งใจกว้างมีเหตุผล ร่ำรวยซ้ำยังกตัญญูเล่า?
สิ่งที่ชาวบ้านพูดทำให้จ้าวซื่อหน้าแดงก่ำตอนแรกที่นางพูดออกไปยังนับว่ามีเหตุผล แต่พอโดนหลินฟู่อินตอกกลับก็เรียกว่าไม่มีเหตุผลแล้ว
ตอนนี้ชาวบ้านพากันเข้าข้างหลินฟู่อินนางจะไม่โกรธได้อย่างไร?
เื่นี้เป็ความโง่งมส่วนตัวมีเพชรในมือกลับชื่นชมเครื่องกระเบื้อง เื่นี้เ้าทำตัวเองแล้วจะโทษใครได้?
หลินฟู่อินอยากให้บทเรียนจ้าวซื่ออีกสักบทดวงตานางทอประกายวาบ ทว่าใบหน้ากลับอ่อนโยน กล่าวเกลี้ยกล่อมจ้าวซื่อ “ท่านป้าใหญ่ตอนข้ายังเล็กท่านพ่อเคยบอกว่าสมัยท่านปู่ยังหนุ่มก็เป็คนมีความสามารถในเมื่อลุงใหญ่เป็ลูกชายคนโตกับท่านผู้เป็สะใภ้ใหญ่ พวกท่านย่อมต้องกตัญญู อุตสาหะและมีความสามารถ ขอเพียงเป็เช่นนี้พวกเรารุ่นหลานย่อมต้องทำตามทั้งพวกท่านยังได้รับความดีความชอบจากท่านปู่ด้วย ไม่ดีหรอกหรือเ้าคะ?”
ความหมายของหลินฟู่อินก็คือไม่ว่าพวกเ้าผู้าุโจะทำตัวดีเลวอย่างไร คนรุ่นลูกย่อมต้องดูเป็ตัวอย่างแล้วทำตามอยู่แล้ว หากภายหลังอยากให้คนมากตัญญูยามเ้าแก่ชราตอนนี้ก็ไปกตัญญูกับผู้าุโในบ้านให้ดีเสีย
คำพูดนี้ไม่ผิดแม้แต่น้อยทั้งยังพูดได้ตรงใจของชาวบ้านที่มุงดูอยู่เป็อย่างยิ่ง
ชายชราที่ถูกเรียกว่าลุงซุนมองจ้าวซื่อด้วยสีหน้าไม่ชอบใจ“ดู ดูเข้าสิ เ้าแก่กว่าหลายรอบแต่ยังไม่รู้ความเท่าเด็กคนหนึ่ง ข้าว่าเ้ารีบกลับไปหาเงินมาจ่ายค่าหมอค่ายาให้พ่อแม่สามีของเ้า ดีกว่ามาทำตัวน่าขายหน้าที่นี่จะดีกว่า”
คนอื่นๆ ต่างก็บอกว่าเห็นด้วยกับลุงซุน คนในบ้านป่วย จ้าวซื่อคนนี้เป็ลูกสะใภ้คนโตก็ควรไปคอยดูแลอยู่หน้าเตียง ทว่ายามนี้กลับมาหาหลินฟู่อินเพื่ออะไรกัน
หลินฟู่อินก็จ่ายค่าเลี้ยงดูให้ทุกเดือนอยู่แล้ว!
หลินฟู่อินรู้ว่าชาวบ้านพวกนี้ใส่ใจเื่ความกตัญญูยิ่งกว่าสิ่งใดรู้ว่าลุงใหญ่กับป้าสะใภ้ไม่มีอะไร นางจึงแสดงท่าทีออกมา “ในเมื่อท่านป้าใหญ่บอกว่าท่านปู่ท่านย่าป่วย เช่นนี้ข้าคงต้องไปบ้านคนขายเนื้อสกุลหวังในหมู่บ้านเพื่อซื้อกระดูกชิ้นโตไปเยี่ยมท่านปู่ท่านย่าคงไม่ได้กลับไปพร้อมท่านป้านะเ้าคะ”
เห็นหลินฟู่อินทำเช่นนี้แล้วชาวบ้านที่รวมตัวอยู่ก็ยิ่งมองนางในแง่ดี ถึงกับมีบางคนพูดจาประชดประชันจ้าวซื่อ “เมียต้าซาน ไม่ใช่เ้าบอกว่าฟู่อินบ้านเ้าเป็ดาวหายนะจนอยากเผานางให้ตายหรอกหรือ? ดูเอาเถอะ ตอนนี้เ้าก็ยังสบายดี ทั้งฟู่อินยังกตัญญูต่อปู่ย่ามากกว่าเ้าที่เป็ลูกสะใภ้เสียอีก!”
สีหน้าจ้าวซื่อประเดี๋ยวแดงประเดี๋ยวขาวซีดอยู่พักใหญ่ยังไม่ทันพูดอะไรหลินฟู่อินก็หมุนตัวเดินไปยังหมู่บ้านแล้ว หากนางยังรั้งอยู่ตรงนี้ ไม่รู้ว่าพวกสตรีปากยื่นปากยาวจะจิกกัดอะไรนางอีกจึงได้แต่หันหลังรีบเดินกลับบ้านเดิมสกุลหลินไป
ชาวบ้านเห็นนางเดินกระฟัดกระเฟียดจากไปก็ะเิหัวเราะออกมา
แน่นอนว่าเสียงเหล่านี้หลินฟู่อินได้ยินอยู่แล้วยังรู้ด้วยว่าสุนัขไม่อาจเปลี่ยนนิสัยชอบกินอาจม จ้าวซื่อก็เป็เช่นนั้น อีกไม่นานก็คงกลับมาทำตัวแย่ๆ ใส่คนอื่นอีกแต่ครั้งนี้นางทำให้จ้าวซื่อเสียหน้าสำเร็จ จึงทำให้อารมณ์ดีไม่น้อย
เมื่อมาถึงในหมู่บ้านหลินฟู่อินก็เห็นคนขายเนื้อสกุลหวังที่สวมเสื้อหนังสุนัขมันเงากำลังชั่งเนื้อให้ลูกค้าอยู่พอดี พออีกฝ่ายเห็นนางก็ถามด้วยรอยยิ้มว่า “วันนี้ฟู่อินมาซื้อเนื้อหรือ? ย่าหลี่พาน้องชายน้องสาวเ้าไปดื่มนมแล้วใช่หรือไม่?”
คนขายเนื้อถามเช่นนี้ เพราะปกติย่าหลี่จะตื่นแต่เช้ามาซื้อเนื้อหรือกระดูกชิ้นโตเพื่อไปบ้านของคนที่รับเป็แม่นมให้ทารกทั้งสอง
แม้หลินฟู่อินจะหาแม่นมให้เสี่ยวเป่าเสี่ยวเป้ยได้แล้วแต่ทั้งสองก็ยังต้องดื่มนมจากหลายๆ บ้านอยู่
ด้วยเหตุนี้เองหลินฟู่อินจึงรู้สึกซาบซึ้งต่อผู้ที่ยอมให้นมน้องๆ ทั้งสองโดยไม่รับค่าตอบแทนมาก
คนขายเนื้อหวังคิดว่าหลินฟู่อินมาซื้อเนื้อเพื่อตอบแทนคนเ่าั้ก็รู้สึกว่าเด็กสาวเป็คนดียิ่งนัก รู้จักการตอบแทนความดีด้วยความดี
แต่หลินฟู่อินกลับยิ้มแล้วส่ายหน้า“วันนี้เป็เพราะป้าใหญ่ของข้าบอกว่าท่านปู่ท่านย่าป่วย ข้าจึงมาซื้อกระดูกไปเคี่ยวน้ำแกงให้พวกท่านบำรุงร่างกายเ้าค่ะ”
“โอ ฟู่อินเป็เด็กดีจริงๆ… เอ๋?” คนสกุลหวังชะงักไป ตอนนี้ไม่มีลูกค้าคนอื่นแล้วนอกจากเด็กสาว เขาจึงหยุดมีดในมือ มองหน้านางแล้วกล่าว “ปู่ย่าเ้าก็สบายดีนี่เมื่อเช้ายังอารมณ์ดีมาซื้อเนื้อที่ร้านข้าอยู่เลย บอกว่าพี่ชายใหญ่คนนั้นของเ้าจะกลับมาพักหลายวันเลยต้องบำรุงให้มากหน่อย!”
หลินฟู่อินที่ฟังอยู่ก็ชะงักไป
ดูเหมือนผู้เฒ่าสกุลหลินทั้งสองจะเป็ห่วงเป็ใยหลานชายที่เป็ลมแดดไม่น้อย
แต่ในเมื่อนางมาถึงนี่แล้วกระดูกกับเนื้อก็ต้องซื้อเพื่อส่งไปอยู่ดี
เห็นหลินฟู่อินเงียบไปคนขายเนื้อก็เข้าใจทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น
ตัวเขาเองก็ไม่ชอบผู้หญิงแซ่จ้าวคนนั้นยิ่งนัก
แต่ด้วยความที่เป็คนค้าขายมาหลายปีเขาย่อมฝึกฝนความลื่นไหลในการเจรจาเอาไว้ไม่น้อย รอยยิ้มการค้าผุดขึ้นมาทันที “ฟู่อิน้ากระดูกเท่าไรดีล่ะ?”
เด็กสาวเงยหน้ามองโครงกระดูกมีกระดูกต้นขาสดๆ อยู่สองอัน เนื้อถูกเลาะออกไปแล้วเหลือติดไว้เพียงเล็กน้อย กระดูกส่วนนี้มีไขเยอะ เหมาะแก่การนำไปเคี่ยวน้ำแกงเป็พิเศษ “ท่านหวังเ้าคะ ข้าขอกระดูกขาสองชิ้นใหญ่นี่เ้าค่ะ”
“ได้เลย” พ่อค้าเนื้ออารมณ์ดีมากเมื่ออีกฝ่ายสั่งของที่เหลืออยู่จนหมด เขาหยิบเชือกฟางออกมามัดกระดูกจนเรียบร้อย ก่อนจะส่งให้หลินฟู่อิน
เมื่อเห็นสายตาของนางยังจดจ้องอยู่ที่ส่วนขาหลังบนเขียง คนขายเนื้อก็กลอกตาเล็กน้อย ก่อนจะยิ้ม “ฟู่อิน ข้าก็ไม่อยากพูดเช่นนี้หรอกนะ น้ำแกงกระดูกตุ๋นนี่ดีต่อผู้าุโแต่เ้าก็เห็น ขาหน้าส่วนที่เ้าซื้อไปมีเนื้อน้อยกว่า ถึงเ้าจะมอบทั้งสองขาให้ย่าเ้า นางก็คงบอกว่าไม่มีเนื้อ เหตุใดเ้าไม่ซื้อเนื้อติดไปมอบให้ด้วยเล่า?”
หลินฟู่อินคิดอยากทำแบบนั้นอยู่แล้วพอได้ยินคนขายเนื้อพูด นางก็พยักหน้าตามน้ำ “เ้าค่ะ เช่นนั้นข้าขอส่วนขาหลังที่มีเนื้อมีมันเยอะๆ มาสักสามจินนะเ้าคะ”
“ดีจริงๆ” คนขายเนื้อยิ้มจนตาปิด “ให้แบ่งเป็หนึ่งหรือสองส่วนดีเล่า?”
“แบ่งเป็สามส่วนเ้าค่ะ ส่วนแรกจินครึ่ง ส่วนที่สองหนึ่งจิน ส่วนที่สามครึ่งจิน ครึ่งจินนี้ข้าจะเก็บไว้ให้ท่านย่าหลี่ของข้าทำน้ำแกงลูกชิ้น” หลินฟู่อินรู้สึกว่าพ่อค้าเนื้อคนนี้มีไหวพริบไม่น้อย ส่วนที่ฉลาดแบบเงียบๆ นี้นางชอบมากทีเดียว
“บอกแล้วว่าฟู่อินเป็เด็กดีจริงๆ…” ทันใดนั้นคนขายเนื้อสกุลหวังก็ถอนหายใจก่อนจะถาม “แล้วอีกหนึ่งจินจะให้ใครหรือ?”
“ให้บ้านท่านลุงสองเ้าค่ะ” หลินฟู่อินยิ้มตอบ ไม่อยากจะพูดอะไรมากมายนัก “ท่านหวัง ทั้งหมดเท่าไรเ้าคะ?
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้