“เ้าเด็กคนนี้ เหตุใดถึงมาที่นี่?”
ั้แ่เฉิงชิงเชิญดวงิญญากลับบ้านเกิด นี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่ประตูหน้าบ้านรองคลาคล่ำไปด้วยผู้คนขนาดนี้ ถึงแม้ฮูหยินผู้เฒ่าจูจะเกลียดชังเฉิงชิงจนเข็ดฟัน แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าฝูงชนก็ยังคงต้องปฏิบัติต่ออีกฝ่ายอย่างอ่อนโยนมีเมตตา
เห็นฮูหยินผู้เฒ่าจูแสร้งโง่ เฉิงชิงจึงรีบกล่าวเหตุผลของตนเองอย่างชัดเจน
“ข้าไม่เชื่อว่าญาติผู้พี่จะสามารถกล่าวเื่เช่นนั้นได้ ทั้งหมดจะต้องเป็ความเข้าใจผิด เพียงแต่เื่นี้ทำให้ท่านแม่หลั่งน้ำตาอยู่ภายในบ้านทุกวัน เฉิงชิงจึงทำได้เพียงนำสิ่งของที่ท่านอาสามและท่านย่ามอบให้ส่งคืนอย่างครบถ้วน”
เฉิงชิงชี้ไปยังกล่องเงินบนพื้นด้วยความเขินอาย “เงินสองร้อยตำลึงเงินที่ท่านอาสามมอบให้ถูกใช้จ่ายไปบ้างแล้ว ส่วนที่ขาดไปข้าได้รีบนำเหรียญทองแดงบางส่วนมาเสริมแทน เชิญท่านย่านำคนมาตรวจสอบจำนวนเงินทั้งหมดได้”
เหอะ! ถ้าอยากจะคืนเงินจริง ก็แค่เอาเงินมาส่งคืนที่บ้านรองอย่างเงียบเชียบก็พอแล้ว
จงใจเลือกตอนกลางวันแสกๆ อีกทั้งใช้เหรียญทองแดงแทนเงินส่วนที่ใช้ไปแล้ว เหรียญทองแดงมีค่าน้อยแต่มีขนาดใหญ่ ถือกล่องเหรียญทองแดงเดินไปมาทั่วเมืองย่อมดึงดูดสายตาเป็อย่างมาก เฉิงชิงกลัวผู้คนที่รู้เื่นี้จะน้อยเกินไป กลัวชื่อเสียงของบ้านรองจะยังเน่าเหม็นไม่พอสินะ
ฮูหยินผู้เฒ่าจูมองเฉิงชิงอย่างสงบ แววตาของเด็กเบื้องหน้าไม่มีทีท่าจะหลบหลีกแม้แต่น้อย
ในยามนี้ ฮูหยินผู้เฒ่าจูมั่นใจแล้วว่า เฉิงชิงก็คือเฉิงจือหย่วนอีกคนหนึ่ง… เฉิงชิงกลับมาอำเภอหนานอี๋ก็เพื่อทำให้นางไม่สบายใจ ้าหาเื่นาง ้าเป็ปฏิปักษ์กับนาง!
สิ่งที่แตกต่างกับเฉิงจือหย่วนนั่นก็คือเฉิงชิงเหลี่ยมจัดกว่า
สองย่าหลานยืนจ้องกันอย่างไม่มีใครยอมใคร ขุนนางผู้เฒ่าเหอจึงนำกลุ่มเพื่อนบ้าน ‘กระซิบต่อกัน’ จงใจให้เสียงดังพอให้คนของบ้านรองได้ยิน
“ก็รับไว้เถอะ ครอบครัวแม่ม่ายบุตรกำพร้าแบบนี้จะไปก่อกวนอะไรพวกเ้าได้ ก็เห็นว่าหลบหลีกพวกเ้าแล้ว!”
“ไหนเลยจะรู้ว่ารับเงินในวันนั้นแล้วจะถูกเยาะเย้ยถากถาง!”
“ก็แค่เงินสองร้อยตำลึงเงินก็ถึงกับมาขับไล่ อีกทั้งยังเหยียบเท้าจน… เฮ้อ จิตใจผู้คนตกต่ำ ศีลธรรมนับวันก็ยิ่งเสื่อมถอยลงทุกวัน”
ใบหน้าของเฉิงชิงแดงก่ำ “ท่านย่า ยังคงขอเชิญรับเงินจำนวนนี้กลับไป ข้าตัดสินใจจะไม่รับความช่วยเหลือด้านเงินทองจากบ้านเดิมแล้ว หากในอนาคตมีความสามารถแล้วก็จะเคารพและกตัญญูต่อท่านอย่างดี!”
นางไม่รอให้ฮูหยินผู้เฒ่าตอบกลับ วางกล่องและถาดไว้ที่เดิม หันกายเดินจากไปทันที
ในสายตาของพวกเศรษฐีเฒ่าเหอ แผ่นหลังของเฉิงชิงเหยียดตรง ฝีเท้ามั่นคงไร้ความสับสน อีกทั้งยังมีความดื้อดึงอย่างเด็กหนุ่ม
เศรษฐีเฒ่าเหอไม่ใช่คนโง่ แต่เขากลับอ่านความคิดของเฉิงชิงไม่ออกเลยสักนิด
แต่เขาก็ถามใจตนเองดูแล้ว หากตนเองสลับไปอยู่ในจุดที่เด็กหนุ่มยืนอยู่ แม้แต่แผนการสักนิดก็ไม่มี คงจะถูกคนรังแกจนตายเป็แน่
เด็กหนุ่มอายุสิบสามปี นอกจากจะใช้เสียงวิพากษ์วิจารณ์ของผู้คนปกป้องตนเองและคนในครอบครัว ก็ไม่มีที่พึ่งอื่นแล้ว!
แท้ที่จริงแล้วจุดนี้คือความฉลาดของเฉิงชิง
นาง้าให้ผู้คนส่วนใหญ่มองเห็นการกระทำของนาง ให้ผู้คนส่วนน้อยมองเห็นความฉลาดของนาง และยิ่งให้คนจำนวนน้อยนิดมองเห็นแผนการล้ำลึกและเล่ห์เหลี่ยมอันแพรวพราวของนาง
นางไม่ได้ชิงลงมือกับบ้านรอง นางเพียงประสบกับการถูกปฏิบัติอย่างไม่เป็ธรรมจึงตอบโต้ คำพูดเช่นนี้ เกรงว่าเมื่อความแตกแล้วคนจำนวนน้อยนิดที่นางให้เห็นถึงแผนการล้ำลึกและเล่ห์เหลี่ยมแพรวพราวก็คงไม่อาจเกลียดนางได้ลง
เศรษฐีเฒ่าเหอถอนสายตากลับมา แล้วะโเสียงดัง
“รีบนำเงินเข้าไปเถิด แยกบ้านกันตั้งสิบกว่าปีแล้ว เดิมก็ควรจะต่างคนต่างอยู่ ไม่เห็นต้องมาแสดงละครหลั่งน้ำตา… อะไรคือสิ่งที่เรียกว่าความรักความเมตตา นั่นก็คือการเหลือทางรอดไว้ให้แม่ม่ายบุตรกำพร้าไว้สักหน่อย อย่าได้บีบคั้นพวกเขาจนตายก็คือการสร้างบุญกุศล!”
แม้สายตาของฮูหยินผู้เฒ่าจูจะเหี้ยมเกรียม แต่เศรษฐีเฒ่าเหอก็ไม่ได้เกรงกลัวนาง
‘เศรษฐี’ ไม่ใช่คำเรียกขานธรรมดา แต่ต้องเป็ผู้ที่มีทั้งเงินและอำนาจจึงจะถูกเรียกว่าเศรษฐี ถ้าไม่มีทั้งเงินและอำนาจนั่นเรียกว่าตาแก่! เศรษฐีเฒ่าเหอสามารถเป็เพื่อนบ้านกับบ้านรองได้ก็เพราะมีพื้นเพที่ไม่ธรรมดา เขาโจมตีฮูหยินผู้เฒ่าจูไปรอบหนึ่งแล้วก็สะบัดชายเสื้อเดินจากไป
ใบหน้าของฮูหยินผู้เฒ่าจูดำทะมึน
“ไม่รู้ว่าข่าวลือไร้มูลดุจคมมีดพันเล่มนี้เริ่มจากที่ใดกัน ทำให้ทั้งเกอเอ๋อร์[1]และพวกเราเป็ที่จงเกลียดจงชัง ช่างเถิด ข้าจะนำเงินพวกนี้กลับไป ไม่ให้ชิงเกอเอ๋อร์ลำบากใจ กาลเวลาพิสูจน์ใจคน ช้าเร็วอย่างไรเขาก็ย่อมต้องรู้ว่าพวกเราต่างก็เป็คนตระกูล ‘เฉิง’ ด้วยกันทั้งนั้น แล้วบ้านรองจะไม่สนใจพวกเขาได้อย่างไร?
“ท่านย่า…”
ใบหน้าของเฉิงกุยเต็มไปด้วยความอับอาย
เมื่อครู่นี้เฉิงชิงไม่เปิดโอกาสให้เขาได้พูดเลยสักนิด!
เป็เขาเองที่ทำเื่ไม่รอบคอบพอ ทำให้บ้านรองต้องเสียหน้า
ฮูหยินผู้เฒ่าจูตบบ่าของเขา “ถึงแม้เ้าจะไม่ใช่ผู้ที่บังคับม้า ทำให้ป้าสะใภ้ใหญ่เ้าได้รับความหวาดกลัว แต่เ้าก็คือคนรุ่นหลัง ควรจะชิงยอมรับความผิดของตนเองก่อน หากป้าสะใภ้ใหญ่ของเ้าไม่ยอมยกโทษให้เ้า ข้าเองก็จะถือว่าไม่มีหลานชายเช่นเ้า!”
เฉิงกุยพยักหน้ารับคำ
เฉิงชิงเล่นละครได้ แล้วเขาจะเล่นบ้างไม่ได้หรือไร?
ภายในใจเฉิงกุยเต็มไปด้วยความไม่ยินยอมต่อความอยุติธรรมนี้ แต่เขากลับทำได้เพียงเชื่อฟังฮูหยินผู้เฒ่าจู
นี่ถือเป็การฝึกฝนการข่มอารมณ์ของตัวเขาเอง อีกทั้งยังเป็หนทางในการนำชื่อเสียงของเขากลับคืนมา
เขาสามารถเดินไปที่ตรอกหยางหลิ่วทุกวันเพื่อคารวะนางหลิ่วในตอนเช้า[2]ให้คนทั้งอำเภอหนานอี๋ดู!
เื่ที่เฉิงชิงไปบ้านรองเพื่อคืนเงินนั้นกลายเป็หัวข้อพูดคุยทั่วทั้งอำเภอหนานอี๋
ถ้าหากยุคสมัยนี้มีเครือข่ายสังคมออนไลน์ หลังจากเฉิงชิงกลับมายังหนานอี๋แล้ว เพียงไม่กี่วันก็คงจะขึ้นเป็หัวข้อร้อนแรงที่ถูกค้นหาอันดับหนึ่งเป็แน่ ทั้งๆ ที่นางยังไม่ได้สอบเข้า ‘สถานศึกษาหนานอี๋’ เลย แต่กลับเป็ที่รู้จักภายในอำเภออยู่บ้าง ภายในระยะเวลาอันสั้นก็เป็ที่รู้จักพอๆ กับเหล่าผู้ที่ศึกษาในสถานศึกษาแล้ว
ชื่อเสียงนี้ ถ้าเกี่ยวกับความสามารถก็ดีสิ
เื่ที่นางไปคืนเงินลอยถึงหูของนายท่านห้าเฉิง นายท่านห้าปฏิเสธที่จะออกความเห็น เพียงแค่กล่าวกับนางหลี่ผู้เป็ภรรยาเป็การส่วนตัว
“ไม่รู้จือหย่วนเลี้ยงลูกชายคนนี้อย่างไรถึงได้ฉลาดนัก ดูไม่เหมือนเด็กน้อยอายุสิบสามปีเลยแม้แต่น้อย”
เฉิงจือหย่วนในปีนั้นก็มีพร์ด้านการเล่าเรียน แต่กลับไม่มีแผนการเล่ห์เหลี่ยมเฉกเช่นเฉิงชิง… หากเฉิงจือหย่วนมีเล่ห์เหลี่ยมอย่างเฉิงชิง คนที่ถูกบีบออกไปจากหนานอี๋ในปีนั้นย่อมต้องเป็นางจูมารดาเลี้ยงแน่นอน!
นางหลี่ถอนหายใจ “พี่สะใภ้รองไม่ใช่คนที่ใจคอกว้างขวางอะไร เฉิงชิงทำให้ชื่อเสียงของเฉิงกุยได้รับความเสื่อมเสียก็เหมือนไปแตะเกล็ดย้อน[3]ของพี่สะใภ้รอง ข้าว่าพี่สะใภ้รองจะต้องสร้างความลำบากให้เด็กคนนั้นเป็แน่”
ทั้งยังเป็เด็กน้อยที่น่าสงสารคนหนึ่ง
เื่บังคับม้าขู่ขวัญคนคือเื่จริง ถูกคนชี้หน้าด่าว่ามารีดไถถึงที่ก็ไม่ใช่เื่ลวงอีก
ถึงแม้จะไม่ได้ออกมาจากปากของเฉิงกุยเอง แต่เป็สหายร่วมเรียนของเฉิงกุยจะต่างกับการที่เฉิงกุยลงมือเองตรงไหนกัน?
อาการาเ็ที่ข้อเท้าของนางหลิ่วไม่เบาเลย หลังจากได้ฟังข่าวลือนางหลี่ก็ไปเยี่ยมถึงที่ ยืนยันได้ว่าอาการาเ็ของนางหลิ่วเป็ของจริง เื่ที่เฉิงชิงตีกลองป่าวประกาศคืนเงินบ้านรองนี้ ที่จริงแล้วบ้านห้าก็เห็นด้วยอยู่เงียบๆ
เฉิงชิงนำเงินของบ้านรองไปคืน นางหลิ่วก็คิดจะสงเคราะห์เงินช่วยเหลือแม่ม่ายบุตรกำพร้ากลุ่มนี้อีก แต่ครั้งนี้ไม่ว่าจะเอ่ยอย่างไร เฉิงชิงก็ยืนกรานไม่รับท่าเดียว
‘ไปรีดไถ’ สามคำนี้ ดูเหมือนจะทิ่มแทงศักดิ์ศรีของเด็กหนุ่มมากทีเดียว เมื่อมองจากมุมนี้ เฉิงชิงก็ยิ่งเหมือนกับเฉิงจือหย่วน
นายท่านห้าไม่ได้กังวลเฉกเช่นภรรยา
“ไม่ว่าจะมดที่เข็นไม่ขึ้น หรือเป็ัที่ข่มไม่อยู่ ถ้าแม้แต่สอบเข้าสถานศึกษาก็ยังทำไม่ได้ ก็เป็เพียงคนไร้ความสามารถคนหนึ่งเท่านั้น”
หากไม่มีโอกาสรับราชการ เฉิงชิงก็จะมีเพียงวันคืนอันขมขื่นจากการถูกบ้านรองกลั่นแกล้งรังแกรออยู่ เขาอยากจะเห็นเหมือนกันว่าสุดท้ายแล้วเฉิงชิงจะมีคุณสมบัติเป็บัณฑิตหรือไม่
บ้านห้าไม่มีปฏิกิริยาตอบโต้ เฉิงชิงทำให้บ้านรองเสียเปรียบอีกครั้ง พอนายน้อยอวี๋ผู้เป็สหายสนิทของเฉิงกุยได้ยินเื่นี้ก็รู้สึกแปลกใจเป็อย่างมาก
“เฉิงกุย ญาติผู้น้องของเ้าบุกมาถึงที่คนเดียว พวกเ้าทั้งบ้านทำอะไรเขาไม่ได้เลยหรือ?”
เขาแค่วางแผนเอาคืนไปครั้งเดียว เฉิงชิงกลับลงมือให้กลายเป็เื่ใหญ่ได้ขนาดนี้ ความสนใจของนายน้อยอวี๋ที่มีต่อเฉิงชิงยิ่งเพิ่มมากขึ้น
เฉิงชิงไม่เพียงแค่ตบหน้าบ้านรอง แต่ยังท้าทายเขาด้วย!
ทำไมหรือ รู้สึกไม่ได้รับความเป็ธรรม? มันไม่ใช่เป็เื่ปกติหรอกหรือ ที่คนไร้ที่พึ่งพิงจะได้รับความไม่เป็ธรรมนิดๆ หน่อยๆ
นายน้อยอวี๋ถูฝ่ามือ กระตือรือร้นคิดอยากทดสอบเฉิงชิงอีกสักครั้ง
[1] เกอเอ๋อร์ คือคำเรียกบุตรหลานเพศชายภายในตระกูลขุนนางหรือตระกูลร่ำรวยในสมัยก่อน
[2] การคารวะยามเช้า คือธรรมเนียมของจีนโบราณที่บุตรหลานจะต้องไปคารวะทักทายผู้าุโในครอบครัวทุกเช้า
[3] แตะเกล็ดย้อน หมายถึงทำในสิ่งที่ทำให้คนผู้นั้นโกรธจัด
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้