เนิ่นนาน หลินซานหลางก็ไม่รู้ว่าตัวเองพูดอะไรออกไป จังหวะนั้นเป็ความกล้าหาญ หรือความไม่ยั้งคิด แต่อย่างไรเขาก็รู้สึกว่าตนเป็บุรุษ สมควรปกป้องพี่สาวน้องสาวในบ้าน
แม้หลายปีมานี้จะสับสนไปบ้าง แต่ในใจก็ยังคิดว่าอย่างไรก็ต้องดีกับครอบครัวเอาไว้
หลินซานหลางไม่รู้เลยว่าในภายหลัง เขาจะได้เดินไปสู่หนทางอันยิ่งใหญ่ด้วยความช่วยเหลือจากพี่สาวน้องสาวสามคนนี้ แต่ใน่เวลาเยาว์วัยนี้เขารู้สึกเพียงความอบอุ่นหัวใจจากคนทั้งสามที่สมควรได้รับการทะนุถนอม
ลุงหลิวสูบยาเส้นจนเสร็จก็ไม่รอให้ผู้อื่นมาอีก เขาอดทอดถอนใจด้วยความผิดหวังไม่ได้ วันที่อากาศร้อนๆ เช่นนี้ผู้คนต่างก็วุ่นวายกับการทำไร่ ทำให้กิจการเขาไม่ค่อยดีนัก
“เอาละ วันนี้อากาศร้อนขึ้นอีกแล้ว คงไม่มีใครเข้าเมืองแล้วละ ข้าจะพาพวกเ้าไปเลยก็แล้วกัน”
หลินเฟิน หลินฟาง หลินซานหลางทั้งสามคนต่างก็รอจนหมดความอดทนแล้ว พอได้ยินลุงหลิวพูดว่าจะออกตัวก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจยาวออกมา
สำหรับหลินฟู่อิน การรอแค่นี้ไม่นับเป็เื่ใหญ่ นางฝึกความอดทนมาเป็อย่างดีจากชาติก่อนในฐานะพยาบาลผดุงครรภ์
ลุงจ้าวเห็นนางไม่กังวลไม่เดือดร้อนก็นึกประหลาดใจเล็กน้อย
เกวียนเทียมลาแล่นออกไป ลุงหลิวเร่งให้เต็มที่ ด้วยความที่ตนก็ตั้งใจจะไปรีบลูกค้าเมื่อเช้ากลับมา
เมื่อมาถึงตัวเมืองก็ยังนับว่าเช้าอยู่ ผู้คนที่ไปตลาดเช้าพากันกลับมาแล้ว ในตลาดหลงเหลือคนอยู่ไม่มาก
“ส่งตรงนี้นะ ข้ายังมีลูกค้ารออยู่ คงไปส่งพวกเ้าถึงร้านอาหารไม่ได้” ลุงหลิวหันมาบอกนางด้วยท่าทีระมัดระวัง
หลินฟู่อินไม่ติดใจ นางหยิบเงินออกมานับสิบอีแปะ แล้วมอบให้อีกฝ่าย “พูดอะไรกันเ้าคะ ลุงหลิวก็ยุ่งมากอยู่แล้ว นี่เป็ค่าโดยสารเ้าค่ะ รับไปเถอะเ้าค่ะ”
ทุกครั้งหลินฟู่อินจะจ่ายเงินเป็ค่าเดินทางไปกลับ ทั้งยังเพิ่มให้อีกสองอีแปะเป็พิเศษ
สาเหตุหลักก็คือลุงหลิวเป็คนดีเกินไป เมื่อก่อนตอนที่รอผู้โดยสารคนอื่น พอเห็นหลินฟู่อินขนของหนักๆ มาจากไกลๆ เขาก็จะลงจากเกวียนเข้ามาช่วยนางขนของ
หลินฟู่อินเป็คนประเภทที่หากมีใครดีต่อนางหนึ่งฉื่อ [1] นางจะดีกลับไปสิบจั้งอยู่แล้ว [2]
ลุงหลิวรู้นิสัยหลินฟู่อินดี จึงได้รับเงินเอาไว้ทั้งรอยยิ้ม “หากใครก่อปัญหาก็อย่าไปเสียเวลาด้วย เอาของกลับมาเลยนะ”
หลินฟู่อินยิ้มรับ
ที่แรกที่พวกนางไปคือภัตตาคารเยว่เค่อ ภัตตาคารแห่งนี้ดีที่สุดในเมือง หากชนะใจร้านนี้ได้ ต่อไปเพียงกล่าวว่าภัตตาคารเยว่เค่อซื้อไข่ดอกสนของนาง ร้านอื่นๆ ล้วนต้องซื้อตามแน่นอน
หลินฟู่อินเข้าเมืองมาหลายครั้งแล้ว แต่สามพี่น้องหลินที่เหลือยังไม่เคยได้มาเยือน
เมื่อเห็นถนนเต็มไปด้วยผู้คน พื้นปูด้วยหินเรียบร้อย ร้านค้ามากมายและมียังแผงลอยเต็มไปหมดก็พากันตื่นตาตื่นใจ
เมื่อเห็นว่ากลุ่มหลินฟู่อินยังดูเป็เด็กน้อย พวกพ่อค้าแม่ค้าก็พากันร้องเรียก “หนูน้อย มงกุฎดอกไม้นี่สีสันงดงามยิ่งนัก ซื้อสักหน่อยสิ!”
“แป้งผัดหน้าไหมจ๊ะ เด็กสาวสมัยนี้ต่างก็ผัดหน้าด้วยแป้งนี้แล้วก็งดงามราวเทพธิดาทั้งนั้น”
“แม่หนูพวกนี้อายุยังไม่มาก สนใจน้ำตาลปั้นหรือไม่ ทั้งหวานทั้งสวยนะ”
คำเชิญชวนให้ซื้อของฟังดูอบอุ่นจนหลินฟู่อินยกยิ้ม
“หากขายไข่ดอกสนได้แล้ว ข้าจะซื้อมงกุฎดอกไม้กับแป้งผัดหน้าให้พวกท่านนะเ้าคะ” สายตาสนอกสนใจของอาเฟินอาฟางที่ใช้มองสิ่งของเ่าั้ หลินฟู่อินย่อมไม่พลาด
ทั้งคู่แก่กว่านางแค่สองสามปี อยู่ในวัยที่รักสวยรักงามพอดี
“พี่สาม ก่อนกลับข้าจะแวะซื้อพู่กัน กระดาษ และก็หมึกให้พี่ พี่จะได้ฝึกคัดตัวอักษรที่เคยเรียนนะเ้าคะ” หลินฟู่อินหันไปพูดกับอีกฝ่าย
“ฟู่อิน เ้าซื้อแค่พู่กัน กระดาษแล้วก็แท่งฝนหมึกให้ซานหลางก็พอแล้ว ไม่ต้องซื้ออะไรให้พวกข้าหรอก ยังไงพวกข้าก็เป็แค่สาวชาวบ้าน จะแต่งตัวสวยๆ งามๆ ไปเพื่ออะไรกัน” หลินเฟินกล่าว
หลินฟู่อินหัวเราะ มองตอบแล้วถาม “แต่งตัวเพื่อตัวเองยังไงล่ะเ้าคะ หรือพี่เฟินคิดจะแต่งเพื่อใครกัน?”
พอหลินเฟินรู้ตัวว่าพูดไม่ชัดเจนก็หน้าแดง “ฟู่อินพูดอะไรเล่า?”
“ข้าไม่ได้พูดนะเ้าคะ แค่คิดว่าพี่ไม่เด็กแล้ว ท่านลุงสองน่าจะเริ่มหาพี่เขยให้ข้าแล้วกระมัง” หลินฟู่อินหัวเราะ ส่วนหลินฟางยิ้มกรุ้มกริ่มมองพี่สาวตัวเอง
แน่นอนว่าหลินฟู่อินเดาถูกแล้ว ไม่ใช่แค่ท่านป้าสอง ทว่ากระทั่งท่านยายกับท่านป้าที่บ้านฝั่งแม่ต่างก็เป็ห่วงเื่สามีของพี่สาวคนนี้ทั้งนั้น
หลินเฟินยิ่งหน้าแดงขึ้นทุกทีจนหลินฟู่อินรู้สึกะเืใจ
ที่จริงนางไม่ยอมรับเื่การให้เด็กผู้หญิงแต่งงานเร็วเกินไป นางทำงานสายการแพทย์ แน่นอนว่าต้องมีความเข้าใจในเื่นี้อย่างลึกซึ้ง แม้เด็กผู้หญิงในยุคโบราณจะแต่งงานกันเร็ว แต่อย่างไรก็ควรหาทางถ่วงไปจนถึงอายุสิบแปด
อันที่จริง นางแนะนำให้แต่งงานตอนอายุยี่สิบด้วยซ้ำ
แต่ในต้าเว่ย การแต่งงานตอนอายุสิบเจ็ดสิบแปดถือว่าเป็สาวแก่แล้ว จนถึงตอนนั้นไม่มีทางได้พูดเื่การแต่งงานดีๆ แน่ เป็เื่ที่น่าสิ้นหวังจริงๆ
กับหลินเฟินหลินฟาง นางคิดจะหาทางรั้งตัวทั้งสองเอาไว้ที่บ้านอีกสักสองสามปี
แต่เื่นี้อย่างไรนางก็ต้องหาโอกาสคุยกับสองพี่น้องอีกครั้ง
ทั้งกลุ่มเดินพูดคุยหัวเราะกันไปจนถึงภัตตาคารเยว่เค่อ หลินฟู่อินมองอักษรสี่ตัวบนป้ายสีแดงสว่างไสวก่อนจะเดินเข้าไป
ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาอาหารกลางวัน ในร้านจึงไม่มีลูกค้า
เสี่ยวเอ้อร์กำลังเก็บเก้าอี้ขึ้นโต๊ะ พอเห็นว่ามีแขกเข้าร้านั้แ่หัววันก็เข้ามาทักทายด้วยสีหน้าสดใส
“กี่ท่านขอรับท่านลูกค้า” เสี่ยวเอ้อร์คนนี้กระตือรือร้นพูดจาฉะฉาน ใบหน้ากลมๆ ดูแล้วอารมณ์ดียิ่งนัก
พอถามเช่นนี้ หลินเฟินหลินฟางก็อายขึ้นมา เสี่ยวเอ้อร์คิดว่าพวกนางมากินข้าว แต่คนอย่างพวกนางจะจ่ายเงินซื้ออาหารที่ร้านดีๆ เช่นนี้ได้อย่างไร?
หลินฟู่อินกำลังจะอ้าปากพูด ปรากฏว่าหลินซานหลางก้าวออกมาเสียก่อน เขายกมือขึ้นประสาน สีหน้าจริงจึง “เสี่ยวเอ้อร์ผู้นี้ พวกเรามิได้มากินอาหาร ทว่ามาเพื่อขายของขอรับ”
เมื่อถูกหลินซานหลางตัดหน้า แผนการสำรวจเสี่ยวเอ้อร์ของหลินฟู่อินจึงต้องทิ้งไป แต่ในใจนางกลับให้การยอมรับว่าพี่ชายคนนี้เป็คนมีความรับผิดชอบจริงๆ
“อะไรกัน ไม่ได้มากินแต่มาขายหรอกหรือ?” สีหน้าอารมณ์ดีของเสี่ยวเอ้อร์หายวับไปทันที กลายเป็ความไม่สนใจ ชี้ไปถนนด้านนอกร้าน “เ้าก็ไปหาพวกร้านเล็กๆ กับแผงลอยริมทางพวกนั้นสิ จะมาร้านเราทำไมกัน?”
“พวกเรา…” หลินซานหลางเห็นสีหน้าอีกฝ่ายเปลี่ยนไป แต่เดิมก็กังวลอยู่แล้ว พอโดนเช่นนี้ใบหน้าก็ขึ้นสี “พวกเรามาขาย… ขาย…”
------------------------------------------
เชิงอรรถ
[1] ฉื่อ หมายถึง หน่วยวัดความยาวของจีน โดย 1 ฉื่อ เท่ากับ 10 นิ้ว
[2] จั้ง หมายถึง หน่วยวัดความยาวของจีน โดย 1 จั้ง เท่ากับ 10 ฉื่อ หรือ 100 นิ้ว
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้