นายท่านห้าเฉิงเรียกข้ารับใช้สองคนให้นั่งเรือไปยังสถานศึกษาด้วยกัน ให้พวกนางหลิ่วรอฟังข่าวอยู่ที่บ้านห้า
บุตรสาวคนโต้าที่จะไปกับนายท่านห้าเฉิงด้วย จึงทำใจกล้าเอ่ยขอร้องไป ทว่าก็ถูกนายท่านห้าเฉิงเพิกเฉย
นางหลี่ยิ้มพลางเอ่ยเรียกบุตรสาวคนโต
“เ้าเป็พี่สาวที่ดี มีใจเป็ห่วงน้องชาย แต่เ้าไม่จำเป็ต้องไปที่สถานศึกษา ที่แห่งนั้นคือสถานที่สำหรับศึกษา มีคำกล่าวของอริยบุคคลว่า พวกเราสตรีไปแล้วไม่เหมาะสม”
บุตรสาวคนโตเขินอายจนใบหน้าขึ้นสี
คุณหนูในห้องหอยึดถือหลักความบริสุทธิ์และความเงียบสงบเป็ความงาม ไม่เหมาะสมอย่างยิ่งที่จะแสดงตัวต่อหน้าธารกำนัล
แต่ว่าหากนางไม่ไปยังสถานศึกษา ไม่รู้ความเคลื่อนไหวของเฉิงชิง นางก็ไม่อาจวางใจได้
การเดินทางทางน้ำนั้นรวดเร็วนัก คนที่นายท่านห้าเฉิงพามาถึงสถานศึกษาอย่างรวดเร็ว ก่อนหน้าที่จะขึ้นเขา นายท่านห้าเฉิงก็ได้ทิ้งข้ารับใช้คนหนึ่งไว้ที่ตีนเขา
“เ้าไปสอบถามมา ข้า้ารู้เื่ที่เกิดขึ้นที่หน้าประตูทางเข้าสถานศึกษาทั้งหมด”
ถึงแม้เฉิงชิงจะอายุเพียงสิบสามปี แต่หลังจากกลับมายังอำเภอหนานอี๋ก็ทำเื่ทุกอย่างอย่างมีกฎเกณฑ์ เื่ทุจริตในระหว่างการสอบเข้าศึกษาที่สถานศึกษานั้น นายท่านห้าเฉิงไม่เชื่ออย่างเด็ดขาด
เื่นี้เกี่ยวกับศีลธรรม และยิ่งเกี่ยวกับมันสมอง เขาคิดว่าเฉิงชิงไม่ได้โง่ขนาดนั้น
ถึงแม้คนหนุ่มจะมีจิตใจที่อยากจะเอาชนะ แต่หากเฉิงชิงใจร้อนอยากจะพิสูจน์ตนเองต่อคนในตระกูลว่า ตนคือต้นกล้าบัณฑิตจริงๆ ้าจะสอบเข้าสถานศึกษาครั้งเดียวผ่านจนถึงขนาดใช้ทางลัดก็เป็ไปไม่ได้อยู่ดี ข้อเท็จจริงของเื่ราวจะเป็เช่นไร นายท่านห้าเฉิงไม่อาจฟังความข้างเดียวได้
เฉิงชิงถูกจับขังอยู่ที่สถานศึกษาจริงๆ
ยามผู้อื่นส่งกระดาษคำตอบ ก้อนกระดาษก็ได้ร่วงหล่นลงมายังโต๊ะของนาง อาจารย์ผู้คุมสอบที่งีบหลับอยู่ก็พลันลืมตาขึ้นในชั่วพริบตา… ปฏิกิริยาแรกของเฉิงชิงคือ ตนเองถูกผู้อื่นจงใจใส่ร้าย นางไม่รู้ว่าผู้ที่โยนกระดาษมาคือใคร และไม่แน่ใจว่าอาจารย์ผู้คุมสอบถูกซื้อตัวไปหรือไม่ เฉิงชิงจึงเลือกที่จะรีบลุกขึ้นมาทันที แจ้งเสียงดังว่ามีผู้ทุจริต!
อาจารย์ผู้คุมสอบเดินมาหยิบก้อนกระดาษขึ้นมา บนนั้นเขียนคำตอบของคำถามข้อสุดท้ายเอาไว้ แล้วจึงมองไปยังกระดาษข้อสอบของเฉิงชิงอีกที คำถามข้อสุดท้ายยังคงว่างเปล่า
อาจารย์ผู้คุมสอบมั่นใจว่ามีผู้ทุจริต ตัดสินใจะโหยุดการสอบในทันที
ผลสอบของคนอื่นในการสอบครั้งนี้ก็ถือเป็โมฆะทั้งหมดทันที
เหล่าผู้เข้าสอบต่างหันไปจ้องเฉิงชิงตาเขม็ง อีกเดี๋ยวก็จะหมดหนึ่งก้านธูปอยู่แล้ว กระดาษข้อสอบของพวกเขาต่างเต็มไปด้วยคำตอบ รู้สึกว่าการสอบครั้งนี้ตนทำได้ไม่เลวนัก แต่กลับถูกอาจารย์ผู้คุมสอบยกเลิกผลการสอบของการสอบเข้าศึกษาในครั้งนี้
ความสงสัยของเฉิงชิงต่อการทุจริตถือว่าเป็การกระทำที่ทำร้ายพวกเขาให้ติดร่างแหไปด้วย ผู้ที่ไม่ได้ทุจริตย่อมเกลียดชังผู้ที่ทุจริตมากขึ้น เฉิงชิงเผชิญกับสายตาสบประมาทของผู้อื่น
“ข้าไม่ได้ทุจริต ก้อนกระดาษนี้มาจากไหนข้าก็ไม่รู้ ข้าสนับสนุนการสอบสวนของสถานศึกษา และข้าก็ยินดีที่จะให้ความร่วมมือกับสถานศึกษาในการสอบสวนด้วย!”
ผู้เข้าสอบคนอื่นกลับกล่าวโทษนางแทน
“ถูกจับได้ว่าทุจริตแล้วยังไม่ยอมรับอีก ปลาเน่าตัวเดียวเหม็นไปทั้งข้อง!”
เฉิงชิงไม่ได้ทำเื่น่าละอายแก่ใจจึงไม่เกรงกลัวใดๆ ไม่แน่ใจว่ามีคนจงใจใส่ร้ายหรือว่าตนเองโชคร้าย แต่นางก็ไม่กลัวการสอบสวนของสถานศึกษา แต่กลัวว่าสถานศึกษาจะไม่สอบสวน
เื่นี้เป็เหตุผลเดียวกับที่เฉิงจือหย่วนจะได้รับการฝังร่างหรือไม่ ไม่กลัวการเปิดเผยเื่ราวในที่แจ้ง ที่กลัวที่สุดคือการปิดบังความจริงทำให้ผู้ชมรอบข้างคาดเดากันไปต่างๆ นานา
ดังนั้นเมื่อถูกอาจารย์ผู้คุมสอบเอากระดาษข้อสอบไปแล้ว เฉิงชิงจึงแสดงสถานะของตนเองทันที
“เพื่อชื่อเสียงของตระกูลเฉิงแห่งหนานอี๋ของข้า เื่ทุจริตนี้จะต้องตรวจสอบอย่างชัดเจน!”
ในบรรดาผู้ร่วมสอบยังมีบุตรหลานตระกูลเฉิง เฉิงชิงนำชื่อเสียงของตระกูลเฉิงมาใช้ประโยชน์ แม้ว่าภายในใจของพวกเขาจะไม่ยินดี แต่เบื้องหน้ากลับสนับสนุนเฉิงชิง พวกเขาให้ความสำคัญกับชื่อเสียงวงศ์ตระกูลจนฝังลึกถึงกระดูก เื่ไม่ลงรอยกันภายในค่อยว่ากันทีหลัง ยามนี้ชื่อเสียงของตระกูลเฉิงสำคัญกว่า!
ด้วยเหตุนี้ บุตรหลานตระกูลเฉิงที่เข้าสอบด้วยจึงสนับสนุนการสอบสวนด้วยเช่นเดียวกัน
เฉิงชิงรู้สึกว่าเื่นี้ค่อนข้างจะสืบง่าย แม้นางจะเห็นไม่ชัดว่าผู้ที่โยนก้อนกระดาษคือใคร แต่ก็สามารถเทียบลายมือได้
“บนก้อนกระดาษเขียนคำตอบของคำถามข้อสุดท้ายไว้ หากกระดาษข้อสอบของสถานศึกษาไม่ได้รั่วไหลไปก่อนหน้านี้ คำตอบก็ย่อมจะเขียนอยู่ภายในสนามสอบแห่งนี้ ผู้ที่ทุจริตตัวจริงจะต้องอยู่ในหมู่พวกเรา”
ข้อเท็จจริงได้พิสูจน์ว่าเฉิงชิงไร้เดียงสาเกินไป
นางดูถูกผู้ที่มาสอบที่ ‘สถานศึกษาหนานอี๋’ กลุ่มนี้ไปแล้ว อาจารย์ผู้คุมสอบเทียบดูหนึ่งรอบ กระดาษข้อสอบของผู้เข้าสอบสิบกว่าคน ไม่มีแผ่นไหนที่มีลายมือเหมือนกับบนก้อนกระดาษเลย
เฉิงชิงตกตะลึง ผู้คุมสอบถามนางว่ายังมีอะไรที่สามารถแยกแยะได้อีกไหม
เฉิงชิงชี้ไปยังกระดาษข้อสอบของตนเอง “อย่างไรก็ตามแต่ นี่ก็ไม่ใช่ลายมือของข้า”
นั่นก็ใช่
แม้ตัวอักษรบนก้อนกระดาษจะไม่อาจพูดได้ว่าดี แต่ลายมือตัวอักษรของเฉิงชิงบนกระดาษข้อสอบยิ่งแย่เข้าไปอีก ถึงอย่างไรที่นี่ก็เป็การสอบเข้าศึกษาของสถานศึกษาหนานอี๋ ผู้เข้าสอบทุกคนล้วนตั้งใจเขียนตอบข้อสอบ พยายามแสดงให้เห็นถึงลายมืออันเป็ระเบียบของตนอย่างสุดความสามารถ ส่วนตัวอักษรของเฉิงชิงนั้น ว่ากันตามตรงแล้วถือว่าแย่ที่สุดจากทั้งสนาม กระดาษข้อสอบเช่นนี้หากเรียกให้อาจารย์ผู้คุมสอบมาตรวจ เขาคงอดทนอ่านคำตอบทั้งหมดไม่ไหว ความประทับใจแรกช่างย่ำแย่เหลือทน
เขียนตัวอักษรน่าเกลียดเช่นนี้ยังมีหน้ามาเรียกตนเองว่าลูกหลานตระกูลเฉิง อาจารย์ผู้คุมสอบนับถือความหน้าหนาของเฉิงชิงเป็อย่างมาก
พระอาทิตย์ในเดือนหกนั้นช่างทรงพลัง เหล่าผู้เข้าสอบที่ถูกจับขังไว้กลางลานต่างถูกแดดแผดเผา ทยอยกันแสดงความไม่พอใจ
เ้าอ้วนน้อยที่แต่งกายหรูหราก็ยิ่งะโว่าตนจะถูกย่างแล้ว ผู้เข้าสอบคนอื่นก็เอ่ยสำทับด้วย ภายในเรือนมีเสียงโหวกเหวกโวยวาย จนมีคนผู้หนึ่งเดินมาตามระเบียงทางเดิน ทุกคนจึงค่อยๆ เงียบเสียงลง
เป็ศิษย์พี่ที่สวมชุดศิษย์ซึ่งอยู่ห้องตัวอักษรเจี่ยที่ชวนสะดุดตาก่อนหน้าการสอบนั่นเอง!
“ท่านอาจารย์หวง”
ศิษย์หนุ่มประสานมือคารวะ
อาจารย์ผู้คุมสอบหวงอายุมากแล้ว ไม่ค่อยมีเรี่ยวแรง พลันรู้สึกราวกับมีดาวมาช่วยเหลือ
“ไหวจิ่น เ้ามาได้พอดีเลย เ้าเด็กคนนี้ไม่เกรงกลัวกฎเกณฑ์ ขนาดอยู่ระหว่างการสอบเข้าศึกษาของสถานศึกษายังกล้าทุจริต ถูกจับได้แล้วจนถึงบัดนี้ก็ยังไม่ยอมรับผิด!”
เ้าอ้วนน้อยเอ่ยอย่างตะกุกตะกัก “ไหวจิ่น… เมิ่งไหวจิ่น เมิ่งเจี้ยหยวน[1]?”
ศิษย์พี่ที่มีรูปร่างโดดเด่นจากห้องตัวอักษรเจี่ยผู้นี้คือเมิ่งไหวจิ่น?
เฉิงชิงเคยได้ยินชื่อนี้
หลังจากสถานศึกษาหนานอี๋ขยายต่อเติมแล้ว เมิ่งไหวจิ่นคือศิษย์กลุ่มแรกที่สอบเข้ามายังสถานศึกษา ตระกูลเมิ่งยากจนมาก แค่จ่ายค่าเล่าเรียนสถานศึกษายังลำบาก แต่เมิ่งไหวจิ่นมีความสามารถเห็นผ่านตาจดจำไม่ลืม สอบเข้าศึกษาได้อันดับหนึ่ง สอบใหญ่สอบย่อยก็ล้วนได้อันดับหนึ่ง
ปีที่สองหลังจากสอบเข้าสถานศึกษาได้ก็สอบผ่านได้เป็อั้นโส่ว[2] บัณฑิตซิ่วไฉอันดับหนึ่งของเมืองเซวียนตู ชื่อเสียงของเมิ่งอั้นโส่วจึงค่อยๆโด่งดัง
เมื่อสองปีก่อนเมิ่งไหวจิ่นเข้ารวมการสอบระดับมณฑล แน่นอนว่าได้อันดับหนึ่งของผู้สอบผ่านจวี่เหรินทั้งเมืองหลวงในมณฑล ได้เป็ “เมิ่งเจี้ยหยวน”!
หลังจากเมิ่งไหวจิ่นได้เป็อั้นโส่วแล้ว เขาก็ไม่ต้องจ่ายค่าเล่าเรียนให้สถานศึกษาอีกต่อไป
จนเมื่อเมิ่งไหวจิ่นได้เป็เจี้ยหยวน สถานศึกษาหนานอี๋กลับเป็ฝ่ายมอบเงินให้เมิ่งไหวจิ่น เพียงเพื่อให้เขาอยู่เป็ป้ายการค้าให้กับสถานศึกษา
ทั้งห้องเจี่ยล้วนเป็บัณฑิตจวี่เหริน รู้จักกันดีในนามห้องการสอนเล็กของอาจารย์ที่มีชื่อ เฉิงชิงสงสัยว่าอาจารย์มีชื่อท่านนั้นแท้จริงแล้วถูกเชิญมาสำหรับเมิ่งไหวจิ่นโดยเฉพาะ… ทั่วทั้งอำเภอหนานอี๋ต่างรู้จักชื่อของเมิ่งไหวจิ่น นางสามารถััได้ถึงปัญญาวาทะที่ว่า ‘ไม่มีอาชีพใดสูงส่งเท่าบัณฑิต’ อย่างแท้จริงจากบนร่างของคนผู้นี้ ยากจนถึงขนาดค่าเล่าเรียนก็จ่ายไม่ไหวแล้วทำไมหรือ แค่ต้องเล่าเรียนจนประสบความสำเร็จ เพียงพริบตาเดียวก็สามารถปลดเปลื้องความจนกลายเป็ร่ำรวยขึ้นมาได้!
เฉิงชิงไม่เพียงรู้จักชื่อของเมิ่งเจี้ยหยวนเท่านั้น ในยามเก็บตัวร่ำเรียนอย่างยากลำบากอยู่ภายในบ้าน นางยังเคยทำแบบฝึกหัดจาก ‘ม้วนตำราลับ’ ที่ใช้ตำแหน่งเมิ่งเจี้ยหยวนมาห้อยเอาไว้ ตัวเมิ่งไหวจิ่นเองพอสอบเข้าสถานศึกษาหนานอี๋ได้ก็เปลี่ยนแปลงตนเอง ในการสอบเข้าศึกษาของสถานศึกษาหนานอี๋ เมิ่งไหวจิ่นผู้ซึ่งสามารถเก็งข้อสอบได้จึงย่อมมีอำนาจมาก… อย่างน้อยในสายตาของผู้เข้าสอบที่้าจะสอบเข้าสถานศึกษาหนานอี๋ เมิ่งไหวจิ่นก็คือศิษย์ที่เก่งกาจที่สุด ณ ปัจจุบัน ผู้เข้าสอบหลายคนในสนามสอบเกรงว่าจะมีไม่น้อยเลยที่เคยทำแบบฝึกหัดจากม้วนตำราลับของเมิ่งเจี้ยหยวน
แม้แต่เ้าอ้วนน้อยที่แต่งกายหรูหราซึ่งถูกตามใจจนั้แ่เด็ก พอพบว่าผู้ที่มาคือเมิ่งไหวจิ่นก็ตื่นเต้นจนไหล่สั่น
ส่วนเฉิงชิงนั้นยังอยู่ดี
เมิ่งไหวจิ่นฟังอาจารย์ผู้คุมสอบเอ่ยจนจบ ตราบจนหยิบกระดาษข้อสอบที่อยู่ตรงหน้าของนางขึ้นมา เฉิงชิงก็ยังไม่ได้รู้สึกตื่นเต้นมากนัก
นางเคยเห็นคนหัวกะทิมาทุกรูปแบบแล้ว แม้กระทั่งตัวนางเองก็นับว่าเป็คนหัวกะทิคนหนึ่ง… ก่อนจะทะลุมิติมา พวกที่ไม่ใช่หัวกะทิย่อมไม่มีคุณสมบัติที่จะมาทำงานข้างกายนาง
ยามเมิ่งไหวจิ่นหยิบกระดาษข้อสอบของนางขึ้นมา เฉิงชิงคิดในใจว่า คนผู้นี้ไม่ใช่แค่หน้าตาดูดีเท่านั้น แม้แต่มือก็ดูดีด้วย
[1] เจี้ยหยวน คือตำแหน่งของผู้ที่สอบเข้ารับราชการระดับมณฑลได้เป็อันดับหนึ่ง
[2] อั้นโส่ว คือตำแหน่งของผู้ที่สอบเข้ารับราชการระดับขั้นสำนักศึกษาได้เป็อันดับหนึ่ง
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้