มู่ชิงอวิ้นกะพริบตาและมองไปทางฮวาเหยียน ดวงตาของนางที่เปล่งประกายนั้นแฝงไปด้วยความอ่อนแอบอบบาง อีกทั้งยังพาให้รู้สึกถึงบรรยากาศที่เรียบง่ายบริสุทธิ์
“เ้าไม่กลัวมันแล้วหรือ? ”
เมื่อเห็นท่าทางเช่นนี้ของนาง ฮวาเหยียนพลันหรี่ตาลง
“ยังกลัวอยู่เ้าค่ะ แต่อวิ้นเออร์เชื่อพี่หญิง”
น้ำเสียงของมู่ชิงอวิ้นเต็มไปด้วยความไว้วางใจ
คำพูดนี้ มีใครได้ยินแล้วไม่ซาบซึ้งใจบ้าง?
น่าเสียดายที่ฮวาเหยียนเริ่มสงสัยในตัวนาง ดังนั้นนางจึงรู้สึกว่านี่ปลอมเป็ที่สุด
“ช่างเถิด ในเมื่อเ้ากลัว ถ้าอย่างนั้นก็อย่าได้แตะต้องมันเลย เ้าเพิ่งจะเตะมันไป ข้าเกรงว่าเสี่ยวไป๋อาจจะไม่ยอมให้เ้าแตะมัน”
ฮวาเหยียนเปิดปากพูดอย่างเรียบเฉย
ราวกับว่าจะยืนยันคำพูดของฮวาเหยียน เสี่ยวไป๋หันกลับมาพร้อมกับยิงฟันแยกเขี้ยวใส่มู่ชิงอวิ้นด้วยท่าทางที่ดุร้าย
มู่ชิงอวิ้นยืนอยู่ที่เดิม ท่าทางกระอักกระอ่วนยิ่ง เมื่อเห็นเสี่ยวไป๋เป็เช่นนี้ ดวงตากะพริบปริบ ทำท่าราวกับว่ากำลังจะร้องไห้อีกครั้ง
ฮวาเหยียนไม่ได้ติดใจอะไรกับท่าทางเสียใจราวกับดอกสาลี่ต้องสายฝนของนาง ทว่าในยามนี้ในใจนางเริ่มสงสัยน้องหญิงผู้นี้มากขึ้น และยิ่งรู้สึกรังเกียจมากขึ้นด้วย ทว่าใบหน้าของนางกลับไม่แสดงสีหน้าอันใดออกมา เพียงแค่ฟังสิ่งที่มู่ชิงอวิ้นเอ่ยเท่านั้น “ใช่แล้ว ข้าได้ยินจากสาวรับใช้ว่าเช้านี้เ้ามาหาข้าถึงสามครั้งแล้ว เ้าหาข้ามีเื่อันใดหรือ? ”
เมื่อได้ยินคำถามของฮวาเหยียน สีหน้าของมู่ชิงอวิ้นพลันเปลี่ยนไปในทันที ความกังวลฉายชัดอยู่บนใบหน้าของนาง ก่อนจะรีบร้อนเอ่ยขึ้นมาว่า “พี่หญิง หากท่านไม่พูดข้าคงลืมไปแล้ว ข้าลืมไปว่าข้ามีเื่ด่วนจะแจ้งให้ท่านทราบเ้าค่ะ”
"มีเื่อะไรอย่างนั้นหรือ? "
ฮวาเหยียนเลิกคิ้วขึ้นถาม มือก็อุ้มเสี่ยวไป๋เอาไว้ในอ้อมแขน พลางลูบหัวมันไปมาบ้างบางครา
“พี่หญิง เื่การหวนคืนกลับมาของท่านถูกแพร่กระจายไปทั่วเมืองหลวงแล้วเ้าค่ะ…”
มู่ชิงอวิ้นเปิดปากพูดแต่ทว่าน้ำเสียงของนางไม่อาจปิดซ่อนความรีบร้อนของนางได้
ฮวาเหยียนสงบนิ่ง นางเลิกคิ้วขึ้น “ข่าวแพร่ไปแล้วก็ปล่อยไป ที่จริงแล้วเื่นี้ก็มิใช่ความลับเลยแม้แต่น้อย”
เมื่อได้ยินคำพูดของฮวาเหยียน มู่ชิงอวิ้นกระทืบเท้าอย่างร้อนรนในทันที “พี่หญิง แต่ท่านไม่รู้ว่าคนอื่นเขาจะแพร่กระจายเื่นี้ได้ไม่น่าฟังเพียงไร นี่มันเกินไปแล้วนะเ้าคะ”
นางเอ่ย น้ำเสียงเต็มไปด้วยความกังวล อีกทั้งยังไม่อาจปิดซ่อนความขุ่นเคืองต่อความไม่เป็ธรรมได้
“หืม? แล้วเขาเอาไปเล่ากันว่าอะไรเล่า?”
ฮวาเหยียนเลิกคิ้วขึ้น
ในฐานะบุตรสาวผู้สูงศักดิ์แห่งตระกูลมู่ที่ได้หายตัวไปถึงสี่ปีที่แล้วกลับและได้หวนคืนกลับมาอีกครั้ง ซ้ำยังเกิดเื่ราวมากมายขึ้นที่ประตูเมือง เพียงชั่วคืนเดียวข่าวที่นางอุ้มบุตรชายกลับมาด้วยคงแพร่กระจายไปทั่วแล้วอย่างแน่นอน สถานการณ์นี้เป็ดั่งที่นางคาดการณ์เอาไว้แล้ว แต่ดูจากท่าทีของมู่ชิงอวิ้น คิดว่าข่าวที่แพร่กระจายออกไปคงแย่มากจริงๆ ...
ทันใดนั้นมู่ชิงอวิ้นก็เปิดปากเอ่ยขึ้นว่า “พี่หญิง ข้า ข้าพูดไม่ได้เ้าค่ะ…”
ฮวาเหยียนเหยียดยิ้มเยาะเย้ยอยู่ในใจ
พูดไม่ได้ แล้วเหตุใดตอนเช้าเ้าถึงมาที่นี่ถึงสามครั้งเล่า?
ในตอนนั้นเอง ฮวาเหยียนยิ่งรู้สึกมั่นใจมากกว่าเดิมว่ามู่ชิงอวิ้นคนนี้ไม่ไร้เดียงสาและอ่อนแออย่างที่เห็นภายนอก
“มิเป็ไร เ้าพูดมาเถิด จะช้าหรือเร็วข้าก็ต้องรู้เื่นี้อยู่ดี...”
ฮวาเหยียนเปิดปาก แต่มู่ชิงอวิ้นดูเหมือนจะมีท่าทีลังเล ยากที่จะเอ่ย
"พูดเถิด..."
ฮวาเหยียนกระตุ้นนาง
จากนั้นนางก็ได้ยินมู่ชิงอวิ้นกล่าวว่า "พี่หญิง เมื่อเช้านี้สาวรับใช้ของข้าไปที่ถนนทางเหนือเพื่อซื้อเกี๊ยวให้ข้าและนางได้ยินคนข้างนอกวิจารณ์ตระกูลมู่ วิจารณ์ถึงท่าน พูดว่าท่าน..."
ฮวาเหยียนลืมตาขึ้น
“พี่หญิง คำหยาบถึงเพียงนั้น ข้าไม่อยากพูด กล่าวโดยสรุปก็คือคนเหล่าทำเกินไปแล้วจริงๆ เ้าค่ะ”
มู่ชิงอวิ้นกระทืบเท้า ดวงหน้านั้นเต็มไปด้วยความขุ่นเคืองต่อความไม่เป็ธรรม
แต่ดวงหน้าของฮวาเหยียนกลับเรียบเฉยไร้ลอยคลื่นใด เพียงแต่ดวงตาของนางล้ำลึกลง จากปฏิกิริยาของมู่ชิงอวิ้น ทำให้นางสามารถคาดเดาได้ว่าคนข้างนอกพูดถึงนางว่าอย่างไร ดังนั้นนางจึงลุกขึ้นรินชาให้ตนเอง ก่อนจะดื่มจนหมดแก้ว "ตกลงแล้วพวกเขาพูดเื่อันใดกัน?”
แววตาที่เยือกเย็นของนาง ตกไปบนดวงหน้าของมู่ชิงอวิ้น แฝงไปด้วยความเ็า
มู่ชิงอวิ้นถูกแววตานั้นจ้องมองก็พลันใ เนื้อตัวของนางสั่นเทิ้ม จากนั้นจึงเปิดปากกล่าวว่า“เช่นนั้นพี่หญิง หลังจากที่ท่านได้ฟัง ขอให้ท่านระงับโทสะด้วย”
"อืม"
ฮวาเหยียนพยักหน้าเบาๆ
ดังนั้นจึงได้ยินมู่ชิงอวิ้นจึงเปิดปากเอ่ยว่า “คนภายนอกพวกนั้นปากไม่มีหูรูด พวกเขาพูดกันว่าพี่หญิงเป็หญิงใจง่าย ไม่ปฏิบัติตัวเยี่ยงสตรีที่ดี...! ”
หลังจากที่มู่ชิงอวิ้นพูดจบ นางก็ลืมตาขึ้นเพื่อแอบมองฮวาเหยียน อยากที่จะเห็นปฏิกิริยาของนาง
แต่กลับเห็นเพียงแววตาที่นิ่งเฉย ท่าทางเฉื่อยชาปนเยาะเย้ยอยู่เล็กน้อย ไม่มีความโกรธบนใบหน้าแม้แต่นิดเดียว
“พี่หญิง ท่าน ท่านอย่าได้โกรธเลยเ้าค่ะ... คนพวกนั้น ล้วนพูดจาไร้สาระ”
นางกระซิบ
เมื่อคำพูดนั้นจบลงฮวาเหยียนพลันหัวเราะ “น้องหญิง เ้าคิดว่าข้าเหมือนคนที่โกรธตรงไหน? ในใต้หล้านี้คนปากต่ำช้า ทว่ากลับมีเสรีภาพในการพูด พวกเขาสามารถพูดอะไรก็ได้ที่พวกเขา้า ข้าไม่มีทางแลก่เวลาที่ล้ำค่าไปกับเื่พรรค์นี้หรอก"
ฮวาเหยียนพูดอย่างสงบ ท่าทีเฉยเมยไม่แยแส
คำพูดเหล่านี้ทำให้มู่ชิงอวิ้นไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไร ผ่านไปนานก็ยังไม่อาจต่อบทสนทนาได้
นางลืมตาขึ้น มองไปทางใบหน้าของฮวาเหยียนอย่างพินิจพิจารณา ก่อนจะเห็นว่าใบหน้านั้นดูสบายอารมณ์ ไร้ซึ่งความโกรธใดเลยจริงๆ
นางเม้มริมฝีปาก ในใจพูดไม่ออกว่ามันคือความรู้สึกเช่นไร เหตุใดนางจึงสงบได้ถึงเพียงนี้
“พี่หญิง ท่าน ท่านอย่าได้เก็บซ่อนไว้ในใจ อย่าได้เศร้าโศกเกินไปนัก...”
มู่ชิงอวิ้นกล่าวขึ้นมาอีกครั้ง
เมื่อได้ยินมู่ชิงอวิ้นพูดอีกครั้งทำให้ฮวาเหยียนอยากจะหัวเราะและนางก็เปล่งเสียงหัวเราะออกมาจริงๆ "ข้าไม่เสียใจ และไม่โกรธเคือง น้องรอง เ้าอย่าได้กังวลเกี่ยวกับข้ามากเกินไปนัก ข้าไม่ได้เปราะบางอย่างที่เ้าคิด ไม่ว่าคนข้างนอกจะพูดถึงข้าเช่นไร มันก็ไม่สามารถเปลี่ยนความจริงที่ว่าข้าเป็คุณหนูใหญ่แห่งตระกูลมู่ได้"
เมื่อคำพูดเหล่านี้จบไป มู่ชิงอวิ้นพลันสำลักอีกครั้ง นางอ้าปากพะงาบๆ ทว่าพูดไม่ออกแม้แต่คำเดียว
และฮวาเหยียนก็กล่าวต่อว่า "มีคำบางคำที่คนภายนอกสามารถพูดได้ตามที่พวกเขา้า ขอเพียงแค่คำเ่าั้ไม่เข้าหูข้า ไม่เช่นนั้น..."
ไม่เช่นนั้นอะไร ฮวาเหยียนไม่ได้เอ่ย ทว่าน้ำเสียงที่แฝงไว้ในคำพูดนั้นยากที่จะปิดบังความโเี้ไว้ ร่างทั้งร่างของมู่ชิงอวิ้นสั่นเทา
นางมักจะรู้สึกว่าคำพูดเหล่านี้ มีความหมายแฝงบางอย่าง
“พี่หญิง ท่าน ท่านเปลี่ยนไปมากจริงๆ เ้าค่ะ”
หลังจากนั้นไม่นาน มู่ชิงอวิ้นก็เปิดปากกล่าวด้วยแววตาที่สับสน
ฮวาเหยียนเลิกคิ้วขึ้นอย่างไร้ร่องรอย นางเอ่ยปากเอ่ยต่อ "อืม ที่จริงแล้วข้าไปเที่ยวทั้งนรกและ์มา”
ทันทีที่สิ้นเสียง สายตาของฮวาเหยียนพลันตกลงที่ดวงหน้าของมู่ชิงอวิ้น การแสดงออกของนางเยือกเย็นไม่สะทกสะท้าน เพียงแค่ยามที่ฮวาเหยียนจ้องมองมา แววตานั้นกลับแฝงไปด้วยความสงสารอยู่ส่วนหนึ่ง “พี่หญิง ลำบากท่านแล้วเ้าค่ะ”
ช่างเป็ลูกพี่ลูกน้องที่ดีเหลือเกิน
“มีอะไรอีกหรือไม่? ข้าจะไปหาหยวนเป่าแล้ว…”
ฮวาเหยียนยิ้ม เปิดปากเอ่ย
มู่ชิงอวิ้นส่ายหัวโดยไม่ทันรู้ตัว “ไม่เ้าค่ะ ไม่มีเื่อะไรแล้ว”
“เสี่ยวหง เสี่ยวลวี่ ส่งคุณหนูรองกลับจวน”
ฮวาเหยียนะโไปทางประตู
สาวใช้ทั้งสองกำลังรออยู่นอกประตู เมื่อพวกเขาได้ยินเสียงะโของฮวาเหยียนจึงรีบเดินเข้ามา
“คุณหนูรอง พวกข้าจะไปส่งท่านเ้าค่ะ”
มู่ชิงอวิ้นเดินตามสาวใช้ทั้งสองออกจากเรือนชิงเฟิง สตินางล่องลอยไม่กลับมาอยู่พักใหญ่ มู่อันเหยียนสั่งสาวใช้ให้ไล่นางออกไปด้วยคำเพียงไม่กี่คำหรือ?
“ส่งแค่ตรงนี้ พวกเ้ากลับไปเถิด”
มู่ชิงอวิ้นหันไปพูดกับเสี่ยวหงและเสี่ยวลวี่ เสียงของนางอ่อนโยนและท่าทางของนางก็ดูอบอุ่นยิ่งนัก
“เ้าค่ะ ขอบคุณคุณหนูรอง พวกข้าขอตัวลา”
สาวใช้ทั้งสองกล่าวขอบคุณ ก่อนจะหันหลังเดินกลับ
“พี่เสี่ยวหง คุณหนูรองอ่อนโยนยิ่งนัก”
อีกด้านหนึ่ง ทันทีที่เสี่ยวลวี่หันกลับมา ดวงตาพลันเปล่งประกาย นางถอนหายใจใส่เสี่ยวหงด้วยเสียงเบา
เสี่ยวหงพยักหน้า "ใช่แล้ว คุณหนูรองเป็คุณหนูที่คนในจวนบอกว่าอ่อนโยนใจดีและมีอัธยาศัยดียิ่งนัก"
มู่ชิงอวิ้นไม่ได้เดินไปไหนไกล นางยืนอยู่ที่เดิมที่นางสามารถได้ยินบทสนทนาระหว่างสาวใช้สองคนได้ ดวงตาของนางเป็ประกาย จากนั้นนางก็ก้าวเดินออกไป มือที่แกว่งอยู่ข้างลำตัวกำแน่นเล็กน้อย ใช่แล้ว นางคือมู่ชิงอวิ้น คุณหนูรองแห่งจวนอ๋องแห่งนี้ บอบบางอุปนิสัยดีและอ่อนโยน...
***
ในปัจจุบัน วรยุทธ์ของฮวาเหยียนอยู่ในระดับปรมาจารย์ขั้นที่หนึ่ง ความสามารถในการได้ยินของนางแตกต่างจากคนทั่วไป นางสามารถได้ยินในระยะที่ไกลมาก หญิงสาวจึงได้ยินสองสาวใช้ของนางยกย่องชื่นชมมู่ชิงอวิ้นจนเกินเหตุ
นางหรี่สายตาลง ทุกคนในตระกูลมู่ รวมถึงพี่ชายของนางต่างก็ยกย่องน้องรอง
มีเพียงนางเท่านั้น ที่รู้สึกสงสัยในตัวมู่ชิงอวิ้น
และนางเชื่อในความรู้สึกของตัวเองมาโดยตลอด
ดังนั้นไม่ว่ามู่ชิงอวิ้นจะสวมหน้ากากหรือไม่ นางต้องค้นหาให้ได้ ต้องรู้ให้แน่ชัดว่าน้องหญิงคนนี้เป็คนเช่นไร ในใจของนางมีความคิดหรือแผนการอันใดหรือไม่
ถึงแม้ว่านางจะไม่พบอะไรเลยก็ไม่เป็ไร แต่หากนางรู้ว่าน้องหญิงซ่อนแผนการอันใดไว้ในใจ นางย่อมไม่อาจมองข้ามไปได้
...
เสี่ยวหงและเสี่ยวลวี่เดินกลับมาด้วยกัน เมื่อเห็นคุณหนูใหญ่ที่พวกนางรับใช้ยืนอยู่ในสนามพร้อมกับสัตว์เลี้ยงตัวนุ่มในอ้อมแขน ทั่วร่างของนางแฝงไปด้วยความเ็าจนทำให้ผู้คนตื่นตระหนกใ
สาวใช้ทั้งสองใจึงรีบร้อนก้าวเข้าไปข้างหน้า เอ่ยว่า “คุณหนูใหญ่ พวกข้าส่งคุณหนูรองเรียบร้อยแล้วเ้าค่ะ”
ฮวาเหยียนลืมตาขึ้น ดวงตาของนางมองผ่านใบหน้าของสาวใช้ทั้งสองไป นางส่งเสียงรับอย่างเรียบเฉย
"ท่านพ่อและพี่ใหญ่ของข้าเล่า อีกทั้งบุตรชายของข้า? ตอนนี้พวกเขาอยู่ที่ไหนใด? "
ฮวาเหยียนถาม
นางนอนเกินเวลา หลังจากที่นางตื่นขึ้น คนทั้งสามที่นางรักมากที่สุดกลับไม่ปรากฏตัว กลับกันแล้วนางต้องอยู่กับมู่ชิงอวิ้นเป็เวลานานแทน
เมื่อได้ยินคำถามของฮวาเหยียน เสี่ยวลวี่มีใบหน้าเหม่อลอย ส่วนเสี่ยวหงรีบตอบกลับพลางก้าวไปข้างหน้าทันที "คุณหนูใหญ่เมื่อเช้าพ่อบ้านหวังมาเพื่อส่งข่าวว่าท่านอ๋องจะพาคุณหนูหยวนเป่าไปสะสางบัญชี ส่วนคุณชายใหญ่เข้าวังไปแล้วเ้าค่ะ”
ฮวาเหยียนพยักหน้า
สะสางบัญชี? เมื่อนึกถึงสิ่งที่ท่านพ่อเอ่ยราตรีวาน นางพลันกลอกตา รู้ทันทีว่าสองตาหลานทั้งสองคนนั่นจะไปที่จวนตระกูลเจียง
นางเงยหน้าขึ้น มองขึ้นไปบนท้องฟ้า อ่า... ใช่แล้ว... ตัวของนางยังมีหนี้อยู่สามล้านตำลึง
อยู่ดีๆ นางก็อารมณ์ไม่ดี ข้าวก็ไม่มีอารมณ์จะกินแล้ว รู้สึกอิ่มไปเสียอย่างนั้น!
ฮวาเหยียนยกเท้าขึ้นและก้าวเดินออกไปข้างนอกทันที
"คุณหนูใหญ่ ห้องอาหารอยู่ทางด้านนั้นเ้าค่ะ...! "
เมื่อเห็นว่าฮวาเหยียนกำลังจะเดินไปทางอื่น เสี่ยวหงก็ะโอย่างรีบร้อน
“ไม่กินแล้ว ข้าจะออกไปข้างนอก”
ฮวาเหยียนกล่าว
นางอุ้มเสี่ยวไป๋เดินออกจากสนามไปด้านนอก แต่เดินไปเพียงไม่กี่ก้าวก็ดูเหมือนจะนึกอะไรบางอย่างออก ทันใดนั้นก็หันไปมองทางเสี่ยวหงและเสี่ยวลวี่พร้อมกับพูดขึ้นมาว่า “ต่อไปนี้เ้าสองคนเลิกเรียกแทนตัวเองว่าเสี่ยวหงกับเสี่ยวลวี่ได้แล้ว นามนี้มันธรรมดาเกินไป เ้าทั้งสองคนเปลี่ยนชื่อเป็ฮวาหงกับหลิวลวี่แทนจะค่อนข้างมีความงดงามด้านกวีมากกว่า”
หลังจากที่พูดจบนางก็เดินออกจากสนามไปทันที
เหลือเพียงสองสาวเสี่ยวหงและเสี่ยวลวี่ที่มองหน้ากันและกันด้วยความใ ใช้เวลานานกว่าจะได้สติกลับมา จากนั้นก็ร้อนรนคุกเข่าขอบคุณในความเมตตาที่คุณหนูช่วยตั้งชื่อให้พวกนาง
ฮวาหง หลิวลวี่...
ช่างมีรสนิยมและความงดงามทางด้านกวีจริงๆ
ทั้งสองซาบซึ้งจนน้ำตาไหล
...
ฮวาเหยียนกำลังอุ้มเสี่ยวไป๋อยู่ เดิมทีวางแผนจะตามหาพ่อบ้านหวัง แต่ใครจะรู้ว่าหลังจากเดินหาอยู่นานกลับหาไม่พบ หลังจากที่ถามกับคนอื่นถึงรู้ว่าเขากำลังยุ่งอยู่กับการขายที่ในชนบท
ฮวาเหยียน "...! "
มันเป็ความผิดของนางทั้งหมด
ไม่ได้การแล้ว นางต้องรีบไปเก็บรวบรวมเงินสามล้านตำลึง มิเช่นนั้นแล้วท่านพ่อคงจะเอาทรัพย์สมบัติของตระกูลมู่ที่สะสมมาสามชั่วอายุคนไปขายจนหมดเกลี้ยงเป็แน่
ใช่แล้ว
เมื่อคืนท่านพ่อพูดถึงสถานที่ที่เรียกว่าหออู๋ิใช่หรือไม่?
เมื่อคิดถึงตรงนี้ ฮวาเหยียนก็ไม่ได้เรียกคนเลี้ยงม้าในจวน นางเพียงแค่อุ้มเสี่ยวไป๋ไว้ในอ้อมแขนแล้วเดินออกจากจวนไปคนเดียว
ฮวาเหยียนรู้สึกว่าขาสองข้างหนักเหลือเกิน ทุกย่างก้าวดูเหมือนจะหนักเป็พันกงจิน คิดเพียงว่าตัวเองกำลังจะนำสมบัติล้ำค่าที่ปิดผนึกเก็บไว้หลายปีไปจำนำ ใจก็จะเหมือนมีเืไหลไม่หยุด ระหว่างทางนางก็ซักถามผู้คนและสาปแช่งตี้หลิงหานไปด้วย จนในที่สุด สิบนาทีก่อนเที่ยงนางก็ยืนอยู่ที่หน้าประตูหออู๋ิจนได้...
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้